แม้เื่ที่ผิงถิงจวิ้นจู่เป็คนโอหังจะจริงอยู่ แต่ยามที่นางได้ยินคำว่า ฮ่องเต้และไทเฮาก็ถึงกับอึ้งไป ใช่แล้ว เหตุใดนางถึงได้ลืมไปว่า จวิ้นจู่น้อยของจวนหนิงอ๋องกับจวิ้นจู่เช่นนางไม่เหมือนกัน อีกฝ่ายนั้นมีสายเืของตระกูลโอวหยางไหลเวียนอยู่ในกาย คนเป็ถึงหลานสาวสายตรงของเสี้ยวเหวินตี้
ดังนั้นก็สมเหตุสมผลแล้ว เพราะลูกสาวตนถึงกับกล้าลงมือกับหลานสาวของฮ่องเต้ มิน่าเล่าบิดาถึงได้กริ้วโกรธเพียงนี้ แม้นางจะเหมือนคิดได้ แต่ในใจก็ยังคงมีความโกรธแค้นอันเข้มข้น นางโกรธแค้นที่เสด็จพ่อไม่รักษาน้ำใจ โกรธแค้นเด็กสาวคนนั้นที่อวิ๋นซีเป็ผู้ชุบเลี้ยง คนกล้ามาหาเื่ลูกสาวสุดที่รักของนางถึงที่ โกรธแค้นที่เหตุใดตัวนางจึงไม่ใช่บุตรสาวของฮ่องเต้ นางไม่ใช่จวิ้นจู่ของตระกูลโอวหยางอย่างแท้จริง
เมื่อต้องมาคิดถึงความไม่ยุติธรรมทุกสิ่งอย่างเหล่านี้ ก็ทำให้นางนึกขึ้นได้ว่า อวิ๋นซีเป็ถึงพระชายาชินอ๋องขั้นหนึ่งชั้นสูง เป็ลูกสะใภ้ของฮ่องเต้เหมือนกัน แต่ลูกสาวคนโตของนางกลับเป็แค่พระชายาขั้นหนึ่งชั้นรอง เมื่อใดที่คนต้องพบกับสตรีตรงหน้าผู้นี้ ลูกสาวของนางก็ยังต้องเรียกขานอีกฝ่ายด้วยความนอบน้อมว่า ‘พี่สะใภ้’ ด้วยเพราะยศสูงกว่าขั้นหนึ่งทับคนตาย อย่างไรเสีย สำหรับคนในราชวงศ์ เื่ยศถาบรรดาศักดิ์นี้ ต่อให้ลำดับจะต่างกันแค่ครึ่งชั้นก็ยังสามารถทับคนให้ตายได้
อวิ๋นซีไม่รู้ว่าตอนนี้มีคนโกรธแค้นตัวนางอยู่ นางพูดอย่างไม่ใส่ใจแม้แต่น้อย “สิ่งที่เ้าควรรู้ ดอกเหมยแค่ไม่กี่กิ่งนั้น ก่อนที่พวกเ้าจะมาพักอยู่ที่นี่ หวานหว่านเป็คนพาเอ้อนีมาช่วยกันดูแล รดน้ำพรวนดินอย่างไม่มีขาดตกบกพร่อง ความงอกงามที่เ้าเห็นนั้นล้วนเป็พวกนางสองคนที่ทุ่มเททั้งกายใจ ทว่าวันนี้ คุณหนูรองหลิน เพียงเพื่อความตื่นเต้นชั่วครู่ของตนจึงไม่ทันได้ขออนุญาตจากเ้าของบ้านก็เด็ดดอกเหมยของหวานหว่านออกมาจนหมด ด้วยเื่นี้ การที่นางจะมาขอความยุติธรรมที่นี่ก็ถือเป็เื่ปกติธรรมดายิ่ง แต่คุณหนูรองหลินไม่เพียงไม่ให้ความยุติธรรมกับลูกสาวข้า แต่ยังะโว่าร้าย ทั้งยังคิดจะทุบตีนาง คงมิใช่ว่าพวกเ้าจะอาศัยผลงานและชื่อเสียงของเจิ้นหนานอ๋องก็คิดว่าจะทำให้พวกตนสามารถไร้ซึ่งความกลัวเกรงใดๆ คิดจะฆ่าจะแกงใครที่ไหนก็ได้ หรือจะว่ากล่าวคนในราชวงศ์เป็คนชั้นต่ำได้ครั้งแล้วครั้งเล่า...”
