เจินจูไม่ได้มีความรู้สึกไม่พอใจเหลียงซื่อมากนัก มนุษย์ส่วนใหญ่ล้วนแล้วแต่เห็นแก่ตัวกันทั้งหมด แค่ระดับความเห็นแก่ตัวต่างกันเท่านั้นเอง
“มนุษย์ไม่เพื่อตนเอง ฟ้าดินลงโทษ [1]” ชัดเจนมาก มนุษย์ล้วนเพื่อให้ตนเองมีชีวิตอยู่ มีชีวิตอยู่ก็ล้วนคิดจะใช้ชีวิตอย่างสุขสบายและมีความสุข
ขั้นพื้นฐานที่ต่ำที่สุดของความสุขคืออะไรล่ะ? ย่อมต้องเป็เงินทอง ความอุดมสมบูรณ์และมั่งคั่งของวัตถุสิ่งของที่พอจะสามารถนำความพึงพอใจมาสู่จิตใจได้
มีประโยคที่กล่าวได้ดีนักคือ เงินทองมิสามารถบันดาลได้ทุกสิ่ง แต่ไม่มีเงินทองไม่ได้อย่างเด็ดขาด
ไม่เช่นนั้นนางจะหาและสะสมเงินจนสมองแทบแตกทำไม แน่นอนว่าไม่เพียงเพื่อแก้ไขปัญหาปากท้องอิ่มร่างกายอบอุ่นขั้นพื้นฐานเท่านั้น ยิ่งไปกว่านั้นคือเพื่อวันข้างหน้าจะได้ไม่ต้องถูกผูกมัดกับเื่ต่างๆ ด้วยเงิน เพื่อให้สามารถใช้ชีวิตอยู่ในยุคโบราณได้อย่างอิสระและสุขกายสบายใจยิ่งขึ้น
เจินจูเข้าใจจิตใจของเหลียงซื่อได้ แน่นอนว่านางเองก็มิใช่พระแม่มารีย์บนดอกบัวขาวอะไร แต่ขอแค่ไม่กล่าวล้ำเส้นให้กระทบกระเทือนจิตใจมนุษย์ ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนพูดคุยกันได้
...ความไม่พอใจของเหลียงซื่อเป็เพียงบทแทรกเล็กๆ ของละครฉากหนึ่ง ในลานบ้านครอบครัวหูทั้งผืนเต็มไปด้วยความสุขปลื้มปีติยินดี ในใจหลี่ซื่อดีอกดีใจเป็อย่างมาก หลังดูโฉนดที่ดินที่ประทับตราทางการแล้วก็ใส่ไว้ในตู้ข้างเตียงและล็อกอย่างดี
หลังจากนั้นทุกคนจึงเริ่มยุ่งอยู่กับการเตรียมทำโต๊ะอาหารเลี้ยงแขกตอนเย็น
เชือดไก่ ฆ่าปลา หั่นเนื้อ ปอกผัก…
ทุกคนยุ่งอยู่กับการทำงานอย่างเป็ระเบียบ นี่เป็ครั้งแรกที่หลี่ซื่อจัดโต๊ะอาหารเตรียมเลี้ยงแขกที่บ้าน เลี่ยงไม่ได้ที่จะกังวลเป็พิเศษ กลัวมากว่าจะตระเตรียมได้ไม่เหมาะสม ทำให้ครอบครัวตนเองเสียหน้า
จนกระทั่งหวังซื่อมาถึง หลี่ซื่อจึงแอบผ่อนลมหายใจหนึ่งที
