กองกำลังของขุมกำลังต่างๆ ล้วนมาถึงยังลานกว้างพร้อมๆ กันและมองเห็นสมบัติล้ำค่าทั้งสามชิ้นในเวลาเดียวกัน ดังนั้นจึงต่างลงมือออกไปในเวลาเดียวกัน สมบัติทั้งสามชิ้นมีความเป็ไปได้สูงว่าจะเป็สมบัติล้ำค่าระดับศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งหากพูดถึงในทวีปัเพลิงแล้วถือว่ามีน้อยและหาได้ยากยิ่ง แม้บนร่างยอดฝีมือของนครแห่งเทพในตอนนี้จะมีสมบัติล้ำค่าอยู่แล้วไม่ต่ำกว่าสิบชิ้น และบนร่างของยอดฝีมือของแต่ละขุมกำลังมีมากน้อยแตกต่างกันออกไป เพียงแต่ว่าสมบัติล้ำค่าเหล่านี้เมื่อกลับไปแล้วจำเป็จะต้องส่งคืน
แต่ว่าสมบัติล้ำค่าสามชิ้นที่อยู่ตรงหน้านี้แตกต่างออกไป พวกตาแก่ทั้งหลายของแต่ละขุมกำลังล้วนเอ่ยปากแล้วว่า ของล้ำค่าต่างๆ ที่หาได้ในครั้งนี้นอกจากสมบัติล้ำค่าระดับสูงสุดของูเาสุสานทวยเทพแล้วใครมีความสามารถได้ก็ถือว่าเป็ของคนผู้นั้นไป ดังนั้นเหล่ายอดฝีมือทั้งหลายล้วนจ้องตากันเป็มัน ต่างชิงลงมือกันอย่างไม่มีอาการลังเลแม้แต่น้อย
เพียงแต่...เมื่อเหล่ายอดฝีมือทั้งหลายกำลังที่จะเข้าไปใกล้สมบัติล้ำค่าทั้งสามชิ้นนั้นพลันเลือนหายไปอย่างไร้ร่องรอย
“มารดามันเถอะ วิชาอำพรางกายของตระกูลฮวา!” ถูเฮยรู้ตัวขึ้นคนแรกฝ่ามือซ้ายเปลี่ยนเป็หมัดชกออกไปกลางอากาศ พลังแสงรูปหมัดสีดำพุ่งหลุดออกไปยังเบื้องหน้า
เมื่อเสียงถูเฮยดังขึ้นทุกคนจึงพลันตื่นตัวขึ้นมาทันทีพร้อมกับซัดพลังโจมตีออกไปบริเวณใจกลางลานกว้างที่สมบัติล้ำค่าอยู่พร้อมๆ กัน ชั่วพริบตาเดียวบริเวณใจกลางลานกว้างพลันเต็มไปด้วยพลังแสงสีสันต่างๆ ส่องสว่างขึ้นจนลานตา
“ตูมมม...”
“อาาา...”
พลังที่แข็งแกร่งหลายสายพุ่งปะทะชนเข้าด้วยกันจนเกิดการะเิขึ้นอย่างรุนแรง ฮวาลิ่วและยอดฝีมืออีกสามคนของตระกูลฮวาไม่สามารถที่จะแอบซ่อนอำพรางกายได้อีกต่อไปจึงปรากฏออกมาสู่สายตาของทุกคน สภาพของทั้งสี่คนดูกระเซอะกระเซิงเป็อย่างมาก มุมปากปรากฏเืไหลออกมาคาดว่าคงได้รับาเ็ภายในอย่างแน่นอน
“ไม่เอาแล้ว พวกเ้าเอาไปเถอะ!” ฮวาลิ่วรู้สถานการณ์เป็อย่างดีรีบโยนห่อผ้าสีดำที่ห่อสมบัติล้ำค่าออกไปยังกลางอากาศด้านหน้าทันที ด้านมุมหนึ่งของห่อผ้าสีดำปรากฏแสงสีทองเหลืองอร่ามเปล่งประกายออกมาจากปลายหัวหอก ส่วนเงาร่างของฮวาลิ่วพลันรีบถอยหลบออกไปอย่างรวดเร็ว
“ฮ่าๆ เป็ของข้าแล้ว!” ถูเฮยเหาะลอยเข้ามาอย่างรวดเร็วที่สุด ยื่นมือออกไปเตรียมคว้าจับห่อผ้าสีดำที่อยู่กลางอากาศ
ฟิ้ว ฟิ้ว!
