เนี่ยหลีพาเยี่ยจื่ออวิ๋นวิ่งเร่งไปด้วยกันอย่างสุดกำลัง หลบเลี่ยงวานรั์แขนเทาตามทาง
เริ่มดึกแล้ว
หากยังเดินทางต่อไปก็เป็ง่ายต่อการประสบกับอันตรายต่างๆ
“พวกเราหยุดพักที่นี่กันก่อนเถอะ!” เนี่ยหลีหันมองเยี่ยจื่ออวิ๋นและพูดขึ้นมา
แม้ดึกมากแล้วแต่เยี่ยจื่ออวิ๋นยังแสดงความกล้าหาญกว่าเด็กสาวทั่วไป ดวงตาสดใสของนางมองลึกเข้าไปในผืนป่า ภาพเงาอย่างหนึ่งซึ่งอยู่ไกลออกไปปรากฏสู่สายตาของนาง
“นั่นคืออะไรรึ?” เยี่ยจื่ออวิ๋นเอ่ยถามขึ้นมาด้วยท่าทางสงสัย
“ดูเหมือนจะเป็สิ่งปลูกสร้างอย่างหนึ่ง!” เนี่ยหลีขมวดคิ้วเล็กน้อย นั่นคือซากสิ่งปลูกสร้าง
“ไปดูกันเถอะ!” เยี่ยจื่ออวิ๋นก้าวเดินไปทางนั้น ทิ้งเนี่ยหลีไว้ตามลำพัง เยี่ยจื่ออวิ๋นประหม่าเล็กน้อย ไม่ว่าอย่างไรนี่ก็เป็ครั้งแรกที่นางอยู่กับเด็กผู้ชายกลางดึกกลางดื่น แม้นางจะเชื่อว่าเนี่ยหลีคงไม่ทำอะไรนาง ทว่าหัวใจยังคงเต้นระรัวไม่เป็จังหวะ ดังนั้นจึงพยายามหันเหความสนใจของคนทั้งสองไปทางอื่น
เนี่ยหลีเดินตามเยี่ยจื่ออวิ๋นไปด้านหลัง มุ่งตรงไปทางนั้น
“ที่นี่น่าจะเคยเป็ประติมากรรมแห่งหนึ่ง!” เนี่ยหลีพูด ดูไม่ออกว่าเป็รูปสลักหรืออะไรเนื่องจากมันชำรุดเสียหายไปมากแล้ว
ที่นี่คงเป็ซากอารยธรรมก่อนยุคมืดที่เหลืออยู่เพียงเล็กน้อย
“นี่เป็ตัวหนังสืออะไร?” เยี่ยจื่ออวิ๋นหันมองเนี่ยหลีและถาม
ใต้ประติมากรรมนี้มีแผ่นหินอยู่แผ่นหนึ่ง เนี่ยหลีปัดฝุ่นดินบนผิวออก อาศัยแสงจันทร์มองตัวหนังสือบนนั้นและพูด “นี่เป็ตัวหนังสือสมัยอาณาจักรเสินเซิ่ง บนนี้เขียนไว้ว่า “หากก้มหัวให้ข้าจะได้รับเกียรติยศและชื่อเสียง หากต่อต้านข้าจะได้รับความพินาศย่อยยับ” ช่างเป็คำพูดที่โอหังนัก!”