นางเป็ฟู่เหรินคนหนึ่งที่ไม่พูดมาสิบกว่าปีและซ่อนตัวอยู่ในป่าเขา เมื่อต้องมาจัดการโต๊ะอาหารที่เตรียมเลี้ยงแขกเื่ใหญ่เช่นนี้ แม้เป็เพียงโต๊ะอาหารเลี้ยงแขกธรรมดาในหมู่บ้าน นางก็ไม่มีความมั่นใจว่าจะจัดได้ดีนัก และสิ่งที่ทำให้นางกระวนกระวายมากก็คือ ยังต้องทักทายทุกคนที่มาร่วมงานอีกด้วย นี่ทำให้หลี่ซื่อที่ไม่คุ้นชินกับการสร้างความสัมพันธ์ กลับกังวลเสียจนมีเหงื่อเม็ดเล็กๆ ผุดออกมาบนหน้าผากทั้งๆ ที่เป็ฤดูหนาวที่หนาวเหน็บ
โชคดีนักที่แม่สามีหวังซื่อมาแล้ว
หลี่ซื่อเดินไปข้างหน้าต้อนรับด้วยความดีใจ แล้วขอคำชี้แนะแต่ละอย่างที่ต้องใส่ใจในการจัดโต๊ะเลี้ยงแขกด้วยความถ่อมตน
หวังซื่อยิ้มอย่างอ่อนโยน แล้วชี้แนะหลี่ซื่อสุดความสามารถ ทั้งจำนวนคนที่มาร่วมงานเลี้ยง โต๊ะเก้าอี้ และถ้วยชามหม้อทัพพีที่ต้องเตรียม รวมถึงปริมาณอาหาร...
หลี่ซื่อฟังอยู่ด้านข้างด้วยความตั้งใจ พยักหน้าและไต่ถามอย่างจริงใจ
คนหนึ่งมีใจสอน คนหนึ่งใช้ใจเรียนรู้ แม่สามีกับลูกสะใภ้เข้ากันได้ดีเป็พิเศษ
บรรยากาศคึกคักเต็มไปด้วยความชื่นบานของครอบครัวหูใต้เชิงเขา ทางลาดบนเนินเขากลับมีหนึ่งเงาคนกำลังยืนอยู่บนเนินสูง ยืดลำคอยาวมองไปรอบๆ บ้านของครอบครัวหูอย่างลับๆ ล่อๆ
“เพ้ย” เงาคนที่ลับๆ ล่อๆ ถ่มฟองน้ำลายลงพื้นดิน “ครอบครัวหูมีสิทธิ์อันใดเปลี่ยนจากครอบครัวตกอับกลายเป็ผู้ร่ำรวยในหมู่บ้านภายในระยะเวลาสั้นๆ ท่านย่ามันเถอะ เหล่าจื่อ [2] ลำบากมาครึ่งชีวิตยังยากจนอยู่เช่นนี้เลย”
เงาคนหลบซ่อนอยู่หลังต้นไม้และกล่าวด้วยความเกลียดชัง
เป็บุรุษไร้งานผู้เกียจคร้านอย่างจ้าวเอ้อร์หม่าจื้อที่อยู่ในหมู่บ้านเป็ผู้กล่าว
เช้าวันนี้เขากำลังคุยโวเื่ไร้สาระกับผู้คนอยู่ทางเข้าหมู่บ้านอย่างสนุกสนาน แล้วจึงเห็นเกวียนวัวของครอบครัวสกุลหูเคลื่อนเข้ามายังทางเข้าหมู่บ้าน บนเกวียนวางสิ่งของกองเต็มมากมาย พอมองก็รู้ได้ว่าครอบครัวสกุลหูไปซื้อของมาอีกแล้ว ปีนี้ยังไม่ทันได้ผ่านพ้นไปให้ดีก็ซื้อของหนึ่งกองใหญ่มาอีก นี่ครอบครัวสกุลหูมีเื่น่ายินดีอะไรกัน?