เพียงแต่เมื่อเขาคว้าจับห่อผ้าสีดำเอาไว้ได้ พลังโจมตีที่พุ่งเข้ามาจากทั่วทั้งสี่ทิศแปดด้านต่างพุ่งตรงเข้ามายังร่างกายของเขา แม้ถูเฮยจะมีพลังฝีมือที่แข็งแกร่งเป็อย่างมากก็ตาม พลังกฎเกณฑ์แห่งไฟที่ฝึกฝนก็อยู่ในระดับที่ไม่เลว แต่ถึงกระนั้นเขาก็ไม่กล้าที่จะต้านทานการโจมตีที่มาจากผู้คนมากมายพร้อมๆ กันเช่นนี้ ดังนั้นจึงได้เบี่ยงตัวหลบออกไปด้านข้างโดยทันที
ส่วนสมบัติล้ำค่าที่อยู่ภายในห่อผ้าสีดำถูกแรงะเิจากพลังโจมตีที่แข็งแกร่งกระแทกลอยปลิวออกไป
“ฮ่าๆ ข้าเอามาได้แล้ว!” ยอดฝีมือเผ่าคนเถื่อนคนหนึ่งยื่นมือออกไปคว้าจับหอกยาวสีทองเอาไว้ได้ แต่ยังไม่ทันที่จะมีเวลาให้เขาดีใจร่างของเขาพลันถูกพลังโจมตีที่พุ่งเข้ามาจากทั่วทั้งสี่ทิศแปดด้านโจมตีเข้าใส่จนร่างกายกลายเป็รูพรุนราวกับรังผึ้ง ส่วนยอดฝีมืออีกคนของเกาะเร้นลับที่คว้าได้เสื้อเกาะป้องกันนั้นร่างกายพลันถูกฉีกออกเป็ชิ้นๆ โดยทันที ชั่วพริบตาเดียวสถานการณ์ภายในลานกว้างเริ่มชุลมุนวุ่นวายขึ้นจนกลายเป็การต่อสู้ตะลุมบอนนัวเนียกันขึ้นมา ขอเพียงสมบัติล้ำค่าไปตกอยู่ในมือผู้ใดคนผู้นั้นก็จะตกเป็เป้าของการถูกรุมโจมตีอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ สถานการณ์ภายในลานกว้างเป็ไปอย่างชุลมุนวุ่นวายถึงขีดสุด ชุลมุนวุ่นวายถึงระดับที่สมบัติล้ำค่าหายไปแล้วชิ้นหนึ่งก็ยังไม่มีใครรู้
“มารดามันเถอะ! เ้าพวกคนเถื่อนทำไมพวกเ้าถึงได้เจาะจงฆ่าเฉพาะคนของเผ่าปีศาจ? นักรบปีศาจทั้งหลายฆ่าพวกมันกลับไปให้หมด!”
“เจาะจงฆ่าห่าเหวอะไร เป็พวกเ้าที่อยากฆ่าคนของพวกข้าก่อน ลูกหลานคนเถื่อนที่รักของข้า ฆ่าพวกมันให้หมด!”
“เ้าพวกเดนตายแห่งเกาะเร้นลับ แม้แต่คนของนครแห่งเทพพวกเ้าก็กล้าฆ่าเชียวรึ? พวกเ้าอยากถูกฆ่าล้างบางหมดทั้งเกาะใช่ไหม?”
“ช่างหัวมารดาเ้าสิ! ข้าไม่สนว่าจะเป็นครแห่งเทพหรือนครแห่งสุนัขห่าเหวอะไรทั้งนั้น พี่น้องของข้าฆ่าต่อไป ผู้ใดที่ถือสมบัติล้ำค่าเอาไว้สับมันให้เละ!”
“…”
การต่อสู้ตะลุมบอนเริ่มขึ้นและลุกลามไปจนเกือบจะถึงทุกขุมกำลังให้เข้าร่วมต่อสู้ด้วยทั้งหมด ตอนนี้ทั้งเสียงด่าทอ เสียงะเิ และเสียงร้องอย่างน่าอนาถใจดังปะปนกันขึ้นมาอยู่ตลอด ซากศพที่กองอยู่บนพื้นยิ่งนานยิ่งมากขึ้นทุกที เืที่ไหลนองยิ่งนานยิ่งมากขึ้นจนจะกลายเป็สายธารแห่งโลหิตไป
.................................
“แหะๆ น้องลิ่วทำได้ดีมาก!”
