หลังจากอวี๋จิ่นซูได้ยินเื่นี้ เขาก็ยิ่งรู้สึกว่าสิ่งที่อวี๋จิ่นเหยียนเอ่ยระหว่างทางนั้นสมเหตุสมผล “ท่านแม่ พวกท่านคิดผิดแล้ว อาการป่วยของนายท่านผู้เฒ่าเหอคงหายดีแล้ว ไม่อย่างนั้นคนสกุลเหอจะส่งนางกลับมาได้อย่างไร? หลังจากรู้เื่ที่เกิดขึ้นในจวน ข้ากับจิ่นเหยียนจึงไปสืบที่จวนสกุลเหอขอรับ”
"สืบได้ความว่าอย่างไรมาบ้าง?" สตรีแซ่จ้าวเอ่ยถามด้วยความสงสัย
จวนสกุลเหอคือจวนอันมั่งคั่งในเมือง เดิมทีไม่ต้องเปลืองแรง อวี๋จิ่นเหยียนและอวี๋จิ่นซูก็หาจวนสกุลเหอพบเสียแล้ว โจวสือโถวบอกว่าอวี๋หรูไห่รักษาคนจนตาย อวี๋จิ่นซูจึงเข้าไปพูดคุยกับข้ารับใช้เฝ้าประตูจวนสกุลเหอ ทำทีว่าตนคือคนของร้านขายโลงศพทางฝั่งตะวันออกของเมือง เพิ่งจะทำโลงศพชั้นดีหนึ่งใบ ถามว่าสกุลเหอ้าจะซื้อให้นายท่านผู้เฒ่าในจวนของเขาหรือไม่
ผลคือถูกข้ารับใช้สกุลเหอผู้นั้นใช้ไม้กระบองทุบตีอยู่พักหนึ่ง ร้องบริภาษเสียงดังลั่นว่าอวี๋จิ่นซูต่างหากที่กำลังจะตาย นายท่านผู้เฒ่าในจวนของเขายังอยู่ดีมีสุข ยังอายุยืนไปอีกร้อยปี จะตีเ้าคนอัปมงคลเช่นเขาให้ตายเสีย!
อวี๋จิ่นซูถูกข้ารับใช้เฝ้าประตูจวนสกุลเหอขับไล่หัวกระเซิงออกมา ทั้งยังโดนทุบตีอยู่อีกหลายครั้ง
หลังจากสตรีแซ่จ้าวได้ฟัง ในดวงตามีประกายวูบผ่าน “หากเป็เช่นที่เ้าว่ามา อวี๋เจียวถูกคนสกุลเหอปล่อยตัวกลับมาก็เพราะนายท่านผู้เฒ่าเหอหายดีแล้ว คนสกุลเหอจะไม่มาหาเื่ที่จวนอีกแล้ว?”
ขณะเดียวกัน ในห้องฝั่งทิศตะวันออก อวี๋จิ่นเหยียนได้เล่าให้อวี๋หรูไห่ฟังถึงเื่ที่อวี๋จิ่นซูได้ยินมาจากสกุลเหอ
ความคิดของเขากระจ่างแจ้ง วิเคราะห์กับอวี๋หรูไห่ว่า “สกุลเหอยอมปล่อยเมิ่งอวี๋เจียวกลับมา จะต้องเป็เพราะนางรักษาอาการป่วยของนายท่านผู้เฒ่าเหอจนหายดีแล้ว คนสกุลเหอคงไม่มาหาเื่อีกแล้วขอรับ”
เมื่ออวี๋หรูไห่ได้ยินอวี๋จิ่นเหยียนเอ่ยเช่นนี้ ในใจจึงสงบลงไม่น้อย เอ่ยอย่างสงสัยว่า “แต่ข้าถามเมิ่งอวี๋เจียวแล้ว นางบอกว่าร่างกายของท่านผู้เฒ่าเหอยังไม่หายดี หากนางรักษาอาการป่วยของท่านผู้เฒ่าเหอจนหายดีแล้ว เหตุใดนางต้องพูดเช่นนั้นเล่า”
