ในที่สุดเซียวยวี่ก็สอบเสร็จแล้วหลังออกจากสนามสอบ เก็บข้าวของสัมภาระ ก็ร้อนใจอยากรีบกลับบ้าน
จังหวัดจิ้นชางอยู่ห่างจากเมืองโยวหลันกว่าร้อยลี้รถม้าทั่วไปยังต้องใช้เวลาเดินทางสี่ถึงห้าวัน ดังนั้นราคาจึงไม่ถูก
เซียวยวี่ไม่อยากนั่งรถม้าไปตลอดทางจึงเดินเองก่อน หากเดินไม่ไหวแล้ว ถ้าพบเจอรถม้าระหว่างทางค่อยนั่งรถม้า เช่นนี้จะประหยัดเงินได้ไม่น้อย
เซียวยวี่เดินเองหนึ่งวันค้างแรมในวัดร้างข้างทางหนึ่งคืน เช้าวันต่อมา ขณะกำลังจะออกเดินทางก็พบกับรถม้าที่กำลังวิ่งไปทิศเดียวกับอำเภอกว่างชางพอดีแต่รถม้าจะไปไม่ถึงอำเภอกว่างชาง คิดเงินสามสิบอีแปะ
เพื่อให้ได้พบกับน้องชายน้องสาวของตนเองโดยเร็วเซียวยวี่กัดฟันให้เงินสามสิบอีแปะ ขึ้นรถม้าไป
บนรถม้ามีบัณฑิตร่วมทางอีกไม่น้อยต่างไม่กล่าวอะไร นั่งพิงในรถม้าที่โยกโคลงเคลงถือตำราอ่านอย่างใจจดใจจ่อ
เซียวยวี่ก็ไม่ได้กล่าวอะไรหลับตาพักผ่อนเล็กน้อย
"เ้าว่าบนโลกใบนี้ เหตุใดถึงมีผู้ที่เขียนเื่ราวได้น่าตื่นตาตื่นใจเช่นนี้ได้แต่ตอนนี้เพิ่งมีแค่เล่มแรก ไม่ได้อ่านเื่ราวหลังจากนั้น เฮ้อ เหมือนเห็นเนื้อน่ากินแต่กินไม่ได้รู้สึกกระวนกระวายใจเหลือเกิน! "
"นั่นสิ! หากตอนพวกเราสอบซิ่วไฉมีสมาธิสักกึ่งหนึ่งของตอนที่พวกเราอ่านตำราเล่มนี้พวกเราคงได้เป็ซิ่วไฉนานแล้ว! "
"ไม่รู้ว่าคุณชายหลัวยวี่ผู้นี้เป็คนเช่นไร ถือเป็ผู้มีความสามารถเหลือล้นจริงๆ! หากมีโอกาส ข้าต้องทำความรู้จักกับคุณชายผู้นี้ดีๆ เสียหน่อย ได้เป็สหายกับบุคคลเช่นนี้ชีวิตนี้ก็ถือว่ามีเกียรติแล้ว! "
คนผู้หนึ่งที่มีท่าทางคล้ายอาจารย์กล่าวอย่างได้ใจ"ตำราเล่มนี้พิมพ์จากอำเภอกว่างชาง คุณชายหลัวยวี่น่าจะเป็คนจากอำเภอกว่างชางของเรา!"
คุณชายหลัวยวี่?
เซียวยวี่ลืมตาขึ้น มองดูตำราในมือพวกเขาเห็นเพียงหน้าปก
บนปกเขียนตัวอักษร ซีโหยวจี้สามตัว ลายมือสง่าดุจัเหินหงส์ร่ายรำ พอจะเห็นถึงทักษะความสามารถและภูมิหลังของผู้เขียน
คนที่อ่านตำราต่างกระซิบพูดคุยกันทุกประโยคล้วนแต่กล่าวชื่นชมว่าตำราเล่มนี้น่าอ่าน และตัวหนังสือสง่าดูสุนทรีย์
"ในต้าเยว่ของเรายังไม่เคยมีคนเขียนตัวหนังสือแบบนี้มาก่อน พวกเ้าดูสิลายมือเช่นนี้ เกรงว่าหากไม่ได้ฝึกเขียนมายี่สิบถึงสามสิบปี คงเขียนตัวหนังสือด้วยลายมือสวยขนาดนี้ออกมาไม่ได้!"