คำพูดเหล่านี้คงถูกจอมเผด็จการบางคนจารึกทิ้งเอาไว้ ฐานะและอำนาจของจอมเผด็จการผู้นี้คงสูงส่งนัก กระนั้นก็ตาม แล้วจะเป็เช่นไรเล่า? สุดท้ายเขาและอาณาจักรของเขาก็ต้องถูกคลื่นสัตว์อสูรที่บ้าคลั่งกลืนกินอยู่ดี ครั้งหนึ่งเคยเป็จอมเผด็จการ สุดท้ายก็กลายเป็เพียงเศษดินเหลืองๆ กองหนึ่ง
“เนี่ยหลี เ้าเรียนรู้ภาษาของยุคอาณาจักรเสินเซิ่งได้อย่างไร?” เยี่ยจื่ออวิ๋นเอ่ยถาม เต็มไปด้วยความสงสัยกับเื่นี้ เพราะเมืองกวงฮุยหลงเหลือความรู้เกี่ยวกับภาษาในยุคอาณาจักรเสินเซิ่งเพียงเล็กน้อยเท่านั้น และมีน้อยคนนักที่จะรู้จัก
“ข้าเรียนรู้ได้อย่างไรอย่างนั้นรึ?” เนี่ยหลียิ้ม เขาไม่อาจบอกความจริงได้ว่า “ชาติที่แล้วข้าอาศัยอยู่ในหนังสือจิตอสูรแห่งกาลเวลา ใช้เวลาหลายร้อยปีศึกษาทุกอย่างในยุคอาณาจักรเสินเซิ่ง อักษรทุกตัว และทุกเคล็ดวิชายุทธ์” ใช่หรือไม่?
“ไม่อยากบอกก็ช่างเถอะ!” เยี่ยจื่ออวิ๋นเบ้ปากพูด
เนี่ยหลียักไหล่ นี่มิใช่ไม่อยากบอก ทว่าต่อให้เขาบอกเยี่ยจื่ออวิ๋นก็คงไม่เข้าใจ
เยี่ยจื่ออวิ๋นเดินรอบประติมากรรมนั้น ชั่วขณะที่นางกำลังจะตรวจสอบซากประติมากรรม นางพลันส่งเสียงร้อง “เอ๊ะ” ออกมาคำหนึ่งด้วยความใ
เนี่ยหลีพบว่าจุดที่เยี่ยจื่ออวิ๋นยืนอยู่กำลังจมลงไปอย่างรวดเร็ว สีหน้าของเขาเริ่มถอดสี รีบกระโจนเข้าหาเยี่ยจื่ออวิ๋น อย่างไรก็ตาม พื้นดินดูเหมือนยิ่งจมลงไปมากขึ้น พลังดูดรุนแรงระลอกหนึ่งดูดเอาคนทั้งสองตกลงไป
ด้านล่างดูราวกับนรกขุมหนึ่งที่ลึกจนสุดหยั่ง
เมืองกู่หลันเหตุใดถึงได้มีสถานที่เช่นนี้อยู่ด้วย? เนี่ยหลีกอดเยี่ยจื่ออวิ๋นไว้แน่น ชักดาบออกมาปักลงบนผนังหินด้านข้าง
เมื่อดาบปักลงไปบนกำแพงหิน เสียงหักเปรียะก็ดังขึ้น กำแพงหินที่นี่แข็งเกินไป!
ที่นี่เป็สถานที่อะไรกันแน่? เนี่ยหลีอยากมองลงไปเบื้องล่าง แต่ก็ต้องพบว่าที่ก้นหลุมมืดสนิทจนมองไม่เห็นสิ่งใด
เวลานี้เยี่ยจื่ออวิ๋นฉวยจังหวะขณะความเร็วที่ตกลงไปชะงักลงเล็กน้อย รีบดึงเชือกเส้นหนึ่งออกมาจากแหวนมิติ ยึดเข้ากับผนังหินข้างๆ ที่นูนออกมา เสียงดัง “ปัก” ทีหนึ่ง ทั้งสองยึดเชือกไว้ ประคองตัวอยู่ข้างผนังหินนั้น
ไหมของอสูรแมงมุมน้ำแข็งหิมะนั่นเอง มิน่าจึงมีความเหนียวทนปานนี้!
