ในวินาทีที่คำพูดนั้นดังออกมา
เหนือความว่างเปล่าเงาร่างหนึ่งที่ปกคลุมด้วยอักขระเต๋าราวกับหลอมรวมเข้ากับมหาเต๋าค่อยๆปรากฏขึ้น
สายตาไร้เมตตาของเขากวาดมองสิ่งมีชีวิตดุจมดด้านล่างราวมีดที่ขูดกระดูกก่อนจะหันไปยังสาขาย่อยตระกูลซูอย่างกะทันหัน
สายตาแทงทะลุความว่างเปล่าสาวน้อยผมม่วงตาสีม่วงโดดเด่นในสายตาของเขา
“ผมม่วงตาสีม่วงกลิ่นอายแห่งการทำลายล้างไม่ผิดแน่เป็สัญญาณของร่างเทพสายฟ้าสูงสุดและผู้ปกครองทั้งปวงก่อนจะตื่นตามที่บันทึกในคัมภีร์โบราณ”
จวินเทียนเ้าสำนักหลิงซวี่ดวงตาที่เคยเ็าไร้เมตตาตอนนี้เต็มไปด้วยความตื่นเต้น
นั่นคือร่างกายพิเศษถูกยกย่องว่าเป็ ‘ร่างที่มีความเร็ว’ ในบรรดาร่างกายทั้งหลาย
นี่หมายความว่าแม้ในบรรดาร่างกายทั้งหมดั้แ่โบราณกาลจนถึงปัจจุบันมันอยู่ในอันดับต้นๆ
จวินเทียนบ่มเพาะวิชายึดิญญาซึ่งเขาได้มาจากซากโบราณสถานถึงแม้จะไม่สมบูรณ์เป็เพียงฉบับที่เสียหาย
แต่ถึงจะไม่สมบูรณ์ผลของมันก็ท้าทาย์สามารถดูดซับร่างกายพิเศษทั้งหลายในโลกเข้าสู่ร่างของตนหลอมรวมเป็รากฐานเต๋าอันไร้เทียมทานและด้วยเหตุนี้จึงทะลวงพันธนาการของตนเอง
หากเขาสามารถดูดซับร่างกายของสาวน้อยผมม่วงตาสีม่วงนี้ได้เขาจะสามารถทะลวงกำแพงขอบเขตราชันได้อย่างแน่นอน
ในเวลานั้นอย่าว่าแต่กึ่งนักบุญเลยขอบเขตนักบุญก็อยู่ใกล้แค่เอื้อมและแม้แต่ขอบเขตจักรพรรดิสูงสุดก็อาจมองเห็นได้
เมื่อนึกถึงจุดนี้จวินเทียนไม่อาจอดกลั้นได้อีกต่อไปแต่ก่อนหน้านั้นเขายังต้องจัดการกับมดที่น่ารำคาญเหล่านี้
สายตาของเขากวาดลงมาโดยไม่มีการเคลื่อนไหวใดๆแต่ผู้าุโใหญ่ทั้งสามด้านล่างรวมถึงสมาชิกของสาขาย่อยและตระกูลหลักตระกูลซูต่างรู้สึกถึงพลังกดดันอันกว้างใหญ่ไม่อาจบรรยายได้ลงมา
ส่วนซุนเฟิงนั้นนอนคว่ำอยู่บนพื้นแล้วร้องเรียก ‘คารวะเ้าสำนัก’ ใบหน้าเต็มไปด้วยความเคารพและชื่นชม
ในขณะเดียวกันสายตาที่มองไปยังผู้าุโใหญ่ทั้งสามและคนอื่นๆเต็มไปด้วยการเยาะเย้ยและเหยียดหยามกลุ่มคนไร้ประโยชน์กล้าล้อมข้าพวกเ้ามันหาความตายชัดๆ
“เ้าสำนักหลิงซวี่เขามาด้วยตัวเอง!”
“จบแล้วจบแล้วทุกอย่างจบสิ้นข้าเพิ่งทะลวงขอบเขตได้ยังไม่มีเวลาได้เพลิดเพลินเลย”
“หากรักยั่งยืนเหตุใดต้องยึดติดกับยามเช้าและยามเย็น…”
“ในเวลานี้เ้ายังท่องกลอนรักอยู่อีก!”