ยิ่งไปกว่านั้นหัวหน้าหมู่บ้านก็นั่งอยู่บนเกวียนของสกุลหู
ทุกคนอิจฉาริษยาตาร้อนพากันวิพากษ์วิจารณ์ถามเจาะลึกกันยกใหญ่
จ้าวเอ้อร์หม่าจื้อมองสิ่งของที่อยู่เต็มเกวียนด้วยความอิจฉาตาร้อน
เขามองจ้าวเหวินเฉียงที่ลงจากเกวียนหน้าหัวโค้ง แล้วจึงยกเท้าเดินไปทางบ้านจ้าวเหวินเฉียงทันที
มาถึงข้างมุมกำแพงบ้านของหัวหน้าหมู่บ้าน จ้าวเอ้อร์หม่าจื้อเงี่ยหูแอบฟังจ้าวเหวินเฉียงพูดคุยกับหวงซิ่วผิงอย่างละเอียด
มุมกำแพงตรงนี้เป็จ้าวเอ้อร์หม่าจื้อค้นพบ สถานที่ตรงนี้ เสียงของหัวหน้าหมู่บ้านที่อยู่ในลานบ้านของเขาล้วนฟังได้ชัดเจน
ได้ยินเพียงจ้าวเหวินเฉียงกำลังกล่าวไม่หยุดปากกับหวงซิ่วผิง เนื้อหาของหัวข้อย่อมเป็ครอบครัวหูฉางกุ้ย
อะไรนะ? หูฉางกุ้ยจ่ายเงินไปสามสิบกว่าเหลียงเพื่อซื้อที่รกร้างว่างเปล่าตรงทางเข้าหมู่บ้านฝั่งตะวันออกไว้?
แล้วยังเตรียมจะสร้างบ้านใหม่ที่นั่นด้วย?
จ้าวเอ้อร์หม่าจื้อได้ฟังถึงตรงนี้ ก้นบึ้งของหัวใจราวกับถูกแมวข่วนก็ไม่ปาน จิตใจร้อนรุ่มกระวนกระวาย
สกุลหูเดินบนความโชคดีอะไรกัน? เวลานี้ของปีก่อนเห็นๆ กันอยู่ว่ายังยากจนเสียงชามข้าวกระทบช้อนดังก๊องแก๊งอยู่เลย เ้าลูกสุนัขครอบครัวสกุลหูไม่กี่คนนั่นแม้แต่เสื้อผ้าชุดใหม่เฉลิมฉลองข้ามปีก็ยังไม่มี เหตุใดเวลาพริบตาเดียวก็หาเงินมากมายได้เช่นนี้แล้ว
ซื้อที่ดินรกร้างว่างเปล่าตั้งสามสิบกว่าเหลียง? นั่นไม่ใช่ว่ายังต้องจ่ายอีกหลายสิบเหลียงถึงจะสร้างบ้านใหม่ได้หรือ? สรุปแล้วครอบครัวหูหาเงินได้เท่าไรกันแน่? ไม่นึกเลยว่าจะมีความสำเร็จได้เช่นนี้
จ้าวเอ้อร์หม่าจื้อแอบคำนวณค่าใช้จ่ายที่ครอบครัวหูต้องใช้สร้างบ้านอยู่ในใจ นี่ไม่ใช่หมายความว่าในมือหูฉางกุ้ยยังมีเงินอีกแปดสิบถึงหนึ่งร้อยเหลียงเลยหรือ?
ในตาขุ่นของจ้าวเอ้อร์หม่าจื้อปรากฏความโลภออกมา นั่นเป็เงินก้อนใหญ่เลยเชียว!