"ข้าเดาว่าคุณชายหลัวยวี่ผู้นี้น่าจะอายุสี่สิบถึงห้าสิบปีแล้ว ไม่อย่างนั้นคงเขียนตัวหนังสือสวยขนาดนี้ออกมาไม่ได้แน่"
"ใช่ใช่ใช่! "
หลังจากทุกคนอ่านตำราเสร็จก็พักผ่อนเซียวยวี่มองดูตำราที่วางอยู่ตรงหน้าพวกเขา คิดอยากเอ่ยปากขอยืมอ่านอยู่หลายหน สุดท้ายก็ไม่ได้กล่าวอะไรแม้แต่คำเดียว
เพราะรถม้าถูกคนเ่าั้เหมาไว้เซียวยวี่ขึ้นมาในภายหลัง ย่อมได้แต่ลงจากรถม้าเมื่อถึงทางแยก
จากตรงนี้ถึงอำเภอกว่างชางใช้เวลาเดินทางเพียงหนึ่งวันเท่านั้นเซียวยวี่ไม่ได้นั่งรถม้าอีก พอถึงอำเภอกว่างชาง พระอาทิตย์ก็ตกดินแล้ว
เซียวยวี่หาโรงเตี๊ยมพักหนึ่งคืนเช้าวันต่อมาฟ้ายังไม่สว่างก็ออกเดินทางสู่เมืองโยวหลันแล้ว
เขาเดินตลอด่เช้า มาถึงตัวเมืองโยวหลันก่อนถึงเวลาเที่ยง
เซียวยวี่ซื้อหมั่นโถวสองลูกมากินกับน้ำเย็นเพื่อให้อิ่มท้องแล้วจึงไปซื้อขนมที่ร้านขายขนม
เงินสิบห้าตำลึงที่เซียวเหลียงส่งไปคราวก่อนรวมกับเงินที่เขาพกติดตัวอีกสองตำลึง เขาใช้จ่ายอย่างประหยัด ใช้ไปเพียงครึ่งเดียวบัดนี้เขายังเหลือเงินอีกแปดตำลึงกว่า
ขนมกล่องหนึ่งเป็เงินสิบกว่าอีแปะปกติแม้แต่ซาลาเปาไส้หมูลูกละหนึ่งอีแปะเขายังเสียดายไม่อยากกิน อย่างมากก็กินหมั่นโถวที่ทำจากแป้งหยาบแต่เขาไม่ได้พบน้องชายน้องสาวนานแล้ว จึงคิดอยากนำของอร่อยไปให้เพื่อให้พวกเขารู้สึกประหลาดใจ
ดังนั้น เซียวยวี่จึงยอมตัดใจซื้อขนมหนึ่งกล่องใส่ในหีบไม้ไผ่อย่างระมัดระวัง แล้วจึงกลับบ้าน
เมื่อผ่านร้านน้ำชาจำนวนหนึ่งก็ได้ยินคนจำนวนไม่น้อยต่างกำลังพูดคุยกันเื่ซีโหยวจี้ บนถนนใหญ่และในตรอกซอกซอยแม้แต่เด็กๆ ก็คุยกันเื่ซุนวู่คงอาละวาดตำหนัก์
ยังมีเด็กที่ซุกซนจำนวนหนึ่งถือกระบองไว้ในมือ โบกไปมาไม่หยุด พร้ะโกนเสียงดัง “ข้าก็คือฉีเทียนต้าเซิ่ง ซุนวู่คง...”
ฉีเทียนต้าเซิ่ง ซุนวู่คง?
ล้วนเป็บุคคลในซีโหยวจี้งั้นหรือ?
เซียวยวี่ยังไม่ได้กลับบ้านไปร้านหนังสือซิงหลงก่อน
แต่แล้ว หาทั่วร้านหนังสือซิงหลงกลับไม่พบตำราที่เขาอยากได้
พอได้ยินว่าเซียวยวี่มาหาเื่ซีโหยวจี้สีหน้าลูกจ้างในร้านก็ดูไม่ดีเลย "ไปไปไป ที่นี่ไม่มีซีโหยวจี้"
ร้านหนังสือซิงหลงเป็ร้านหนังสือที่ใหญ่ที่สุดในเมืองโยวหลันเหตุใดที่นี่ถึงไม่มีซีโหยวจี้?
