คุณครูเถียนกระแอมในลำคอแล้วเอ่ยต่อว่า “ั้แ่เปิดภาคเรียนที่แล้ว ซ่งตงซวี่ก็เริ่มรังแกเพื่อนร่วมชั้นค่ะ ในตอนแรกเขาดึงผมเปียของเด็กผู้หญิงคนหนึ่ง หลังจากนั้นก็แกล้งเพื่อนร่วมชั้นด้วยการวางหนอนไว้ในกล่องเครื่องเขียน ฉันสั่งสอนเขาไปสองสามประโยค เขาเองก็ยอมรับผิด ตอนนั้นฉันคิดว่าเด็กๆ ก็ทำผิดกันทั้งนั้น ขอแค่รู้จักปรับปรุงตัว ตราบใดที่รู้จักแก้ไขตัวเองฉันก็จะไม่เอาเื่ แต่ผ่านมาสักพัก ซ่งตงซวี่ก็ตีเพื่อนร่วมโต๊ะของเขา ครั้งนี้เื่ร้ายแรงกว่าครั้งก่อนมาก เดิมทีฉันวางแผนว่าจะโทรเรียกคุณพ่อคุณแม่ของเขามาแล้วหารือเกี่ยวกับสถานการณ์ของเด็กคนนี้ ทว่าซ่งตงซวี่ยอมรับผิดแต่โดยดี อีกทั้งยังสัญญาว่าครั้งหน้าจะไม่ทำเื่แบบนี้อีกแล้ว เขาขอร้องฉันไม่ให้เรียกผู้ปกครอง ฉันคิดว่าเด็กๆ ควรได้รับโอกาสปรับปรุงตัวเอง ก็เลยไม่ได้บอกคุณพ่อคุณแม่ค่ะ”
“ก่อนหน้านี้ฉันเพิ่งทราบมาว่าซ่งตงซวี่กำลังรวบรวมเด็กที่ไม่สนใจเรียนในโรงเรียนอยู่ค่ะ แล้วก็สร้างก๊กแก๊งอะไรขึ้นมาก็ไม่รู้ หลังจากที่ฉันได้ยินเื่นี้ก็เลยเรียกซ่งตงซวี่เข้ามาคุย เขายอมรับผิดอีกครั้งทันที ทั้งยังบอกว่าจะยุบแก๊งนี้ด้วย” พูดมาถึงตรงนี้ คุณครูเถียนก็ถอนหายใจ “ทุกครั้งที่ซ่งตงซวี่ทำผิด เขาก็จะยอมรับผิดอย่างรวดเร็ว นิสัยในการยอมรับผิดของเขานั้นดีขึ้นเรื่อยๆ แต่ครั้งต่อไป เขาก็จะยังทำผิดแบบเดิมซ้ำๆ หรือไม่ก็ร้ายแรงกว่าเดิม… ฉันเองก็จนปัญญาแล้วค่ะ ถึงได้เรียกคุณแม่มาเพื่อพูดคุยเกี่ยวกับสถานการณ์ของซ่งตงซวี่”
ซย่านีถึงกับพูดไม่ออก “…”
ตอนนี้เธออยากจับเ้าสารเลวตัวน้อยอย่างซ่งตงซวี่มาฟาดตีสักทีดีไหมนะ?