แล้วยังได้ยินจ้าวเหวินเฉียงกล่าวอีกว่า เย็นนี้หูฉางกุ้ยจะเชิญครอบครัวพวกเขาไปฉลองร่ำสุรา จ้าวเอ้อร์หม่าจื้อจึงเดินอ้อมหลบเลี่ยงอยู่ข้างกำแพงด้วยความระมัดระวัง เพื่อเดินไปยังจุดสิ้นสุดของหมู่บ้าน
“กระท่อมพังๆ หลังลานบ้านนั่นเป็บ้านโกโรโกโสที่ไว้เลี้ยงกระต่ายกระมัง?” จ้าวเอ้อร์หม่าจื้อยืนอยู่บนหินหนึ่งชั้น สังเกตลานเล็กของครอบครัวหูอย่างอดไม่ได้ มองเห็นรั้วกำแพงต่ำเตี้ยตรงลานหลังบ้าน ในดวงตาของเขาก็เผยทุกอย่างออกมาหมดเกลี้ยง
“ฮิๆ มีเื่ดีแล้วไม่ยอมเชิญครอบครัวท่านปู่จ้าวของเ้าเช่นข้านี้หรือ เช่นนั้นก็อย่าโทษว่าท่านปู่จ้าวมาโดยไม่ได้รับเชิญเล่า!” เสียงทุ้มต่ำมีเสียงหัวเราะน่าขยะแขยงอยู่เล็กน้อย
มองชัยภูมิรอบๆ บ้านของครอบครัวหูอีกครั้ง เห็นว่าคนที่อยู่ใกล้ที่สุดห่างออกไปหนึ่งร้อยเมตร จ้าวเอ้อร์หม่าจื้อก็หัวเราะออกมา หลังจากนั้นไม่นานจึงหมุนกายลงเนินเขาไป
...ครอบครัวหูกำลังยุ่งกันจนกลายเป็หนึ่งกลุ่มก้อน โต๊ะและเก้าอี้ในบ้านไม่เพียงพอ บ้านเก่าก็อยู่ห่างออกไปค่อนข้างไกล หูฉางกุ้ยจึงพาผิงอันไปบ้านเอ้อร์หนิว
เดิมทีจะเชิญครอบครัวเอ้อร์หนิวมากินดื่มสุราด้วยกันอยู่แล้ว จึงถือโอกาสมายืมโต๊ะเก้าอี้ของครอบครัวเขาพอดี
เจิ้งซวงหลินย่อมเห็นด้วยอยู่แล้ว ไม่กล่าวมากความก็ร้องเรียกเอ้อร์หนิวมาช่วยยกโต๊ะขึ้นแล้วมุ่งไปยังบ้านของหูฉางกุ้ย
ครอบครัวหูเชิญครอบครัวชาวไร่ชาวนามาครั้งนี้ มีครอบครัวของเอ้อร์หนิวกับครอบครัวหลิ่วฉางผิง ซึ่งนับจำนวนคนได้คร่าวๆ เหมือนกับครั้งก่อน เมื่อหูฉางกุ้ยยืมโต๊ะเก้าอี้กลับมาแล้ว ยังยกนิ้วมือนับจำนวนคนอีกที สรุปเก้าอี้ยังไม่พอ เขาขมวดคิ้วขึ้นอีกครั้ง
“พรืด” เจินจูเห็นบิดาขมวดคิ้วนับอยู่ครึ่งวัน อดหัวเราะส่งเสียงออกมาไม่ได้
“ท่านพ่อ ยังขาดเก้าอี้อีกหกตัว ท่านกลับไปบ้านเก่าใช้เกวียนลากกลับมาก็ได้แล้วเ้าค่ะ จะได้ถือโอกาสจูงท่านปู่มาด้วยเลย ตอนเย็นทานข้าวเสร็จแล้วค่อยลากกลับไปส่งก็ได้เ้าค่ะ” เจินจูหัวเราะแล้วกล่าว