“ข้ากะจะสารภาพรักกับนางหลังจัดการธุระเสร็จแต่เสียดายไม่มีโอกาสอีกแล้ว”
…
ไม่ต้องสงสัยสมาชิกตระกูลซูที่อยู่ ณ ที่นั้นเต็มไปด้วยความสิ้นหวัง
เ้าสำนักหลิงซวี่คือผู้อยู่ในขอบเขตราชันการฆ่าพวกเขาไม่ต่างจากบดขยี้มด
การต่อต้านนั้นเป็ไปไม่ได้อันที่จริงพวกเขาไม่อาจต้านทานได้
ภายใต้การกดขี่ของอำนาจศักดิ์สิทธิ์แห่งราชันพวกเขาไม่สามารถขยับได้แม้แต่นิ้ว
ตูม—
ราวกับฟ้าดินทลายอำนาจศักดิ์สิทธิ์ราชันผสมกับกลิ่นอายอันน่าตื่นตะลึงกดลงมา
เห็นได้ชัดว่าจวินเทียน้าบดขยี้สมาชิกตระกูลซูให้ตายด้วยวิธีนี้โดยไม่้าลงมือเองรู้สึกว่ามดเหล่านี้ไม่คู่ควร
ทว่าในขณะนั้นเสียงฝีเท้าดังขึ้นระหว่างฟ้าดินราวกับอยู่ระหว่างกาลเวลา
ชายหนุ่มเดินย้อนแสงมาเพียงสายตาเดียวรัศมีศักดิ์สิทธิ์ก็กระพริบวูบวาบ
“อ๊า!!”
เหนือความว่างเปล่าจวินเทียนเ้าสำนักหลิงซวี่ที่เคยหยิ่งผยองและถืออำนาจชีวิตและความตายเหนือสมาชิกตระกูลซูทันใดนั้นส่งเสียงร้องโหยหวนด้วยความทุกข์ทรมาน
จากนั้นเขาตกลงจากท้องฟ้าสูงโลหิตสาดกระเซ็น ณ จุดนั้น
และรัศมีศักดิ์สิทธิ์ของราชันและแรงกดดันนั้นแตกสลายในทันทีสลายกลายเป็อากาศ
ผู้ที่มาใหม่คือเย่ชิงหยุนและเหตุผลที่เขาใช้สายตาต่อสู้ย่อมเพื่อเลียนแบบซูเซวียน
ท้ายที่สุดการฆ่าศัตรูด้วยสายตาเพียงครั้งเดียวได้ทิ้งความประทับใจอันลึกซึ้งในจิตใจวัยเยาว์ของเขาในตอนนั้นมันช่างสง่างามและน่าเกรงขามยิ่ง
ด้านล่าง
สมาชิกตระกูลซูตื่นตะลึงและซุนเฟิงที่เคยมั่นใจก็ตื่นตะลึงเช่นกัน
การพลิกผันเกิดขึ้นรวดเร็วจนพวกเขายังไม่ทันได้ตอบสนอง
และเมื่อฟื้นคืนสติมองไปยังเ้าสำนักหลิงซวี่ที่กำลังนอนตายราวสุนัขตายบนพื้นทุกคนตัวสั่น
นั่นคือผู้อยู่ในขอบเขตราชันแต่ถูกสายตาเดียวจากชายหนุ่มผู้นี้โจมตีโดยไร้พลังต้านทาน
นี่คือพลังอันยิ่งใหญ่เพียงใด
แม้แต่ผู้าุโใหญ่ทั้งสามก็รู้สึกว่าชายหนุ่มผู้นี้ไม่ด้อยไปกว่าประมุขตระกูลของตน
หากเย่ชิงหยุนรู้ความคิดของพวกเขาคงใจนตายครึ่งตัว ‘ได้โปรดอย่านำข้ามาเปรียบกับการโม้ของพวกเ้า!’