เนี่ยหลีผ่อนลมหายใจออกมาด้วยความโล่งอก แม้จะรู้สึกถึงแรงดูดจากเบื้องล่าง ทว่าทั้งสองก็ยังพอฝืนต้านทานได้
“เนี่ยหลี นี่มันคือที่ไหนกัน?” เยี่ยจื่ออวิ๋นพูดขึ้นอย่างกังวล นางและเนี่ยหลีห้อยตัวอยู่กลางอากาศ เนื่องจากกำแพงหินเรียบลื่นเกินไปจึงไม่อาจปีนขึ้นไปได้ และก็ไม่อาจมองเห็นก้นหลุมที่ลึกเช่นนี้ได้
“ข้าก็ไม่รู้เช่นกัน!” เนี่ยหลีฝืนยิ้มตอบ เขาก็ไม่รู้ว่ามีสถานที่เช่นนี้ซุกซ่อนอยู่ในซากเมืองโบราณกู่หลัน และก็ไม่เคยได้ยินเยี่ยจื่ออวิ๋นเล่าให้ฟังในชาติที่แล้ว
พวกเขาบังเอิญเข้ามาถึงสถานที่ลับแห่งหนึ่งใจกลางซากเมืองโบราณกู่หลัน!
เนี่ยหลีหวนนึกถึงเหตุการณ์ทั้งหมดที่ผ่านมาเมื่อครู่แล้วก็พลันเข้าใจ คำจารึกที่เพิ่งอ่านไปเมื่อครู่คงต้องเป็กุญแจสำหรับเข้ามายังสถานที่แห่งนี้!
“พวกเราคงได้แต่ลงไปแล้ว!” เนี่ยหลีพูด เป็ไปไม่ได้ที่จะย้อนกลับขึ้นไปเพราะผนังหินเรียบลื่นเช่นนั้นย่อมไม่อาจปีนขึ้นไปได้
เนี่ยหลีเงยหน้า มองเห็นแสงจันทร์สาดส่องลงมา พอได้พินิจดวงตาฉลาดเฉลียวของเยี่ยจื่ออวิ๋นในขณะนี้ ขนตางอนน้อยๆ กับผิวพรรณผ่องใสไร้ตำหนิ ภาพฉากนี้มีมนตร์ขลังน่าประทับใจจนไม่อาจบรรยายได้ อีกทั้งริมฝีปากจิ้มลิ้มสีชมพูระเรื่อราวกับแต่งแต้มชาดแดงไว้บางๆ เวลานี้คนทั้งสองร่างแนบชิดติดกัน รู้สึกได้ถึงอกอ่อนนุ่มคู่หนึ่งของเยี่ยจื่ออวิ๋น ทั้งยังกรุ่นกลิ่นกายหอมของเด็กสาว
เยี่ยจื่ออวิ๋นก็รู้สึกได้ถึงท่วงท่าราวกับคนรักของคนทั้งสอง นวลแก้มแดงระเรื่อขึ้นมาทันที
“ห้ามขยับ ข้าจะลงไปก่อน!” เยี่ยจื่ออวิ๋นรีบพูด
เห็นท่าทีประหม่าสงวนตัวของเยี่ยจื่ออวิ๋น เนี่ยหลีอดคิดถึงอดีตยามที่คนทั้งสองเพิ่งได้ชิดใกล้กันมิได้ บังเกิดความรักลึกซึ้งจากใจอย่างหนึ่งต่อเยี่ยจื่ออวิ๋น เขากระชับเอวของเยี่ยจื่ออวิ๋นอย่างไม่เกรงใจ ยิ้มแย้มและพูดว่า “จับข้าไว้ให้แน่นๆ พวกเราจะลงไปพร้อมกัน!”
เนี่ยหลี นี่ออกจะเกินไปแล้ว!
เยี่ยจื่ออวิ๋นรู้สึกได้ถึงแขนขวาของเนี่ยหลีที่กอดกระชับสะโพกของนางแน่นอย่างไม่เกรงใจ ในใจก็รู้สึกหงุดหงิดนัก ทว่าหากดิ้นรนขัดขืนเวลานี้ก็เกรงว่าทั้งสองคนคงต้องร่วงลงพื้นไปด้วยกันอย่างแน่นอน!