อวี๋จิ่นเหยียนไม่รู้ว่าเมิ่งอวี๋เจียวคิดอย่างไร เมื่อเห็นว่าท่านปู่ดูชราลงไปไม่น้อยในระยะเวลาไม่กี่วัน เขาจึงเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า “ถ้าไม่อาจรักษาท่านผู้เฒ่าเหอจนหายดี คนสกุลเหอย่อมไม่มีทางปล่อยนางง่ายดายเช่นนี้แน่นอนขอรับ หากทางสกุลเหอคิดจะมาหาเื่จริง เกรงว่าทันทีที่นางเพิ่งจะกลับมา คนตระกูลเหอต้องตามมาแล้วขอรับ”
อวี๋หรูไห่รู้สึกว่าสิ่งที่หลานชายกล่าวมาถูกต้องอย่างยิ่ง จึงสงบสติอารมณ์ได้ พลันรู้สึกว่ากำลังวังชาฟื้นคืนกลับมาไม่น้อย
อวี๋จิ่นเหยียนกำชับว่า "ท่านปู่ท่านย่า พวกท่านจะทำให้อวี๋เจียวลำบากใจอีกไม่ได้นะขอรับ หากนางรักษาท่านผู้เฒ่าสกุลเหอได้จริงๆ ต่อไปสกุลอวี๋ของพวกเรายังต้องพึ่งพานาง”
อวี๋จิ่นเหยียนดูออกอย่างชัดเจน หลังจากเกิดเื่กับสกุลเหอ ชื่อเสียงของอวี๋หรูไห่ย่อยยับไปแล้ว เกรงว่าต่อไปคงไม่มีผู้ใดมาตรวจโรคอีก
อวี๋หรูไห่รู้สึกอัดอั้นใจอย่างไม่อาจเลี่ยง เกิดความคับแค้นใจ เมื่อครู่เขาเพิ่งพูดจาพล่อยๆ ขับไล่เมิ่งอวี๋เจียวออกจากสกุลอวี๋ ฉีกหน้านางจนแหลกละเอียดอย่างถึงที่สุด ยามนี้รู้ว่าสถานการณ์เป็เช่นนี้ จึงนึกเสียใจภายหลัง ทว่าเขาไม่ได้เสียใจกับการกระทำของตน แต่โกรธที่อวี๋เจียวจงใจปกปิดสถานการณ์ของสกุลเหอ ทำให้เขาสับสนกระวนกระวาย
หลังจากถูกอวี๋จิ่นเหยียนเกลี้ยกล่อม อวี๋หรูไห่และสตรีแซ่อวี๋โจวจึงยอมรามือโดยสิ้นเชิง ระหว่างกินข้าวเย็น สองสามีภรรยาไม่ปรากฏตัวบนโต๊ะอาหาร แต่ให้สตรีแซ่จ้าวนำอาหารเข้ามาในห้อง
แม้ว่าอวี๋ฮั่นซานจะนั่งอยู่ที่โต๊ะอาหารแต่กลับไม่กล้าเปล่งเสียงใด มีหรือจะยังทำตัววางอำนาจบาตรใหญ่เช่นยามถือไม้กวาดขับไล่อวี๋เจียวออกจากจวนเมื่อตอนบ่าย
อาหารหนึ่งมื้อผ่านไปอย่างเงียบเชียบ หลังจากอวี๋เจียวช่วยสตรีแซ่ซ่งล้างจานและหม้อเสร็จ นางจึงไปที่ห้องของอวี๋ฉี่เจ๋อเพื่อฝึกคัดตัวอักษร
หลายวันมานี้ยามอยู่ในจวนสกุลเหอไม่ได้ฝึกคัดอักษร เพราะยามปกติฝึกจนเคยชิน อวี๋เจียวจึงนึกอยากฝึกคัดอักษรอยู่สักหน่อย
นางพบว่าอวี๋ฉี่เจ๋อวางกระดาษเซวียนจื่อที่ซื้อมาทั้งหมดไว้บนโต๊ะ เห็นได้ชัดว่า้าเอาไว้ให้นางฝึกคัดอักษรแต่เพียงผู้เดียว อวี๋เจียวหยิบพู่กันและแสร้งเอ่ยราวกับไม่สนใจ "ต่อไปภายหน้ายามท่านเขียนอักษรก็ใช้กระดาษเซวียนจื่อเถิด เงินที่ข้าหามาหลังจากซื้อหมึกและกระดาษแล้วก็ยังมีเหลืออยู่อีกมาก”