“ต้องขอโทษคุณครูด้วยนะคะ เป็เพราะฉันที่สอนเขาไม่ดีเอง” ซย่านีเริ่มโทษตนเอง
ปีนี้ซ่งตงซวี่อายุเพิ่งจะหกขวบ เธอเลี้ยงดูเขาจนทำให้เขามีนิสัยแบบนี้ นอกจากสาเหตุที่เขาค่อนข้างซุกซนแล้ว เหตุผลหลักก็ยังเป็เพราะเขาขาดการอบรมสั่งสอนจากคนในครอบครัว
พอซย่านีคิดถึงจุดจบของซ่งตงซวี่ในชาติที่แล้ว เธอก็รู้สึกอึดอัดใจขึ้นมา
เมื่อคุณครูเถียนเห็นว่าซย่านีตระหนักถึงความรุนแรงของเื่นี้ เธอจึงลดน้ำเสียงลง “คุณแม่ตงซวี่ คุณเองก็ไม่ต้องกังวลไป ตอนนี้เด็กยังเล็กอยู่ค่ะ ขอแค่ตั้งใจสั่งสอนดีๆ เขาจะต้องเปลี่ยนตัวเองได้แน่... แค่ว่าทางผู้ปกครองของเด็กจะต้องมีความอดทนหน่อยนะคะ อย่าไปลงไม้ลงมือกับเด็ก เพราะซ่งตงซวี่เป็เด็กที่ฉลาดหลักแหลมมาก ถ้าคุณตีเด็กคนนั้น เชื่อฉันเถอะค่ะ ว่ามันต้องไม่ได้ผลแน่นอน ทางที่ดี เราควรตั้งกฎเกณฑ์ให้เขาจะดีกว่า บอกเขาว่าเขาทำอะไรได้ และทำอะไรไม่ได้"
ซย่านีเอ่ยซ้ำไปซ้ำมา “ได้ค่ะได้ คุณครูเถียน ครูวางใจได้เลย ฉันจะต้องคิดหาวิธีจัดการเื่นี้แน่นอน”
ซย่านีเพิ่งจะกล่าวจบ คุณครูผมสั้นใส่แว่นคนหนึ่งก็เดินเข้ามา
คุณครูเถียนกล่าวแนะนำ “นี่คือคุณครูคณิตศาสตร์ของซ่งตงซวี่ค่ะ... ส่วนนี่คือคุณแม่ของซ่งตงซวี่ค่ะ”
“คุณแม่ซ่งตงซวี่หรือคะ?” คุณครูคณิตศาสตร์เดินเข้ามาแล้วเอ่ยถาม “ตอนอยู่ที่บ้านซ่งตงซวี่ได้ทำการบ้านบ้างไหมคะ? เขาทำเมื่อไหร่บ้าง? ่นี้เขาไม่ค่อยส่งการบ้านเลยค่ะ”
ซย่านีเริ่มรู้สึกว่ารอยยิ้มของตนเองชักจะแข็งทื่อขึ้นทุกที เธอเอ่ยตอบ “เขาทำการบ้านนะคะ ปกติตอนกลับถึงบ้าน เขาก็จะทำการบ้านพร้อมกับพี่สาวของเขา... พี่สาวของเขาอยู่ชั้นป.2 ห้อง 1 ชื่อว่าซ่งวั่งซูค่ะ”
คุณครูเถียนครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง “โอ้ ฉันรู้จักเธออยู่ค่ะ” ซ่งวั่งซูค่อนข้างเป็ที่รู้จักในโรงเรียน เหตุผลหนึ่งเป็เพราะเด็กสาวคนนี้หน้าตาสะสวย ส่วนอีกเหตุผลหนึ่งเป็เพราะซ่งหานเจียงผู้เป็พ่อของเด็กน้อยคนนี้ ก่อนหน้านี้ที่เขามางานประชุมผู้ปกครองของเด็กหญิงตัวน้อย ซ่งหานเจียงอาศัยใบหน้าอันหล่อเหลา และความเพียบพร้อมทางด้านวุฒิการศึกษา เพียงแค่การปรากฏตัวครั้งนั้นก็สามารถทำให้คุณครูผู้หญิงทั้งโรงเรียนจดจำเขาได้ในทันที
ทว่าตอนนี้พอลองมองไปที่ซย่านีแล้ว คุณครูเถียนก็พลันมีประโยคหนึ่งผุดขึ้นมาในหัว ช่างเป็ ‘ดอกไม้ปักบนมูลวัว’ จริงๆ เลยเชียว บิดาของซ่งวั่งซูหล่อมากขนาดนั้น แต่กลับแต่งภรรยาสภาพนี้ได้ลงคอ
แน่นอนว่าคนเราไม่อาจตัดสินผู้อื่นจากรูปลักษณ์ภายนอกได้ บางทีเธออาจจะมีข้อดีอย่างอื่นก็ได้ใช่ไหมล่ะ?
