ฉินเสี่ยวเยวี่ยยืนอยู่ใกล้เหวลึก นางจ้องมองลำธารด้านล่างหุบเขา ดอกโบตั๋นที่วูบไหวข้างกายบ่งบอกว่ายามนี้นางเข้าสู่ขอบเขตจิตหยั่งลึกขั้นห้าแล้ว
นี่เพิ่งจะวันที่สองนับั้แ่พวกเขาเข้าสู่แดนลับ ทว่าฉินเสี่ยวเยวี่ยกลับเลื่อนระดับได้สองขั้นติดต่อกัน โชคลาภนี้ช่างน่าอิจฉาเสียจริง
“เสี่ยวเยวี่ยดูสิ! นั่นใช่ศิษย์สำนักร้อยบุปผาของเราหรือไม่? เขากำลังถูกตามล่า”
ณ ริมลำธารเบื้องล่างหุบเหว คนกลุ่มใหญ่กำลังไล่ล่าหนิงเทียน และฉินเสี่ยวเยวี่ยกับเสิ่นซินจู๋ซึ่งอยู่บนยอดเขาบังเอิญเห็นเหตุการณ์นี้เข้าพอดี
ในฐานะสองสาวงามประจำสำนักร้อยบุปผา เสิ่นซินจู๋และฉินเสี่ยวเยวี่ยเปรียบเสมือนกล้วยไม้แห่งวสันตฤดูและเบญจมาศแห่งสารทฤดู ซึ่งทั้งคู่ล้วนมีลักษณะเฉพาะของตนเอง
หญิงทั้งสองออกเดินทางพร้อมผู้พิทักษ์บุปผากลุ่มใหญ่ ซึ่งช่วยเพิ่มความแข็งแกร่งให้การผจญภัยของพวกนางเป็อย่างมาก
“เ้านั่นไร้ความสามารถทั้งยังก่อความเดือดร้อนไปทั่ว คนประเภทนี้แม้ตายก็ไม่สมควรได้รับความเห็นอกเห็นใจ” เ้าิผู้อยู่ในขอบเขตจิตหยั่งลึกขั้นห้ากล่าวขึ้น
เขาเป็ผู้พิทักษ์บุปผาเคียงข้างฉินเสี่ยวเยวี่ยมาโดยตลอด และดูถูกดูแคลนหนิงเทียนจากก้นบึ้งของหัวใจ
ฉินเสี่ยวเยวี่ยไม่พูดอะไร ขณะที่เสิ่นซินจู๋ขมวดคิ้วแล้วถามว่า “ท้ายที่สุดแล้วเราล้วนมาจากสำนักเดียวกัน หากเห็นคนจะตายแล้วไม่ช่วย...”
“ในเมื่อศิษย์น้องเสิ่นเป็กังวล เช่นนั้นข้าจะลงไปดูสักหน่อย”
เฉินจี๋ ชายหนุ่มวัยยี่สิบสามปีรีบอาสาขึ้นมา เขาอยู่ในขอบเขตจิตหยั่งลึกขั้นเจ็ดและเป็หนึ่งในผู้ที่ชื่นชอบเสิ่นซินจู๋
“ขอบคุณศิษย์พี่เฉิน”
“เป็เกียรติอย่างยิ่งที่ได้ช่วยเหลือศิษย์น้องของข้า”
จากนั้นเฉินจี๋ก็โฉบลงไปยังก้นหุบเขาเพื่อช่วยเหลือหนิงเทียน
กระแสน้ำไหลเชี่ยว พลังงานหยินหนักหน่วง หนิงเทียนและเยี่ยชิงต่างเปิดเผยความลับของกันและกัน สุดท้ายก็มีแต่เสียกับเสีย เนื่องจากพวกเขาถูกไล่ล่าไปทุกหนทุกแห่ง ช่างเป็เื่ที่น่าอับอายอย่างยิ่ง
คนส่วนใหญ่ที่ไล่ตามหนิงเทียนเป็เหล่าลูกศิษย์สำนักั์พฤกษา ทั้งยังมีศิษย์ของสำนักทะยานเวหาอีกสองสามคนด้วย
ด้วยความแข็งแกร่งของหนิงเทียน แม้แต่ขอบเขตจิตหยั่งลึกขั้นเจ็ดก็ยากที่จะคุกคามเขา ทว่ายามนี้กลับมีคนจากสำนักั์พฤกษาที่ถือคันธนูไม้เล็งมาทางเขาอยู่
แท้จริงแล้วคนผู้นี้คือโหราจารย์ที่หาตัวจับยาก และคันธนูของเขาก็เป็อาวุธิญญาจื๋อซิวที่สามารถสังหารผู้บำเพ็ญทุกคนในขอบเขตจิตหยั่งลึกได้