เหนือท้องฟ้า
เย่ชิงหยุนก้าวเดินทีละก้าวดูเหมือนช้าแต่ในพริบตาเขาก็มาถึงใกล้ๆ
“เ้า…เ้าเป็ใคร”
บนพื้นจวินเทียนที่เดิมกำลังใกล้ตายกลับมีอาการดีขึ้นบ้างเห็นได้ชัดว่าใช้เคล็ดวิชาลับในการรักษา
และในฐานะเ้าสำนักหลิงซวี่เคล็ดวิชารักษาที่เขาฝึกฝนย่อมเหนือกว่าของซุนเฟิงมากและผลของมันย่อมท้าทาย์
น่าเสียดายว่านี่คือาแจากนักบุญอย่างมากก็เพียงทำให้เขาฟื้นตัวเล็กน้อย
ในขณะนี้หัวใจของจวินเทียนเต็มไปด้วยความหวาดกลัวและความรู้สึกอัปยศอดสู่
ในอดีตเขาจะฆ่าศัตรูในพริบตามองทุกอย่างเป็มดบัดนี้ทุกอย่างพลิกผันและเขาได้กลายเป็เหมือนศัตรูในอดีตของเขา
พ่ายแพ้ด้วยสายตาเดียวไร้พลังต้านทานโดยสิ้นเชิง
เย่ชิงหยุนไม่พูดเพียงเพิ่มสายตาอีกครั้ง
ในระยะใกล้เช่นนี้แม้แต่เคล็ดวิชารักษาที่ท้าทาย์ของจวินเทียนก็ไร้ประโยชน์คราวนี้เขาส่งเสียงร้องโหยหวนด้วยความทุกข์ทรมานจากนั้นร่างกายแตกสลายกลายเป็เถ้าถ่านโดยตรง
ทุกคนที่อยู่ ณ ที่นั้นตื่นตะลึงยิ่งนักนี่มันแข็งแกร่งเกินไปฆ่าราชันได้ในพริบตาด้วยสองสายตานี่มันทรงพลังขนาดไหน
และในขณะนี้ไม่ต้องอธิบายจากอำนาจนักบุญที่เขาไม่ปิดบังและพลังอันน่าสะพรึงกลัว
บุคคลนี้ต้องเป็นักบุญ
ในขณะนี้ไม่มีใครกล้าเอ่ยปากหรือแม้แต่หายใจดังทุกคนรู้สึกไม่มั่นคง
ท้ายที่สุดนี่คือนักบุญที่มาด้วยตัวเองเป็ยอดฝีมือไร้เทียมทานที่สามารถฆ่าราชันได้ง่ายกว่าฆ่าไก่ใครจะกล้าทะนงตัว
ทว่านักบุญผู้นี้กลับทำสิ่งที่คาดไม่ถึงต่อมา
เขามองไปยังสมาชิกตระกูลซูและกล่าวอย่างอ่อนโยน “ข้ามาถึงทันเวลาไม่มีใครได้รับาเ็ใช่หรือไม่มิฉะนั้นข้าจะไม่รู้ว่าจะอธิบายกับประมุขตระกูลอย่างไร”
เมื่อได้ยินคำพูดนี้และเห็นท่าทีของเขาสมาชิกตระกูลซูเงียบกริบทันที
เป็ผู้าุโใหญ่ซูเทียนิที่อดไม่ได้ถาม “ท่าน…ท่านประมุขตระกูลที่ท่านกล่าวถึงคือ…”
“แน่นอนว่าคือประมุขตระกูลซูของพวกเ้า”
เมื่อได้ยินเช่นนี้สมาชิกตระกูลซูถึงได้ตอบสนองและผู้าุโใหญ่ทั้งสามก็แสดงสีหน้าดีใจ
“เช่นนั้นท่านคือสหายของประมุขตระกูล”
“สหาย? ไม่ไม่ไม่ ข้าไม่คู่ควรเป็สหายของประมุขตระกูลข้าคือผู้พิทักษ์ตระกูลที่เขาหามานามว่าเย่ชิงหยุน”
เย่ชิงหยุนเมื่อได้ยินสมาชิกตระกูลซูเข้าใจผิดว่าเขาเป็สหายของบุคคลนั้นใทันที
นักบุญอย่างเขาจะคู่ควรเป็สหายของจักรพรรดิผู้ยิ่งใหญ่ได้อย่างไรถึงอีกฝ่ายจะยินยอมเขาก็ไม่กล้า
มันจะทำให้อายุขัยสั้นลง
และเมื่อได้ยินคำพูดของเย่ชิงหยุนสมาชิกตระกูลซูถึงกับตะลึงงันคิดว่าตนเองหูฝาด
เกิดอะไรขึ้น
เ้าเป็นักบุญอันทรงเกียรติบอกว่าไม่คู่ควรเป็สหายของประมุขตระกูล!?
จากนั้นพวกเขาตอบสนองอย่างรวดเร็วและมีความคิดเดียวผุดขึ้นในใจ
หรือว่าขอบเขตที่แท้จริงของประมุขตระกูลจะเกินกว่านักบุญ
เป็นักบุญผู้ยิ่งใหญ่ หรือปราชญ์สูงสุด!
ส่วนขอบเขตที่สูงกว่านั้นพวกเขาไม่มีแิและไม่กล้าคาดเดาต่อไป