ในภายหลังลองถามคนอื่นจึงได้รู้ว่าซีโหยวจี้นั้นห้องหนังสือซานเว่ยเป็ผู้รับผิดชอบจำหน่าย มีเพียงที่ห้องหนังสือซานเว่ยถึงจะมีขาย
เซียวยวี่รีบไปที่ห้องหนังสือซานเว่ยคิดจะซื้อซีโหยวจี้สักหนึ่งเล่ม
หลิ่วสวินเหมี่ยวเห็นคนที่มารูปร่างสูงโปร่งอายุประมาณสิบหกถึงสิบเจ็ดปี บุคลิกกลับดูหนักแน่นสะกดอารมณ์ไว้ภายใน ท่าทางอิริยาบถเหมือนคุณชายตระกูลผู้ดีหากไม่ใช่เพราะเสื้อผ้าบนกายซักจนขาวซีดแล้ว ลักษณะคล้ายบัณฑิตยากจน เขาคงคิดว่าเป็ลูกหลานตระกูลมีชื่อ
หลิ่วสวินเหมี่ยวเพียงรู้สึกว่าคนผู้นี้ดูคุ้นตาแต่จำไม่ได้ว่าเคยเห็นที่ไหน แย้มรอยยิ้มบางพร้อมนำเล่มสุดท้ายออกมา "ท่านช่างมาได้ประจวบเหมาะนี่เป็เล่มสุดท้ายแล้ว"
เซียวยวี่รีบชำระเงิน
เขาเป็คนที่รักตำราดุจชีวิตจะซื้อซาลาเปาไส้หมูสักหนึ่งลูกยังต้องคิดแล้วคิดอีก แต่หากเป็ตำรา ขอเพียงเขามีเงินก็จะไม่ตระหนี่ถี่เหนียวแม้แต่น้อย
หยิบเงินออกมาหลายสิบอีแปะซื้อตำราเล่มนั้นไว้
พลิกเปิดหน้าแรกอย่างอดรนทนไม่ไหวทันใดนั้นก็รู้สึกตกตะลึงเพราะตัวหนังสือที่งดงามอ่อนช้อย
ตัวหนังสือที่งามสง่าดูสะอาดตาถึงเพียงนี้ต้องฝึกฝนอย่างยากลำบากกี่ปี ถึงจะเขียนออกมาได้เช่นนี้
เื่ราวด้านในก็น่าติดตามเซียวยวี่อ่านติดต่อกันหลายหน้า รู้ว่าสายมากแล้ว จึงสะพายหีบไม้ไผ่ มุ่งหน้าไปยังหมู่บ้านสกุลเซียว
ระหว่างทาง ก็มีความปรารถนาอยากอ่านตำราแต่ยิ่งเข้าใกล้บ้าน เขาก็ยิ่งรู้สึกหนักใจ
ออกจากบ้านมาสามเดือนกว่าไม่รู้ว่าน้องชายน้องสาวเป็อย่างไรบ้าง
เซี่ยยวี่หลัวทารุณพวกเขาสองคนหรือไม่?
นางด่าว่าทุบตี หรือลงโทษพวกเขาหรือไม่?
เงินห้าตำลึงที่เขามอบให้ก่อนออกเดินทางพวกเขาฝากให้คนอื่นนำไปมอบให้ตนเอง ไม่มีเงิน เกรงว่าเด็กสองคนคงผอมลงมากกระมัง?
เดิมทีก็ผอมแห้งจนเหมือนไม้ฟืนอยู่แล้วเขาไม่ได้อยู่ดูแลข้างกายสามเดือนกว่า เกรงว่าคงผอมลงกว่าเดิมจนเห็นแต่กระดูก
คาดหวังอะไรกับเซี่ยยวี่หลัวไม่ได้หากครั้งนี้เขาสอบไม่ผ่าน นางก็จะไปแล้ว ไปก็ไปเถอะ เขาแต่งงานกับนางตามความ้าของท่านตาของนางแต่หากนางไม่ยินยอมจะอยู่ที่นี่ เขาก็คิดจะปล่อยนางไป
หากครั้งนี้สอบไม่ผ่านอีกเขาจะไม่เรียนหนังสืออีกต่อไป
ดูแลที่นาสองหมู่อย่างสงบใจเลี้ยงดูอาเซวียนกับอาเมิ่งให้เติบใหญ่ เขาไม่เหลืออะไรแล้ว เหลือเพียงน้องชายน้องสาวสองคนที่มีสายเืเดียวกับเขา
เขาไม่เอาอะไรทั้งสิ้นแต่พวกเขาสองคน เขาจะปกป้องไปชั่วชีวิต
พอคิดได้ดังนี้ ฝีเท้าของเซียวยวี่ก็หนักหน่วงยิ่งขึ้นมองไปด้านหน้า ต้นหวายขนาดใหญ่ที่อยู่ตรงปากทางเข้าหมู่บ้านสกุลเซียวก็อยู่ข้างหน้าแล้วเซียวยวี่กระชับหีบไม้ไผ่ สาวเท้าก้าวใหญ่เดินไปยังปากทางเข้าหมู่บ้าน
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้