เนี่ยหลีเ้าคนชั่วช้า หยาบคายนัก! เยี่ยจื่ออวิ๋นก่นด่าในใจ แต่ก็อับจนหนทาง
เห็นสีหน้าเคืองใจของเยี่ยจื่ออวิ๋น เนี่ยหลียิ้มบางๆ ความอ่อนนุ่มในมือทำให้หัวใจของเขาสั่นระรัว อดที่จะกระชับบีบอีกสักสองหนไม่ได้ สะโพกของเยี่ยจื่ออวิ๋นกลมกลืนได้ส่วน อีกไม่กี่ปีข้างหน้าก็คงอวบอั๋นยิ่งขึ้น
“เนี่ยหลี หากเ้ายังกล้าขยับอย่างหน้าไม่อายอีก ข้าก็จะสู้กับเ้า พวกเราร่วงลงไปด้วยกันเถอะ!” ต่อให้เป็เยี่ยจื่ออวิ๋นผู้สูงส่งงามสง่าก็อดไม่ได้แล้ว สองคิ้วขมวดมุ่นจ้องมองเนี่ยหลี
“ได้ ข้าไม่ขยับแล้ว!” เนี่ยหลีหัวเราะร่า เขานึกถึงชีวิตในชาติก่อน เวลาเยี่ยจื่ออวิ๋นโกรธนางก็มีท่าทางเช่นนี้ไม่ผิดเพี้ยน เขาค่อยๆ ปล่อยเชือก สองคนก็ค่อยๆ ขยับลงไปข้างล่างด้วยกัน
เกือบสิบนาทีต่อมาเนี่ยหลีจึงรู้สึกว่าเท้าของตนแตะพื้นในที่สุด จำต้องปล่อยมือจากเยี่ยจื่ออวิ๋นอย่างไม่มีทางเลือก รู้สึกผิดหวังขัดใจยิ่งนัก
เยี่ยจื่ออวิ๋นชิงชังขบฟันแน่น ไม่พูดไม่จาเริ่มออกสำรวจรอบด้าน แต่เล็กจนใหญ่นางไม่เคยถูกใครเอาเปรียบเช่นนี้ และที่น่ารังเกียจที่สุดก็คือเนี่ยหลีที่อยู่ข้างๆ กลับทำราวกับไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น แสร้งทำสำรวจสถานที่รอบด้านอย่างหน้าตาเฉย
ยิ่งคิดก็ยิ่งแค้น เยี่ยจื่ออวิ๋นยกเท้าขึ้นและก็กระแทกลงไปที่หลังเท้าของเนี่ยหลี
“โอ๊ย!” เนี่ยหลีสูดอากาศเย็นเข้าไป กอดเท้าของตนะโเหยงๆ ไปรอบๆ
เห็นท่าทางเกินจริงของเนี่ยหลี เยี่ยจื่ออวิ๋นอดหัวเราะออกมาไม่ได้ “หากเ้ายังกล้าทำตัวไม่ซื่ออีก ข้าจะไม่ให้อภัยเ้าแล้ว!”