ชายคนนี้มีนามว่าหูเถี่ยซิน เขาััได้ถึงความพิเศษของหนิงเทียนและ้าฆ่าตัดตอนอัจฉริยะผู้นี้ จึงไล่ตามเขาอย่างใกล้ชิด
ทุกครั้งที่คันธนูพุ่งเป้ามา หนิงเทียนจะสร้างกระแสพลังจากรอยประทับแผนที่จิติญญาในเส้นลมปราณแรก และรอดพ้นจากอันตรายมาได้หลายครั้ง
หนิงเทียนไม่กล้าให้หูเถี่ยซินเข้าใกล้ เขาเป็ถึงโหราจารย์ การอยู่ในระยะประชิดย่อมทำให้หนิงเทียนตกที่นั่งลำบาก และมีโอกาสสูงมากที่จะติดกับจนถึงแก่ความตาย
ดอกไม้ผลิบานตามสายธารเมื่อเฉินจี๋เผยกาย พลันโลกแห่งจินตนาการที่อบอวลไปด้วยกลิ่นหอมของบุปผาก็ปรากฏขึ้น
“ตามข้ามา”
เฉินจี๋เหลือบมองหนิงเทียน พร้อมฉายร่องรอยความประหลาดใจแวบขึ้นมาในดวงตา
ชายผู้นี้อยู่เพียงขอบเขตจิตหยั่งลึกขั้นแรก แต่สามารถเอาชีวิตรอดจากการไล่ล่าของศัตรูจำนวนมหาศาลได้ นี่นับว่าเป็ปาฏิหาริย์
หนิงเทียนตัดสินใจตามเฉินจี๋ไปทว่าวิ่งไปได้ไม่ไกลนัก ภาพลวงตากรุ่นกลิ่นดอกไม้ที่อยู่ด้านหลังก็ถูกหูเถี่ยซินทลายลง
“นักเล่นกลลวงตาหรือ? น่าสนใจยิ่งนัก”
หูเถี่ยซินมองเฉินจี๋ด้วยเจตนาฆ่าพร้อมเล็งคันธนูไปหาอีกฝ่าย ทว่าหนิงเทียนสังเกตเห็นลูกศรสังหารเข้าเสียก่อน
“ระวัง!” หนิงเทียนแผดเสียงพลางผลักเฉินจี๋ออก ลูกศรจึงเฉียดรักแร้ของเขาและตัดิัจนเืกระเซ็น
เฉินจี๋เหงื่อกาฬไหล ั์ตาของเขาเต็มไปด้วยความซาบซึ้งใจ “ขอบคุณเ้ามาก”
จากนั้นทั้งสองคนก็หนีเข้าป่าพร้อมหลบซ่อนตัวอย่างรวดเร็ว
หูเถี่ยซินเงยหน้ามองยอดเขาก่อนจะขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “หนีไปได้ไม่ไกลหรอก ฆ่าเด็กนั่นทันทีที่มันอยู่คนเดียว!”
ในฐานะโหราจารย์ หูเถี่ยซินค่อนข้างระมัดระวังตัวเป็อย่างมาก นี่เป็เพียงวันที่สองนับั้แ่เข้าสู่แดนลับ เขายังไม่อยากขูดลอกผิวหน้า[1]สำนักร้อยบุปผาเร็วเกินไป
...
เมื่อหนิงเทียนขึ้นมาถึงยอดเขา เขาก็ยิ้มทันทีที่เห็นฉินเสี่ยวเยวี่ย
“ศิษย์พี่ใส่ใจข้าเช่นนี้ ช่างน่าปลื้มใจยิ่งนัก”
“หยุดแสดงอารมณ์อ่อนไหวเสียที ที่ศิษย์พี่เฉินไปช่วยเ้าก็เพราะศิษย์น้องเสิ่นเป็ห่วงสหายร่วมสำนัก ศิษย์พี่ฉินคร้านเกินกว่าจะสนใจเ้า”
เ้าิยืนขวางทางหนิงเทียน ไม่ยอมให้เขาเข้าใกล้ฉินเสี่ยวเยวี่ยแม้แต่น้อย
“เป็เช่นนั้นหรือ?” หนิงเทียนประหลาดใจเล็กน้อยจึงหันไปมองเฉินจี๋ อีกฝ่ายก็พยักหน้ายืนยัน
เ้าิยังคงถากถางหนิงเทียนต่อ “อยู่เพียงขอบเขตจิตหยั่งลึกขั้นแรกยังกล้าก่อเื่ไปทั่ว ไม่สำคัญว่าเ้าจะตายหรือไม่ แต่หากเ้าทำให้สำนักร้อยบุปผาของพวกเราเสื่อมเสีย นั่นย่อมเป็ความผิดของเ้า!”