“อื้ม ใช่สิ ยังต้องพาท่านปู่ของเ้ามาด้วย” หูฉางกุ้ยตบศีรษะเบาๆ คิดได้ขึ้นทันที
“ฮ่าๆ” การกระทำที่หูฉางกุ้ยตบศีรษะเบาๆ ถูกผิงอันกับผิงซุ่นที่อยู่ด้านข้างมองอยู่ในสายตา ทำให้ทุกคนหัวเราะขึ้นมาโดยพร้อมเพรียงกัน
สีของท้องฟ้าค่อยๆ ลาลับ ความมืดยามค่ำคืนค่อยๆ ปกคลุมพื้นโลก
หลิ่วฉางผิงพาเจี่ยงซื่อภรรยาของเขามาด้วย จ้าวเหวินเฉียงกับหวงซิ่วผิงพาเฉิงเกอเอ่อร์หลานชายคนเล็กมาด้วย เจิ้งซวงหลินกับจางซื่อพาเอ้อร์หนิวกับซานนีเดินเข้าบ้านครอบครัวหูอย่างล้อมหน้าล้อมหลัง
ในเวลาไม่นานเสียงทักทายในลานบ้านเล็กก็ดังขึ้นมาเรื่อยๆ คึกคักมีชีวิตชีวาขึ้นมาก
กลุ่มผู้ชายนั่งอยู่โต๊ะหลัก ส่วนผู้หญิงพาเด็กๆ มาอีกโต๊ะหนึ่ง
กับข้าวได้เตรียมเสร็จอยู่นานแล้ว ทันทีที่ทุกคนนั่งประจำที่ก็ถูกอาหารที่อยู่เต็มโต๊ะดึงดูดสายตา
ไก่ชิ้นเผ็ดหอม กุนเชียงนึ่ง เนื้อตากแห้งผัดไฟแดง ปอดหมูพะโล้ที่หนึบหอมและนุ่ม น้ำแกงลูกชิ้นเห็ดร้อนกรุ่น… ที่ดึงดูดสายตาที่สุดกลับเป็อาหารที่กำลังวางอยู่กลางโต๊ะ หม่าล่าต้มปลาผักกาดดองมีน้ำมันแดงลอยอยู่และส่งกลิ่นหอมกรุ่นไปทั่ว
หลิ่วฉางผิงจุ๊ปากกลืนน้ำลาย “ข้าว่านะฉางกุ้ย หลังทานหนึ่งมื้อที่บ้านพี่ชายเ้าครั้งก่อน กลับไปทานข้าวที่บ้านก็เหมือนจะไม่อร่อยอยู่หลายวัน ครั้งนี้ทานข้าวบ้านเ้าหนึ่งมื้อกลับไป เกรงว่าหนึ่งเดือนก็ยังจำรสชาตินี้ได้”
คำพูดของหลิ่วฉางผิงทำให้ทุกคนหัวเราะอย่างควบคุมตัวเองไม่ได้
“แหะๆ ท่านอาหลิ่ว ท่านทานมากหน่อย ทานมากหน่อย” หูฉางกุ้ยทำได้เพียงหัวเราะอย่างเบิกบานใจ คีบปอดหมูพะโล้ที่เคี่ยวได้นุ่มหยุ่นใส่ในถ้วยของเขา
ขณะพูดคุยชายชราสกุลหูก็ร้องทักให้ทุกคนขยับตะเกียบขึ้น
ไม่นานนักตะเกียบบนโต๊ะก็ลอยว่อน ทุกคนล้วนเริ่มขยับปากทาน
หลังจากนั้นครู่หนึ่งจ้าวเหวินเฉียงกลืนเนื้อปลาที่หอมนุ่มลื่นในปากลงไป แล้วจึงเอ่ยปากกล่าวชมขึ้นมา “พี่ใหญ่หู ข้าอิจฉาท่านนัก รสชาติอาหารการกินของครอบครัวท่านนี่อร่อยจริงๆ ฝีมือครัวของพี่สะใภ้หูนี้เกรงว่าจะเทียบได้กับครัวใหญ่ในเมืองเลย!”