คุณครูเถียนทำได้เพียงปลอบใจตนเองไปแบบนี้
“คุณแม่ตงซวี่ คุณเคยตรวจการบ้านของตงซวี่บ้างไหมคะ?” คุณครูคณิตศาสตร์เอ่ยถามขึ้น
ซย่านียิ้มอย่างเก้ๆ กังๆ “ขอโทษด้วยค่ะคุณครู ฉันไม่เคยเรียนหนังสือ...”
ในชาติที่แล้วซย่านีได้ตระหนักถึงความสำคัญของการเรียนรู้แล้ว การอยู่ในสังคมที่พัฒนาอยู่ตลอดนั้น แทบจะเป็ไปไม่ได้เลยที่เธอจะมีโอกาสก้าวไปข้างหน้าโดยที่ตนเองไม่รู้หนังสือ น่าเสียดายที่ตอนนั้นเธออายุสี่สิบกว่าแล้ว แถมยังตัวคนเดียวอีก เธอเลยไม่มีกำลังใจจะร่ำเรียนเท่าไหร่นัก เพราะเหตุนี้พอเธอกลับมาเกิดใหม่อีกครั้ง เธอถึงจำคำศัพท์ได้แค่ไม่กี่คำ
ซย่านีแอบสาบานกับตัวเองว่าในชาตินี้ เธอจะต้องตั้งใจเรียนและยกระดับการศึกษาของตัวเองให้ได้ หากเป็ไปได้ล่ะก็ เธอก็หวังว่าตนเองจะได้เป็นักศึกษามหาวิทยาลัยกับเขาบ้าง
ในใจคุณครูเถียนสับสน เธอลอบคิดในใจว่าพ่อของซ่งวั่งซูคงจะตาบอดเสียแล้ว ถึงได้ตกหลุมรักแม่ของเด็กน้อยคนนี้
คุณครูคณิตศาสตร์กล่าวว่า “ไม่ว่าอย่างไร คุณแม่ก็ควรตรวจการบ้านของลูกหน่อยนะคะ ถึงจะไม่รู้หนังสือ แต่อย่างน้อยก็เห็นว่าเด็กเขียนหนังสือมากหรือน้อย และดูว่าตอบคำถามครบทุกข้อไหม เื่พวกนี้คุณแม่ก็น่าจะสามารถตรวจได้นะคะ”
ซย่านีพยักหน้ารัวๆ และกล่าวคำสัญญาอย่างจริงใจ “ได้ ได้ค่ะๆ ต่อไปฉันจะให้ความสำคัญกับการเรียนของเด็กๆ เพิ่มอย่างแน่นอนค่ะ”
หลังจากออกจากโรงเรียนมา ซย่านีก็ถอนหายใจยาว เธอรู้สึกว่าการรับมือกับหลี่เสวี่ยหรูยังไม่เหนื่อยขนาดนี้เลย
แม้ว่าซย่านีจะกังวลเื่ที่จะทำให้ซ่งตงซวี่กลับมาสู่เส้นทางที่ถูกต้อง แต่การศึกษานั้นเป็เื่ระยะยาว ไม่อาจรีบร้อนได้ สิ่งที่เร่งด่วนที่สุดในตอนนี้คือการรีบหาเงินแล้วพัฒนาชีวิตของเด็กๆ ให้ดีขึ้น
หลังจากนั้นซย่านีก็เดินทางไปที่ห้างสรรพสินค้า
ห้างสรรพสินค้าในยุคสมัยนี้ย่อมไม่อาจเทียบกับห้างใน่สองสามทศวรรษให้หลังได้ แต่ที่นี่ก็มีสินค้าหลากหลายประเภทให้ผู้คนได้เลือกสรร
หลังจากที่ซย่านีมาถึง ก็รีบตรงไปที่ตู้ขายหนังยางและกิ๊บติดผมทันที
“สหาย [1] หนังยางนี่ราคาเท่าไหร่หรือ?” ซย่านีเอ่ยถาม
พนักงานขายหยิบหนังยางออกมาจากตู้แสดงสินค้าเพื่อให้ซย่านีดู “ห่อนี้ราคาสองเหมาค่ะ”
ซย่านีกวาดตามอง ก็พบว่าในหนึ่งถุงมีหนังยางอยู่อย่างน้อยหนึ่งร้อยเส้น หนังยางรัดผมราคาถูก แถมยังไม่ต้องใช้ตั๋วในการซื้ออีก เธอน่าจะทำธุรกิจนี้ได้แหละ!