ฉินเสี่ยวเยวี่ยมองหนิงเทียนด้วยสีหน้าขุ่นเคือง ยิ่งนึกถึงความพ่ายแพ้ครั้งก่อน นางก็ยิ่งโกรธจนเืขึ้นหน้า
เสิ่นซินจู๋สวมชุดสีเขียวสวยสด กลิ่นอายแห่งความสง่างามและเบาสบายทั่วร่าง นางจ้องมองสหายร่วมสำนักผู้หล่อเหลาตรงหน้าด้วยความอยากรู้อยากเห็น
“ไม่เป็ไรก็ดีแล้ว หลังจากนี้ก็ลงมือร่วมกับทุกคนเถิด อย่าไปยั่วยุพวกเขาเพียงลำพัง ความปลอดภัยย่อมสำคัญที่สุด”
น้ำเสียงของเสิ่นซินจู๋ชัดเจนและไพเราะ แม้นางจะอายุสิบเก้าปีแต่ก็มีความอ่อนโยน ไม่เ็าและสูงส่งเท่าฉินเสี่ยวเยวี่ย
“ศิษย์พี่เสิ่น?”
หนิงเทียนมองเสิ่นซินจู๋อย่างพินิจพิเคราะห์ ศิษย์พี่นางนี้ไม่งามเท่าฉินเสี่ยวเยวี่ย ทว่ากลับให้ความรู้สึกเป็กันเองมากกว่า
“อืม ข้านามว่าเสิ่นซินจู๋ แล้วเ้าเล่าศิษย์น้อง?”
“หนิงเทียนคารวะศิษย์พี่เสิ่น ขอบคุณท่านที่ช่วยเหลือ”
หนิงเทียนยกกำปั้นขึ้นพร้อมกล่าวคำนับ เนื่องจากเฉินจี๋เคลื่อนไหวภายใต้คำสั่งของเสิ่นซินจู๋ เขาจึงต้องขอบคุณนางด้วยตนเอง
“อย่าตีสนิทนางจนเกินไป! จงหยุดอยู่แค่ตรงนั้น ศิษย์น้องเสิ่นเพียงแต่สมเพชเวทนาเ้า มองดูตนเองหน่อยเถิดว่าเ้าเป็ตัวอะไร ยังจะกล้ามาประจบประแจงศิษย์น้องเสิ่นอีก ช่างเพ้อฝันเสียจริง!”
เ้าิแสดงสีหน้าดูถูก เขาตั้งใจทำให้หนิงเทียนอับอายต่อหน้าศิษย์สำนักร้อยบุปผาจำนวนมาก
เสิ่นซินจู๋ขมวดคิ้วก่อนจะพูดอย่างไม่พอใจ “ศิษย์พี่เ้า ท่านคิดว่าข้ารู้จักแทนคุณคนหรือไม่?”