“ฮ่าๆ ดูท่านกล่าวเข้า อร่อยเพียงนั้นที่ไหนกัน แค่ฝีมือธรรมดาเท่านั้น” หูเฉวียนฝูกล่าวถ่อมตัว แต่ใบหน้ากลับเต็มไปด้วยรอยยิ้มอย่างมีสีสัน
“รสชาติดีจริงๆ ข้าทานโต๊ะอาหารเลี้ยงแขกมาตั้งมากมาย นับแค่รสชาติของครอบครัวท่านที่ทำให้คนติดใจมากที่สุด” จ้าวเหวินเฉียงคีบเนื้อปลาขึ้นมาอีกหนึ่งชิ้น อื้ม... ทั้งหอมทั้งนุ่มและชานิดๆ
“ใช่ๆ ไม่ผิด รสชาติเนื้อปลานี้ดีเยี่ยมจริงๆ ทั้งนุ่มทั้งลื่นแล้วยังมีความเผ็ดชา อร่อยนัก!” หลิ่วฉางผิงคีบเนื้อปลาใส่กับผักดองทานลงไปติดต่อกัน เปรี้ยวเผ็ดหอมลื่น ทำให้คนอดคีบแล้วคีบอีกไม่ได้
“ท่านพ่อ ข้าอยากได้ปอดหมูขอรับ” ปอดหมูเป็ส่วนที่ผิงซุ่นชอบที่สุด แต่วันนี้ตำแหน่งที่จัดวางไกลเกินไป แขนเล็กๆ ของเขาเอื้อมไม่ถึง
“ทานอาหารตรงหน้าเ้าก็พอ กินปอดหมูทุกวันเ้ายังไม่เบื่ออีกหรือ” หูฉางหลินทำใบหน้าขู่แล้วกล่าว
“…ข้าแค่อยากได้ปอดหมู” คนบนโต๊ะมีมาก ผิงซุ่นไม่กล้าโวยวาย ทำได้เพียงบ่นพึมพำเสียงเบา
“อยากทานก็ทาน มา ปู่คีบให้เ้า” ชายชราหูคีบหนึ่งชิ้นใหญ่ขึ้นส่งไปให้
“ขอบคุณท่านปู่ขอรับ!” ผิงซุ่นรีบประคองถ้วยขึ้นไปรับทันที แล้วค่อยๆ เคี้ยวอย่างเบิกบานใจ
“มา ผิงอัน เ้าก็ทานด้วย” ชายชราหูคีบให้ผิงอันหนึ่งชิ้น ต่อจากนั้นคีบให้เอ้อร์หนิวกับหลัวจิ่งที่อยู่บนโต๊ะตามลำดับ หนึ่งคนคีบหนึ่งชิ้น
สำหรับหลัวจิ่งคำที่ครอบครัวสกุลหูชี้แจงกับคนภายนอกคือ เขาเป็ญาติห่างๆ ของหลี่ซื่อ ที่บ้านประสบกับเคราะห์ร้าย บิดามารดาสิ้นชีวิตทั้งคู่ จึงคิดจะไปพึ่งพาอาศัยพี่ชายที่อยู่ห่างไกล แต่กลับพบเจอเหตุสุดวิสัยขาหักเสียก่อน เลยอาศัยอยู่บ้านครอบครัวหูเพื่อพักฟื้นอาการาเ็ที่ขาให้หายดี แล้วค่อยทำการวางแผนอีกครั้ง
ทุกคนไม่ได้สนใจฐานะของหลัวจิ่งมากนัก ต้นปีนี้ครอบครัวผู้ใดจะไม่มีญาติที่ตกระกำลำบากกัน มีกำลังความสามารถช่วยเหลือได้สักนิดก็เป็ปกติที่จะช่วยอย่างเสียไม่ได้
แต่เด็กชายผู้นี้หน้าตาโดดเด่นเกินไปแล้วจริงๆ
เครื่องหน้างามพริ้ง หน้าตารูปงาม ท่าทางในการนั่งของเด็กชายเรียบร้อย แววตาเรียบเฉย เงียบสงบและมีสง่า พอเทียบกับเด็กชายไม่กี่คนที่อยู่ด้านข้างเขา กลับเหมือนหงส์ในคอกไก่ฟ้าก็ไม่ปานจริงๆ