อวิ๋นซีเดินไปตรงหน้าพวกเขา สายตาเ็ามืดดำละลงบนร่างของผิงถิงจวิ้นจู่ “ผิงถิงจวิ้นจู่ เ้าเลี้ยงดูบุตรสาว แต่ไม่รู้จักสั่งสอน นี่นับเป็เื่น่าเศร้าที่สุดในฐานะของสตรีผู้หนึ่ง เปิ่นเฟยไม่รู้หรอกนะว่า ในยามที่พวกเ้าอาศัยอยู่ในแดนใต้ต้องใช้ชีวิตกันอย่างไร แต่เมื่อยามนี้มาอยู่ในเมืองหลวง ก็ควรต้องรักษากฎของเมืองหลวง ทว่า หากคุณหนูรองหลินยังคงทำตัวไม่รู้กฎระเบียบคือสิ่งใดครั้งแล้วครั้งเล่าอยู่เช่นนี้ เปิ่นเฟยก็หาได้หวั่นกลัว หากต้องบากหน้าไปขอร้องไทเฮาให้ส่งหมัวมัวของพระนางมาช่วยอบรมสั่งสอนในกฎเกณฑ์และมารยาทให้บุตรสาวของเ้า”
ถึงแม้นางจะไม่เคยคิดผิดใจกับเจิ้นหนานอ๋อง แต่ลูกสาวของตนถูกคนรังแกเพียงนี้ นางจะกล้ำกลืนลงไหวได้อย่างไร ต่อให้เพราะเื่นี้จะทำให้เจิ้นหนานอ๋องหันเหไปสวามิภักดิ์ต่อรัชทายาทหรืออ๋ององค์อื่นๆ นางก็หาได้สนใจ เพราะในใจของนาง ไม่ว่าเื่ใดก็ไม่สำคัญเท่ากับลูกสาวและสามี หากคนในครอบครัวยังไม่อาจปกป้องได้ แล้วจะไปพูดถึงเื่ทำงานใหญ่ได้อย่างไร
หลินหรงเว่ยคิดไม่ถึงอวิ๋นซีจะกล้าพูดจาโเี้เช่นนี้ออกมา เขามองไปยังพระชายาที่ยังอายุน้อยและมีนวลหน้าสวยสดงดงามผู้นี้ด้วยความประหลาดใจเล็กน้อย ถึงกระนั้นเขาก็รู้เื่เกี่ยวกับชายาหนิงอ๋องท่านนี้มาจากปากของลู่หลิงฉิงไม่น้อย จึงพอจะทราบว่าคนเป็สตรีที่มากอุบาย
ยิ่งนางเป็สตรีเช่นนี้ก็ควรต้องรู้ว่า ทหารกว่าสองแสนนายของเจิ้นหนานอ๋องนั้นสำคัญต่อพวกของตนเช่นไร แต่สตรีผู้นี้กลับไม่กังวลหรือเกรงกลัวเลยสักนิดว่าเจิ้นหนานอ๋องจะไปอยู่ข้างผู้อื่นแทน
ในใจของนางคิดอันใดอยู่กันแน่?