เ้าิตอบด้วยรอยยิ้มว่า “ศิษย์น้องเสิ่นอย่าได้เคืองไปเลย ข้าเพียงเกรงว่าชายผู้นี้จะหลอกลวงเ้า เ้าเด็กหัวชมพูหน้าขาว[2]นี่มองแวบแรกก็รู้แล้วว่าไม่มีอะไรดี แม้แต่ศิษย์น้องฉินยังถูกเขาคุกคาม ข้ากังวลว่าเขาจะเกาะติดเ้าไปจนตาย เราควรต้องให้บทเรียนเขาบ้าง”
เสิ่นซินจู๋กล่าว “แต่ข้าไม่คิดว่าศิษย์น้องหนิงจะเป็คนเช่นนั้น”
เ้าิหัวเราะเบาๆ แล้วพูดต่อ “เราไม่ควรตัดสินผู้อื่นจากรูปลักษณ์ภายนอก และชายผู้นี้ก็เป็หัวขโมย หากเ้าไม่เชื่อก็ลองถามศิษย์น้องฉินดูสิ”
ฉินเสี่ยวเยวี่ยเอ่ยอย่างเ็า “ไม่ต้องมาถามข้า ข้าไม่คุ้นเคยกับเขา”
ดวงตาของเสิ่นซินจู๋ฉายแววความฉงน สัญชาตญาณของนางบอกว่ามีบางอย่างเกิดขึ้นระหว่างหนิงเทียนและฉินเสี่ยวเยวี่ย
เมื่อเผชิญกับความเฉยเมยของฉินเสี่ยวเยวี่ย หนิงเทียนก็นึกถึงหลินเสี่ยวซินขึ้นมาก่อนจะหันไปมองเสิ่นซินจู๋ ซึ่งเ้าิก็รีบเคลื่อนกายมาบังสายตาหนิงเทียนอย่างฉับไว
“ข้าไม่เคยเห็นคนโง่เขลาเช่นเ้ามาก่อนเลย อยากให้คนดัดหลังให้สักหน่อยไหม?”
ในบรรดาผู้คนที่ยืนอยู่ไม่ไกล บ้างก็หัวเราะ บ้างก็เริ่มประชดประชัน
“อยู่เพียงขอบเขตจิตหยั่งลึกขั้นแรกแต่ไม่รู้จักเจียมตน นี่ช่างน่าอายจริงๆ”
“บางทีอาจเป็เพราะผิวที่หนาเกินไปจนพลังิญญาทะลุทะลวงผ่านไปไม่ได้ เขาจึงไม่สามารถเข้าสู่จิตหยั่งลึกขั้นสอง”
“พูดได้ดี คำอธิบายนี้ลึกซึ้งเกินไปแล้ว”
หลายคนหัวเราะลั่น ขณะที่เสิ่นซินจู๋ขมวดคิ้ว เฉินจี๋เริ่มไม่พอใจ และฉินเสี่ยวเยวี่ยก็เฝ้ามองเหตุการณ์อย่างเงียบๆ ปล่อยให้เ้าิทำให้หนิงเทียนอับอาย
“อยากดัดหลังให้ข้าหรือ?” หนิงเทียนมองเ้าิแล้วยิ้มโปรยเสน่ห์
“ถ้าเ้าไม่เชื่อฟัง ข้าก็ไม่รังเกียจที่จะช่วย”
เ้าิเชิดหน้าขึ้นสูง ชายผู้นี้กล้ากลั่นแกล้งศิษย์น้องฉินของเขา ดูสิว่าข้าจะทำให้เ้าขายหน้าอย่างไร
หนิงเทียนกวาดสายตาไปรอบๆ เพื่อมองท่าทีของทุกคนในบริเวณนั้น
“หากข้าไม่ให้โอกาส เช่นนั้นเ้าจะไม่อึดอัดจนตายหรือ?”
“เ้าหนู! เ้ายั่วยุข้าหรือ?”
หนิงเทียนกล่าวอย่างเหยียดหยาม “เ้าเกือบจะกลายเป็สุนัขบ้าแล้ว เหตุใดยังต้องยั่วยุอีกเล่า?”
“ศิษย์พี่เ้า เขาเรียกท่านว่าสุนัข”
เ้าิแสยะยิ้มด้วยความโกรธ “กล้าด่าข้าเช่นนี้ ดูสิว่าข้าจะจัดการกับเ้าอย่างไร คุกเข่าลง!”
เ้าิสะบัดมือตบไหล่หนิงเทียน ้าให้เขาคุกเข่าต่อหน้าสาธารณชนและรังแกเขาจนกว่าจะพอใจ
เสิ่นซินจู๋ไม่ชอบใจและ้าหยุดเขา ทว่ากลับถูกเฉินจี๋ห้ามไว้
“เ้า...”
“ไม่ต้องห่วง เดี๋ยวก็รู้”
ทางด้านฉินเสี่ยวเยวี่ย นางยกมุมปากขึ้นเล็กน้อย เผยให้เห็นรอยยิ้มบางเบา
เ้าิอยู่ขอบเขตจิตหยั่งลึกขั้นห้า แม้หนิงเทียนจะทรงพลังมาก แต่เขาย่อมไม่ใช่ศัตรูของเ้าิ
“ช่างโง่เขลาเสียจริง กล้าท้าทายศิษย์พี่เ้าด้วยกำลังอันน้อยนิด นี่ไม่ใช่การหาเื่เจ็บตัวหรอกหรือ?”