ได้ยินคนอื่นกล่าวนานแล้วว่าหลี่ซื่อภรรยาของหูฉางกุ้ย อาจเป็คุณหนูของครอบครัวตระกูลใหญ่โตที่ตกอับ ที่คาดเดาเช่นนี้เป็เพราะหลี่ซื่อไม่เพียงรูปโฉมสวยสง่าเพียบพร้อม ยังมีกิริยาท่าทางอ่อนโยนสุขุมมากกว่าคนธรรมดาทั่วไปจะมีติดกาย
มองที่เด็กชายผู้นี้อีกครั้ง ที่บอกว่าเป็ญาติห่างๆ ของหลี่ซื่อ แต่ท่าทางและนิสัยเฉพาะตัวที่แสดงออกมาดีกว่าหลี่ซื่อมากนัก คิดๆ ไปแล้วมีเพียงการใช้ชีวิตในครอบครัวใหญ่โตั้แ่เด็กเท่านั้นถึงจะมีการเลี้ยงดูสั่งสอนให้ได้รับการอบรมบ่มเพาะที่ไม่ธรรมดาเช่นนี้ได้
มากไปกว่านั้น ได้ยินมาว่ายังเป็ผู้ที่รู้หนังสืออีกด้วย ยิ่งเป็การยืนยันความคิดเห็นของผู้คนขึ้นไปอีก
แต่ละคนทานไปด้วยหัวเราะเฮฮาไปด้วย ผ่านไปครึ่งค่อนชั่วยาม โต๊ะอาหารเลี้ยงแขกจึงเกือบจะถึง่สุดท้าย
ฝั่งนี้เหล่าฟู่เหรินพูดคุยเฮฮาล้อมโต๊ะอยู่ เหล่าผู้ชายฝั่งนั้นก็กำลังคุยเื่ในชีวิตประจำวันเรื่อยเปื่อย พวกเด็กๆ ก็วิ่งเล่นในลานบ้านหยอกเย้าแมวและจูงสุนัขไปเดินเล่น
“ฉางผิง ผ่านวันที่สิบห้านี้ไป ที่บ้านต้องเริ่มทำการสร้างบ้าน พวกเราหารือกันแล้วว่าจะเตรียมหาผู้มีฝีมือในการสร้างบ้านของหมู่บ้านมาช่วยกัน หากท่านไม่ยุ่งก็ช่วยเลือกหาคนที่เหมาะสมสักสองสามคนให้ทีนะ” หูเฉวียนฝูยกจอกสุราชนฉลองกับหลิ่วฉางผิง แล้วจิบสุราครึ่งจอกลงไป
“ได้สิ ช่างก่ออิฐและช่างไม้ฝีมือดีในหมู่บ้านข้าล้วนคุ้นเคยกัน จะหาที่ดีที่สุดให้ท่านแน่นอน” หลิ่วฉางผิงตบหน้าอกเบาๆ กล่าวตกปากรับคำ
“ดี พรุ่งนี้พวกฉางกุ้ยจะไปจัดเตรียมพื้นที่เล็กน้อย ผ่านวันที่สิบห้าไปแล้วก็เริ่มงานได้ หากสามารถเร่งสร้างบ้านขึ้นมาก่อนปรับหน้าดินหว่านข้าวฤดูใบไม้ผลิได้จะดีที่สุด” ยังมีเวลาห่างจาก่ปรับปรุงดินก่อนหว่านข้าวในฤดูใบไม้ผลิอีกระยะหนึ่ง ไม่ทำให้เสียเวลาหว่านข้าวจึงจะเป็การถูกต้อง
การไถนาและเพาะปลูกนั้นนับว่าเป็เื่ใหญ่ที่สุดต่อคนในครอบครัวเกษตรกร
เชิงอรรถ
[1] มนุษย์ไม่เพื่อตนเอง ฟ้าดินลงโทษ หมายถึง ในอดีตคนที่ไม่คิดวางแผนเพื่อตนเอง ฟ้าดินจะไม่รับคำขออ้อนวอนไว้
[2] เหล่าจื่อ เป็คำเรียกแทนตัวเองของผู้สูงอายุ เป็คำหยาบคาย