ท่าทางหัวเราะของเยี่ยจื่ออวิ๋นยิ่งมองก็ยิ่งงดงามตรึงใจ เนี่ยหลีมองจนทำตัวไม่ถูกแล้ว รอยยิ้มของเยี่ยจื่ออวิ๋นงดงามดั่งคำที่ว่า “มัจฉาจมวารี ปักษีตกนภา” โดยแท้
เมื่อรู้สึกได้ถึงสายตาประหลาดของเนี่ยหลี เยี่ยจื่ออวิ๋นรีบถอนสายตากลับไป สองแก้มของนางร้อนผะผ่าวเล็กน้อย ไม่รู้ว่าเหตุใดจังหวะหัวใจถึงได้เต้นระรัวเช่นนี้
“รีบช่วยกันหาทางออกเร็วเข้า ไม่เช่นนั้นพวกเราคงไม่อาจออกไปได้!” เยี่ยจื่ออวิ๋นรีบพูด
“ได้!” เนี่ยหลีควบคุมสีหน้าเอาไว้ หยิบคบเพลิงออกมาจากแหวนมิติและจุดไฟ อาศัยแสงไฟสำรวจรอบด้าน พวกเขาดูเหมือนจะตกลงมาที่วังใต้ดินแห่งหนึ่ง ที่นี่มีทางเดินแยกออกไปถึงห้าถึงหกเส้น ไม่รู้ว่าจะพาไปที่ไหน ดูราวกับเขาวงกตแห่งหนึ่ง
ลองคิดดูว่าโครงสร้างภายในเขาวงกตแห่งนี้จะใหญ่โตปานใด
เนี่ยหลีพบตัวอักษรแถวหนึ่งบนผนังหินด้านข้าง
“ที่สถิตแห่งจักรพรรดิคงิผู้เปี่ยมด้วยพร์!” เนี่ยหลีพึมพำและก็พลันใ “ที่นี่ก็คือสุสานของจักรพรรดิคงิแห่งอาณาจักรเสินเซิ่ง!”
“จักรพรรดิคงิรึ?” เยี่ยจื่ออวิ๋นเต็มไปด้วยความสงสัย
“ใช่แล้ว” เนี่ยหลีทอดถอนใจเบาๆ “นี่คือจักรพรรดิที่ลึกลับที่สุดในอาณาจักรเสินเซิ่ง ในฐานะจักรพรรดิพระองค์หนึ่งของอาณาจักรเสินเซิ่ง ท่านกลับใช้ตัวอักษริเป็คำแทนตน ซึ่งเป็สิ่งที่แปลกอย่างยิ่ง จักรพรรดิลึกลับพระองค์นี้ทิ้งอาณาจักรเสินเซิ่งไปในระหว่างที่ครองราชย์และมอบราชบัลลังก์ของพระองค์ให้แก่พระราชโอรส กล่าวกันว่าวิทยายุทธ์ของพระองค์ก้าวล้ำถึงขั้นที่น่าอัศจรรย์ยิ่ง กลายเป็ะ กระทั่งผู้สืบเชื้อสายของพระองค์ก็ยังหาพระศพของท่านไม่พบ คิดไม่ถึงพระองค์กลับถูกฝังอยู่ที่นี่”
“มีคนที่สามารถฝึกถึงขั้นเป็ะได้ด้วยหรือ?” เยี่ยจื่ออวิ๋นมองๆ เนี่ยหลีและเอ่ยถาม
“ไม่มีหรอก นั่นเป็เพียงนิทานปรัมปราเท่านั้น ต่อให้ฝึกถึงเหนือระดับตำนาน ก็เพียงสามารถช่วยยืดอายุของเ้าออกไปได้ราวสองร้อยหรือสามร้อยปี ยังคงหนีไม่พ้นการเวียนว่ายตายเกิดตามกฎ์!” เนี่ยหลีหัวเราะ
“เหนือระดับตำนานรึ? เป็ระดับใดกัน?” เยี่ยจื่ออวิ๋นเอ่ยถาม ในใจเต็มไปด้วยความสงสัยแล้ว ในความเชื่อของนาง ระดับตำนานถือว่าเป็ระดับที่แข็งแกร่งที่สุดที่มีอยู่
“อีกไม่นานเ้าก็จะรู้เอง!” เนี่ยหลียิ้มแย้มส่ายศีรษะและไม่พูดอะไรต่ออีก
เยี่ยจื่ออวิ๋นงุนงง หรือเนี่ยหลีจะเคยพบผู้ที่แข็งแกร่งกว่าระดับตำนานมาก่อนหรือ? แต่เนี่ยหลีก็เหมือนนาง ไม่เคยออกนอกเมืองกวงฮุยมาก่อน หรือเขาเคยอ่านพบในหนังสือรึ? แม้นางจะสงสัย แต่เยี่ยจื่ออวิ๋นก็ไม่ซักถามต่อ
“ที่นี่คงเป็เขาวงกต ดังนั้นก็น่าจะมีหลุมพรางกับดักวางอยู่ พวกเราต้องระวังตัวให้มาก เ้าต้องก้าวเท้าตามจุดที่ข้าเดินเท่านั้น!” เนี่ยหลีหันมองเยี่ยจื่ออวิ๋นและพูด
แม้จะขุ่นใจที่เนี่ยหลีชอบใช้น้ำเสียงออกคำสั่งกับนางราวกับคนมีอายุมากกว่า แต่เยี่ยจื่ออวิ๋นยังคงพยักหน้าและตอบ “อืม!”