“คนโง่มักถือตัวว่าตนชอบธรรม และมักคิดว่าตนอยู่ยงคงกระพัน”
“ชะตาของคนเช่นนี้ย่อมเลวร้ายยิ่งกว่าความตาย”
เกือบทุกคน ณ ที่แห่งนั้นล้วนมีทัศนคติเชิงบวกกับเ้าิ ทั้งยังพูดเป็เสียงเดียวกันว่าหนิงเทียนหาเื่เจ็บตัว และไม่คู่ควรกับความเห็นอกเห็นใจ
เ้าิยิ้มอย่างชั่วร้าย เมื่อได้ยินคำชมเชยจากสหายร่วมสำนัก เขาก็ยิ่งกระตือรือร้นจนอยากผลักหนิงเทียนลงกับพื้นเพื่อย้ำถึงความเป็เลิศของตน
รอยยิ้มบนใบหน้าของหนิงเทียนบ่งบอกถึงความเยือกเย็น แต่เ้าิและเหล่าสหายร่วมสำนักหาได้สนใจไม่ สิ่งที่พวกเขารอคอยคือ่เวลาที่หนิงเทียนคุกเข่าลงเท่านั้น
ทว่าฝ่ามือที่เ้าิฟาดใส่หนิงเทียนกลับถูกต้านรับไว้ได้ และแขนของทั้งสองฝ่ายก็หยุดชะงักอยู่กลางอากาศ
“เอ๊ะ? หยุดแล้ว...”
“หยุดได้อย่างไร? เขาต้านมันได้หรือ?”
ผู้คนที่เฝ้าดูการต่อสู้อยู่ต่างประหลาดใจเล็กน้อย แต่พวกเขายังคงมั่นใจในความเก่งกาจของเ้าิ
“เ้าอยากสู้กับข้าหรือ? ได้เลย!”
เ้าิยิ้มอย่างดุดันก่อนที่ดอกไม้ประหลาดห้าดอกจะปรากฏรอบกายเขา พวกมันคือรากบ่มเพาะระดับจิตหยั่งลึกขั้นห้า ซึ่งเปรียบเสมือนบ่อน้ำวนห้าบ่อที่ดูดกลืนพลังิญญาและทำให้เ้าิสูงสง่ายิ่งขึ้น
เส้นลมปราณในร่างของเ้าิสั่นะเื ความแข็งแกร่งของแขนขวาเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง เส้นเืสีน้ำเงินปูดนูนขึ้นราวรอยันาคา[3]เลื้อยวน ปลดปล่อยมนต์เสน่ห์แห่งอำนาจ
“ศิษย์พี่เ้าแข็งแกร่งยิ่งนัก พลังนี้ช่าง...”
ผู้คนโดยรอบล้วนสรรเสริญเขา ทว่าคำชมเ่าั้ออกมาได้เพียงครึ่งเดียว สถานการณ์ระหว่างหนิงเทียนและเ้าิก็พลิกผันไปอย่างไม่คาดคิด
เมื่อเห็นท่าทางภาคภูมิใจของเ้าิ รอยยิ้มบนใบหน้าหนิงเทียนก็ยิ่งมีเสน่ห์มากขึ้น นิ้วทั้งห้าบนมือขวาของเขากระชับแน่น จากนั้นก็ออกแรงผ่านปลายนิ้วจนได้ยินเสียงกระดูกร้าวอย่างชัดเจน
ผู้เห็นเหตุการณ์ต่างตกตะลึงและจับจ้องมือขวาของหนิงเทียน แต่ทันใดนั้นเองพวกเขาก็เห็นว่าฝ่ามือของเ้าิแตกหัก เืแดงฉานหลั่งรินพร้อมเสียงร้องโหยหวนดังไกลถึงสิบลี้
“อ๊าก! มือข้า... ไม่!”
หน้าผากของเ้าิมีเม็ดเหงื่อผุดขึ้นขณะที่หนิงเทียนค่อยๆ ลดแขนขวาลง ร่างกายของเขาบิดเบี้ยวด้วยความเ็ป ดอกไม้ทั้งห้าโดยรอบสลายหายไป จากนั้นก็คุกเข่าลงกับพื้นแล้วคร่ำครวญอย่างขมขื่น
“กะ...เกิดอะไรขึ้น?”