ในทางตรงกันข้าม เจิ้นหนานอ๋องที่เฝ้าฟังมาั้แ่ต้นถูกถ้อยคำที่เป็การปกป้องครอบครัวตนของอวิ๋นซีทำให้ใจเป็ต้องหวั่นไหว ไม่รู้เพราะเหตุใดเขามักจะเห็นว่า สตรีตรงหน้าผู้นี้มีเงาซ้อนทับของหนุ่มน้อยในตอนนั้น...ตอนนั้นลูกชายของเขาเองก็ปกป้องเสด็จแม่ของตน ไม่ว่าคนต้องทำสิ่งใดก็ล้วนไม่สนใจอันใดทั้งสิ้น น่าเสียดายที่เป็เขาไร้ซึ่งความสามารถ ไม่ได้ปกป้องสองแม่ลูกให้ดี กระทั่งวันที่เขากลับจากสนามรบมาถึงจวนอ๋อง สตรีที่เขารักที่สุดเป็ต้องตายจาก ส่วนลูกชายผู้นั้นก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย
“เจิ้นหนานอ๋อง ในเมื่อคุณหนูรองหลินยังไม่รู้ความอยู่เช่นนี้ เปิ่นเฟยก็จะไม่ฝืนรั้งให้พวกท่านอยู่ที่นี่ต่อไป อย่างไรเสีย ตอนนี้คณะราชทูตจากแคว้นต่างๆ ก็จากหนานเย่าไปหมดแล้ว ต่อให้พวกท่านจะยังรั้งอยู่ในเมืองหลวงกระทั่งงานล่าสัตว์ฤดูใบไม้ผลิสิ้นสุดลงจึงจากไป พวกท่านก็สามารถย้ายไปพำนักที่ตำหนักสิงกงได้” พูดจบ อวิ๋นซีก็เดินจากไปโดยไม่สนใจในความคิดของพวกเขาแม้แต่น้อย ส่วนเื่ที่ว่า คำกล่าวของนางเท่ากับเป็การออกปากไล่แขกหรือไม่นั้น ตัวนางก็ไม่ได้คิดว่ามีตรงไหนที่ไม่เหมาะสม
แม้นางจะเดินจากมา แต่ก็ไม่ได้มุ่งตรงไปยังที่พำนักของตนในทันที นางตัดสินใจไปเรือนของหวานหว่านเพื่อดูอาการของเอ้อนีก่อน ตอนที่เดินเข้ามาก็เห็นเด็กสองคนกำลังนั่งพูดคุยหัวเราะให้กันอยู่บนเตียง นางถึงได้วางใจลง และก้าวเข้าไปลูบศีรษะเอ้อนีเบาๆ “เ้าเด็กโง่นี่ อยู่ดีไม่ว่าดี เหตุใดจึงเอาตัวเองเข้าไปข้องเกี่ยวด้วยนะ อย่างไรเสีย หวานหว่านก็เป็คนไม่รู้จักหนักเบา ต่อให้แส้นั่นจะตีกระทบร่างนางบ้างก็ถือเป็เื่ที่สมควรแล้ว แต่เ้าไม่เหมือนกัน เ้าเป็เด็กที่รู้จักหนักเบามาเสมอ”
เอ้อนียิ้มเงยหน้า นางตอบ “ท่านน้าอวิ๋น ข้าไม่เป็อะไรเลยเ้าค่ะ ก่อนหน้านี้หวานหว่านให้ข้าสวมเกราะอ่อนของนาง ดังนั้น ตอนที่โดนแส้ฟาดจึงรู้สึกเจ็บแค่นิดหน่อย แค่ตอนนั้นเ้าค่ะ ส่วนตอนนี้ไม่เป็อะไรแล้วจริงๆ เ้าค่ะ”
“เอาละ ครั้งหน้าห้ามทำเื่ที่อันตรายเช่นนี้อีก มิเช่นนั้น วันหน้าข้าจะไม่ให้พวกเ้าออกจากบ้าน ข้าจะขังพวกเ้าไว้ในเรือนนี้” อวิ๋นซีเคาะศีรษะเด็กทั้งสองอย่างโกรธๆ
หวานหว่านเบะปาก “เสด็จแม่ หากเป็ไปได้ เปิ่นจวิ้นจู่อยากจะเตะแม่นางน้อยมากปัญหาผู้นั้นให้กระเด็นไปเลยจริงๆ คนมาอาศัยอยู่ในบ้านข้าแท้ๆ แต่ยังจะโอหังเช่นนี้อีก ยิ่งกว่านั้น ดอกเหมยของข้า พวกเรายังไม่ทันได้เห็นเลยด้วยซ้ำ นางกลับเด็ดไปแช่น้ำอาบเสียได้ ลูกว่านะ คนเยี่ยงหลินหลานถิงนั่น ต่อให้จะชำระกายด้วยดอกไม้มากมายเพียงใดก็ได้แค่นั้นแหละ เพราะภายในของนางล้วนเต็มไปด้วยสีดำ ส่วนภายนอกก็อัปลักษณ์ยิ่ง นางเป็สตรีที่ไม่สามารถออกหน้ามาให้ผู้อื่นชื่นชมได้จริงๆ ”
อวิ๋นซีเห็นลูกสาวตนปากร้ายเพียงนี้ก็อดไม่ได้ให้เหงื่อตก นิสัยนี่ได้ใครมา?