“แล้วกิ๊บนั่นล่ะ?” ซย่านีชี้ไปที่กิ๊บติดผมที่อยู่ในตู้แสดงสินค้า กิ๊บติดผมชนิดนี้เป็สีเงิน ไม่ได้ลงสีดำเลยแม้แต่น้อย
พนักงานขายกล่าวว่า “อันละสองสตางค์ค่ะ หนึ่งเหมาได้ห้าชิ้น”
ซย่านีั์ตาเป็ประกาย นี่มันถูกมาก แบบนี้ธุรกิจน่าจะทำกำไรได้!
ซย่านีวางแผนไว้แล้ว เธอจะทำยางรัดผมวงดอกไม้กับกิ๊บติดผมถักลาย เธอไม่ได้เก่งกาจด้านศิลปะอะไร แต่ชาติก่อนเธอหาเงินได้จากการทำงานด้วยสองมือของตนเองจึงเคยเรียนรู้งานฝีมือมาไม่น้อย และเธอยังสามารถถักไหมพรมเป็รูปต่างๆ ได้อีกด้วย ไม่ว่าจะเป็กิ๊บติดผมหรือกระเป๋า เธอก็ถักได้ทั้งนั้น
ซย่านีหยิบเงินสองหยวนออกมา แล้วกล่าวว่า “ฉันเอาหนังยางยี่สิบห่อก่อน”
พนักงานขายมองดูซย่านีด้วยความประหลาดใจ เธอคิดไม่ถึงว่าซย่านีจะซื้อสินค้าจำนวนมากขนาดนี้
ยังดีที่พนักงานขายมีความเป็มืออาชีพพอ ไม่ต้องสั่งอะไรมาก เธอก็นำสินค้าจากตู้แสดงสินค้าออกมาให้ซย่านีแล้ว
ซย่านีเตรียมจะทำหนังยางรัดผมวงดอกไม้ก่อน เพราะมันใช้แค่หนังยางกับเศษผ้า ก็สามารถทำได้แล้ว
ซย่านีเหลือเงินในมือเพียงเล็กน้อย ดังนั้นเธอจึงต้องวางแผนอย่างรอบคอบ ค่าใช้จ่ายในการทำกิ๊บถักนั้นราคาค่อนข้างสูง เธอจะทำได้ก็ต่อเมื่อมีรายได้จากการขายหนังยางวงดอกไม้แล้วเท่านั้น
ซย่านีเก็บหนังยางลงกระเป๋า ก่อนจะหันหลังแล้วมุ่งหน้าไปยังโรงงานทอผ้าทันที
แต่ถึงอย่างนั้นสิ่งต่างๆ ก็ไม่ได้ง่ายดายอย่างที่เธอคิด
เชิงอรรถ
[1] สหาย 同志 (ถงจื้อ) แปลว่า สหาย ในยุคที่ทุกคนต่างมีความเท่าเทียมกัน คนจีนจะใช้คำว่า สหาย เรียกกันในหมู่เพื่อนฝูงแทนชื่อของทุกๆ คน หมายถึงคนที่มีอุดมการณ์ปณิธานเดียวกัน
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้