“ศิษย์พี่เ้าใช้ภาพหลอกตาหรือเปล่า?”
“โอ้์! นะ...นี่!”
บรรดาผู้อยู่ในเหตุการณ์ต่างใ รวมถึงฉินเสี่ยวเยวี่ยและเสิ่นซินจู๋ด้วย
หนิงเทียนยังคงยืนอยู่ ณ ตำแหน่งเดิมอย่างสบายๆ ทว่าั์ตาเ็าของเขากลับฉายเจตนาสังหารที่ชัดเจน
“ข้าลำบากใจไม่น้อยเลยที่ศิษย์พี่เ้ามอบของขวัญแสนล้ำค่าให้เช่นนี้ ท่านคิดว่าข้าควรทำให้แขนขาท่านพิการหรือตาบอดหูหนวกดี? โอ้! หรือข้าควรตัดหัวท่านออกก่อน? เช่นนั้นย่อมลดปัญหาได้มาก”
แขนขวาของเ้าิหัก ความเ็ปแสนสาหัสถาโถมเข้ามาจนเขารู้สึกโกรธเคืองและวิตกกังวล ทั้งยังโมโหแทบตายแล้ว
“เ้าเด็กบ้า! กล้าทำให้ข้าขายหน้าเช่นนี้ก็จงไปลงนรกเสีย!” เ้าิพยายามลุกขึ้นยืนเต็มความสูง แล้วออกแรงเตะไปที่ขาของหนิงเทียน
“ดูท่าศิษย์พี่เ้าจะชอบตัวเลือกแรกสินะ ได้! ข้าจะช่วยท่านเอง”
หนิงเทียนกล่าวแล้วเตะกลับไปครั้งหนึ่ง ทุกคนในบริเวณนั้นล้วนได้ยินเสียงกระดูกแตก ตามด้วยเสียงกรีดร้องบีบคั้นหัวใจ และขาขวาของเ้าิก็มีรอยแตกร้าวปรากฏขึ้นทันที
“เ้าคนต่ำช้า ข้าจะจัดการเ้า!”
เ้าิจะทนรับการถูกดูิ่ในที่สาธารณะเช่นนี้ได้อย่างไร? เขาเป็ถึงผู้บำเพ็ญขอบเขตจิตหยั่งลึกขั้นห้าเชียวนะ
ดอกไม้ห้าดอกปรากฏขึ้นอีกครา รากจิติญญาในร่างของเ้าิสั่นะเืพร้อมปล่อยพลังอันแข็งแกร่งออกมาเพื่อสยบหนิงเทียน ทว่าผลลัพธ์ที่ได้กลับทำให้เขาพูดไม่ออก
หนิงเทียนรับรากจิติญญาด้วยมือซ้าย แล้วะเิรากบ่มเพาะที่ลอยรอบร่างเ้าิด้วยมือข้างเดียว จากนั้นก็ทุบตีเขาจนแขนขาหัก ทำให้อีกฝ่ายต้องคุกเข่าขอความเมตตาราวสุนัขรับใช้
ฉินเสี่ยวเยวี่ยใมาก เ้าิมีเส้นลมปราณเก้าเส้นซึ่งเพียงพอที่จะปราบปรามผู้บำเพ็ญขอบเขตจิตหยั่งลึกขั้นแรก คาดไม่ถึงจริงๆ ว่าเขาจะพ่ายแพ้ให้หนิงเทียน
ทางด้านเสิ่นซินจู๋ก็ทั้งประหลาดใจและมีความสุข นางไม่เคยรู้มาก่อนว่าหนิงเทียนจะดุร้ายถึงเพียงนี้
ส่วนศิษย์สำนักร้อยบุปผาคนอื่นๆ ต่างก็ตกตะลึงจนไม่อยากเชื่อสายตาตนเอง และมีเพียงเฉินจี๋เท่านั้นที่แสดงสีหน้าโล่งใจออกมา
---------------------------------------
[1] ขูดลอกผิวหน้า (撕破脸皮) หมายถึง ไม่เห็นแก่หน้าตาของอีกฝ่าย หรือหักหน้ากันอย่างเปิดเผย
[2] หัวชมพูหน้าขาว (粉头白脸) หมายถึง โสเภณี
[3] ันาคา (龙蛇) หมายถึง การบิดเปลี่ยนของลายเส้นในการประดิษฐ์ตัวอักษร
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้