“วันหน้าไม่ว่าพวกเ้าจะมีหรือไม่มีกิจธุระใดก็อย่าได้ไปที่สวนตะวันตกอีก” ผิงถิงจวิ้นจู่ผู้นั้นเป็คนไม่ธรรมดาจริงๆ ต่อให้คนจะไม่อาจนับได้ว่าฉลาด แต่ก็ยังถือเป็อสรพิษตัวหนึ่ง หากให้พูดตามจริง การต้องมีคนเช่นนี้พักอยู่ที่นี่ ทำให้ในใจนางยังคงมีความกังวลอยู่
อวิ๋นซีย้ำครั้งแล้วครั้งเล่ากับเด็กๆ ก่อนจะจากไป
……...........................................................................................
เช้าวันรุ่งขึ้น อวิ๋นซีพาเด็กๆ ไปหอสุราเมาเมรัย เพื่อพบอวิ๋นซานและจ้าวลี่เจีย เมื่อพวกเขาได้เจอกัน จ้าวลี่เจียก็อุ้มเด็กทั้งสองไว้ไม่ยอมวาง ทำให้ใจของอวิ๋นซานสั่นไหว “ซานเหนียง เ้าทำเช่นนี้ได้จริงหรือ? ”
อวิ๋นซานมองสตรีของตนอุ้มเด็กทั้งสองไว้คนละมือ เขากังวลจริงๆ ว่าเด็กจะร่วงหล่นลงไป อวิ๋นซีเห็นเช่นนั้นกลับทำเพียงยิ้ม นางพูดขึ้น “ท่านพ่อ ท่านควรจะเชื่อในตัวมารดาข้าถึงจะถูก”
ไม่รู้เพราะเหตุใด การได้มองจ้าวลี่เจียเช่นนี้ก็มักจะทำให้นางนึกถึงมารดาเฉียวที่ตายไปหลายปีแล้ว มารดาผู้นั้นเองก็เป็สตรีที่มีใจเมตตาเช่นนี้เช่นกัน นี่คงเป็เหตุผลที่นางยอมรับสตรีตรงหน้าจากใจกระมัง
“บิดาเ้าไม่เชื่อใจข้า” จ้าวลี่เจียถลึงตาใส่อวิ๋นซาน “ตอนนี้สิ่งที่เขา้ามากที่สุดคงเป็การที่ข้าวางเด็กทั้งสองลง จากนั้นก็ให้เขาอุ้มแทน...ไม่ดูบ้างเลยว่าเด็กๆ จะยอมอยู่กับเ้าหรือไม่”
อวิ๋นซีเม้มปากอมยิ้ม ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด อวิ๋นซานสามารถหยอกล้อกับเด็กๆ ได้ แต่เมื่อเอื้อมมือออกไปอุ้มทีไร สองพี่น้องก็จะร้องไห้จ้าขึ้นมาทันที ด้วยเื่นี้ ทำให้อวิ๋นซานคับข้องใจยิ่ง ถึงขนาดที่ไม่ยอมพูดคุยกับใครไปหลายวัน
ตอนนี้มารดาล้อบิดาเช่นนี้ เกรงว่าคนต้องไม่พอใจเป็แน่
ทว่า เหนือไปจากความคาดหมาย อวิ๋นซานไม่แม้แต่จะโกรธ “แม้พวกเขาสองพี่น้องจะไม่ยอมให้ข้าอุ้ม แต่พวกเขาก็ชอบส่งยิ้มให้ข้าที่เป็ท่านตาของพวกเขามากที่สุด แต่เป็เ้านี่แหละที่พอมาถึงก็ยึดเด็กทั้งสองไว้คนเดียว นี่เป็การตั้งใจไม่ให้ข้าสนิทชิดเชื้อกับเด็กทั้งสอง ใช่หรือไม่? ”