หางตาของอวี๋ฉี่เจ๋อเชิดขึ้นเล็กน้อย ดวงตาดอกท้อแฝงประกายรอยยิ้ม เอ่ยหยอกล้อว่า "ได้ เ้าปฏิบัติต่อข้าด้วยความรู้สึกลึกซึ้งมีคุณธรรมเช่นนี้ วันหน้าหากข้าสอบผ่าน ข้าจะไม่เป็เฉินซื่อเหม่ย [1] ไม่ทำให้ภรรยาในยามยากต้องผิดหวัง”
อวี๋เจียวไม่คิดว่าเขาจะพูดจากหยอกล้อเช่นนี้ออกมา ครั้นถูกเกี้ยวพาราสีโดยไม่ทันตั้งตัว นางถึงกับหน้าแดงเล็กน้อย ถลึงตาผลซิ่งที่กระจ่างใสจ้องเขา “ผู้ใดไปเป็ภรรยาในยามยากของท่าน? รอกระทั่งวันหน้าท่านสอบผ่านก็ไปแต่งกับแม่นางอาโหรว รับรองว่าข้าจะไม่ห้ามปราม”
เมื่ออวี๋ฉี่เจ๋อได้ยินชื่อของเฉินโหรว ในใจปราศจากเกลียวคลื่น สายตาจดจ้องอวี๋เจียวไว้มั่น “แม้ว่าเ้ากับข้าจะยังไม่กราบไหว้ฟ้าดิน แต่พวกเราร่วมเรียงเคียงหมอนกันแล้ว ภายหน้าเ้าจำต้องเป็ภรรยาของข้าเท่านั้น”
คำว่า ''ภรรยา'' สองคำนี้ อวี๋ฉี่เจ๋อเอ่ยออกมาได้อย่างเกาะกุมหัวใจยิ่งนัก ฟังแล้วอวี๋เจียวถึงกับใบหูร้อนผ่าว นางถลึงตาใส่อวี๋ฉี่เจ๋ออย่างขัดเขิน ดวงตากลมโตฉ่ำน้ำ ทำให้ผู้มองใจอ่อนยวบ
ไม่รอให้นางเอ่ยสิ่งใด อวี๋ฉี่เจ๋อพลันนึกถึงคนทั้งสองที่ให้ผู้อื่นนึกรังเกียจ เอ่ยต่อไปว่า “ในเมื่อเป็ภรรยาผู้อื่นแล้วก็อย่าสนิทสนมกับบุรุษรอบข้างมากเกินไป ภายหน้าห้ามสนใจพวกจิ่นเหยียนกับจือโจวอีก”
อวี๋เจียวดวงหน้าแดงก่ำเอ่ยว่า “ยังไม่ทันได้นอนท่านก็ละเมอเสียแล้ว? สามีของข้าจะต้องเป็คนที่ข้ารักจากใจจริง คนทั้งสองต้องมีใจตรงกันถึงจะเป็สามีภรรยากันได้เ้าค่ะ”
หลังจากอวี๋ฉี่เจ๋อได้ฟัง เขาจ้องมองอวี๋เจียวอย่างเงียบเชียบไม่พูดอะไรอีก ในมือถือม้วนตำรา ทว่าในใจรู้สึกว้าวุ่นอยู่บ้าง นี่เขารักเมิ่งอวี๋เจียวแล้วงั้นหรือ?
จะเป็ไปได้อย่างไร? อวี๋ฉี่เจ๋อตะลึงงันไปเนิ่นนาน
อวี๋เจียวเห็นว่าเขาไม่เปล่งเสียงใดจึงก้มหน้าลงฝึกคัดอักษร ไม่นานนักความเห่อร้อนบนใบหน้าจึงค่อยจางหายไป นางลูบปลายหูของตนแ่เบา อวี๋ฉี่เจ๋อใช้ใบหน้างดงามเช่นนั้นเกี้ยวพาผู้อื่น นี่มันผิดกติกาเกินไปแล้ว!