แม้แต่เนี่ยหลีก็ไม่ทันคิด เยี่ยจื่ออวิ๋นเวลานี้ยังเยาว์วัยนัก เนี่ยหลีมีความรู้สึกเป็ห่วงและอยากปกป้องเยี่ยจื่ออวิ๋น ดังนั้นน้ำเสียงที่พูดจึงมีความแตกต่างกับชาติที่แล้วอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
“ที่นี่มีทางแยกถึงห้าถึงหกเส้น พวกเราควรเลือกทางไหนดี?” เยี่ยจื่ออวิ๋นเอ่ยถาม กวาดมองทางเดินที่ลึกเข้าไปรอบด้าน
“ย่อมตัดสินใจได้ง่ายยิ่งนัก พวกเราควรมุ่งหน้าไปทางทิศเหนือ เพราะตามดวงชะตาของจักรพรรดิคงิ สุสานของพระองค์ต้องถูกสร้างไว้ทางทิศเหนือและให้หันหน้าไปทางทิศใต้”
“ทำไมรึ?” เยี่ยจื่ออวิ๋นสงสัย “เหตุใดสุสานของพระองค์จึงต้องถูกสร้างให้ตั้งอยู่ทางทิศเหนือและหันไปทางทิศใต้?”
“ก็เพราะว่ามันถูกเขียนไว้ในหนังสือเลขศาสตร์ฉบับสมบูรณ์สมัยอาณาจักรเสินเซิ่ง ทุกชีวิตจะมีสิ่งที่ให้คุณและให้โทษแก่ตน รวมถึงตำแหน่งสุสานและอื่นๆ อีกมากมาย! ผู้คนในอาณาจักรเสินเซิ่งมีความเชื่อเกี่ยวแก่เื่นี้เป็อันมาก!” เนี่ยหลีพูดยิ้มๆ
“หนังสือเลขศาสตร์ของอาณาจักรเสินเซิ่งรึ” เยี่ยจื่ออวิ๋นอดที่จะพึมพำซ้ำประโยคนี้ไม่ได้ “เนี่ยหลีเคยอ่านหนังสือมากี่มากน้อยแล้วกันแน่?”
“เช่นนั้นทางไหนเป็ทิศเหนือ? พวกเราเวลานี้อยู่ใต้ดิน จะบอกทิศทางได้อย่างไร?” เยี่ยจื่ออวิ๋นเอ่ยถาม
อย่างไรก็ตาม เนี่ยหลีเพียงยิ้มบางๆ “แยกออกได้ง่ายมาก เทือกเขาเซิ่งจู่พาดจากเหนือจรดใต้ พวกเราดูแนวเส้นลายบนหินก็สามารถบอกทิศทางได้แล้ว ไปทางนี้” เนี่ยหลีเดินไปยังทางเดินเส้นหนึ่ง
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้