หลังจากคัดอักษรไปได้ครึ่งชั่วยาม อวี๋เจียวหาวออกมาไม่กี่ครั้ง นางลุกกลับห้องเพราะรู้สึกง่วงงุน อวี๋ฝูหลิงหลับไปแล้ว อวี๋เจียวจึงดับตะเกียงแล้วปีนขึ้นไปนอนบนเตียง
กลางดึก อวี๋เจียวที่กำลังหลับลึกถูกลมหนาวปลุกให้รู้สึกตัวตื่น เมื่อลืมตาขึ้น พบว่าอวี๋ฝูหลิงกำลังใช้มือป้องเชิงเทียนที่สั่นไหวเพราะถูกลมพัดและเดินไปยังหน้าต่าง
"ฝนตกแล้วหรือ?" อวี๋เจียวเอ่ย
ครั้นอวี๋ฝูหลิงเห็นว่านางตื่นแล้วเช่นกันจึงเอื้อมมือไปปิดหน้าต่าง ถอนหายใจกล่าวว่า “ฤดูร้อนนี้น้ำฝนมาก เ้าไปนอนต่อเถิด ข้าจะไปดูว่าหน้าต่างในห้องฉี่เจ๋อปิดแล้วหรือไม่”
อวี๋เจียวถูกความง่วงเข้าครอบงำ หลังจากเอนตัวลง เพียงไม่นานก็หลับไปเสียแล้ว
ครั้นรู้สึกตัวตื่นขึ้นมาในยามเช้าตรู่ ฝนข้างนอกยังตกลงมา โชคดีที่ไม่กี่วันก่อนท้องฟ้ากระจ่างใส คนในหมู่บ้านเก็บเกี่ยวข้าวสาลีเรียบร้อยแล้ว ยามนี้ฝนตกลงมา ท้องนาจะได้ไม่แห้งยามต้องหว่านเมล็ดพันธุ์
อวี๋เจียวอยากขึ้นเขาไปหาต้นเหยาเฉ่าอีกครั้ง หลังจากกินข้าวเสร็จ นางไปทอดแป้งในห้องครัวด้วยตนเองและหาร่มเตรียมตัวขึ้นเขา
ครั้นสตรีแซ่ซ่งรู้ว่านางกำลังจะฝ่าฝนขึ้นเขาไปหาสมุนไพรอีกครั้ง นางอยากให้อวี๋จือหางไปกับนาง แต่แม่หนูน้อยนางนั้นกำลังร้องไห้ นางเอาแต่กอดคออวี๋จือหางไม่ยอมปล่อยมือ อีกทั้งยังไม่ยอมให้แม่ของนางอุ้ม อวี๋จือหางจึงไม่อาจปลีกตัวได้
อวี๋เฉียวซานบอกว่าจะขึ้นเขาไปพร้อมกับอวี๋เจียว ทว่าอวี๋เจียวไม่ยอม นางดูออกว่าสีหน้าของสตรีแซ่จางไม่สู้ดีนัก ในวันที่ฝนตกหนักเช่นนี้ หากจะออกจากจวนไปขึ้นเขาก็นับว่าไม่เหมาะสมจริงๆ ทุกครั้งที่อวี๋เจียวขึ้นเขายังต้องรบกวนคนของครอบครัวใหญ่ทุกครั้ง นางจึงรู้สึกผิดอยู่บ้าง
เพราะกลัวว่าอวี๋เจียวจะเจอสัตว์ป่าบนูเา อวี๋เมิ่งซานจึงเอามีดตัดฟืนให้นางและยัดใส่ลงในตะกร้าสมุนไพร
หลังจากอวี๋เจียวสะพายตะกร้าออกจากจวน อวี๋ฉี่เจ๋อยัดหมอนเข้าไปในผ้าห่ม ทำทีคล้ายกับเขากำลังหลับอยู่ จากนั้นฉวยโอกาสเดินออกไปนอกจวนในขณะที่ไม่มีผู้ใดสังเกต
……….
เชิงอรรถ
[1] เฉินซื่อเหม่ย คือชื่อแซ่ของบุรุษผู้หนึ่งในสังคมจีนยุคโบราณ ทว่าปัจจุบันนี้กลับกลายเป็สรรพนามที่สื่อความหมายในเชิงลบ ใช้เรียกแทน ''ผู้ชายเลวทรามซึ่งมีพฤติกรรมทรยศต่อภรรยาของตน'' เนื่องจากในระยะเวลาหลายร้อยปีที่ผ่านมา ชาวจีนได้นำเื่ราวของเฉินซื่อเหม่ยมาประพันธ์เป็บทละครงิ้ว และนำมาแสดงจนเป็ที่รู้จัก