คนของเขตปกครองเทพาต่างไม่ได้มีความเคลื่อนไหวแต่อย่างใด ทำเพียงแค่ออกไปรับพวกฮวาลิ่วกลับมา หลงเฟยคนของเมืองัเมืองดูฮวาลิ่วที่ปากกลบไปด้วยเืจากนั้นเขาหัวเราะแหะๆ ออกมาแล้วพูดขึ้น
“น่าเสียดาย ถ้าหากพวกมันช้ากว่านั้นอีกหน่อยสมบัติล้ำค่าทั้งสามชิ้นคงเป็ของข้าทั้งหมดแล้ว! แหะๆ!” ฮวาลิ่วแม้ปากจะอาบไปด้วยเืแต่สีหน้าอาการตื่นเต้นยินดีนั้นแสดงออกอย่างชัดเจน จากนั้นเขาและคนของเขตปกครองเทพาทั้งหมดเริ่มค่อยๆ ถอยร่นกลับไปยังบริเวณมุมโค้งทางเลี้ยวก่อนหน้านั้น เช่นนี้สามารถดูการแสดงของขุมกำลังอื่นๆ ที่เข่นฆ่ากัน อีกทั้งยังเป็การระวังป้องกันได้เป็อย่างดีและหลีกเลี่ยงลูกหลงที่จะส่งมาถึงด้วย
“อืม...วิชาอำพรางกายของตระกูลฮวาเป็หนึ่งในใต้หล้าจริงๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเ้าฉลาดหลักแหลมเป็อย่างมากที่ใช้ห่อผ้าสีดำมาห่อของเพื่อตีเนียนไปได้!” เย่เชียงมองดูฮวาลิ่วด้วยความอิจฉาแล้วพูดขึ้น
พวกที่กำลังต่อสู้ตะลุมบอนกันอยู่นั้นตื่นเต้นกันจนเกินไป แต่คนของเขตปกครองเทพานั้นเห็นอย่างเต็มตาว่าห่อผ้าที่ฮวาลิ่วโยนออกไปนั้นมีเพียงหอกยาวหนึ่งด้ามและเสื้อเกราะหนึ่งตัวเพียงเท่านั้น ส่วนกริชนั้นถูกซ่อนเอาไว้ ถึงกระนั้นเย่เชียงก็ไม่ได้มีความคิดที่จะไปแย่งเอากับฮวาลิ่วอย่างแน่นอน เพราะทั้งห้าตระกูลใหญ่ล้วนมีสายสัมพันธ์ที่พึ่งพาอาศัยกันมาโดยตลอด โดยเฉพาะอย่างยิ่งฮวาลิ่วใช้ชีวิตของเขาแลกเอามันมา
อีกอย่างคือถ้าหากคนของตระกูลฮวาจะทำการหลบหนีละก็ใครก็ไม่สามารถตามทันได้ และที่สำคัญที่สุดคือพวกเขาเหล่าหัวหน้าผู้นำกองกำลังได้พูดคุยตกลงกันก่อนหน้านี้แล้วว่าคนของกองกำลังใดๆ ก็ตามของเขตปกครองเทพาถ้าหากได้รับสมบัติของล้ำค่าต่างๆ ถือว่าเป็ของคนผู้นั้นไป และคนอื่นๆ จะต้องช่วยกันคุ้มครองบุคคลคนผู้นั้นด้วย
“หยุดพูดเื่นี้ก่อน มาลองพิจารณาดูการต่อสู้ตะลุมบอนในครั้งนี้พวกเ้าพบความผิดปกติอะไรบางอย่างหรือไม่? กองกำลังขุมต่างๆ ล้วนปรากฏออกมาในเวลาเดียวกัน ข้ากลับรู้สึกว่าเื่นี้มีคนจงใจวางแผนทำให้เกิดการต่อสู้ตะลุมบอนขึ้น หาไม่แล้วทำไมมันถึงได้เกิดขึ้นอย่างประจวบเหมาะพอดีถึงเพียงนี้?” เยว่โหรวหัวหน้าผู้นำของตระกูลเยว่ไม่ได้สนใจสมบัติล้ำค่าที่ฮวาลิ่วได้รับสักเท่าใดนัก แต่กลับมองดูการต่อสู้ตะลุมบอนที่กำลังดุเดือดเืพล่านที่อยู่ห่างออกไปพร้อมกับเอ่ยขึ้นด้วยความสงสัยเป็อย่างมาก
“เป็เื่ที่แปลกประหลาดอย่างที่ว่าจริงๆ ดูจากรูปการณ์แล้วพวกเราไม่ควรเข้าไปมีส่วนร่วมน่าจะดีที่สุด มิฉะนั้นละก็ไม่รู้ว่าพวกเราที่มีจำนวนร้อยกว่าคนนี้จะเหลือรอดอยู่สักกี่คน!” เฟิงเซียวเซียวเองสีหน้าก็เคร่งเครียดขึ้นเป็อันมาก จากนั้นจึงพูดเสนอความคิดเห็นออกมา
“ถูกต้อง รอพวกมันสู้กันเสร็จ ไม่แน่ว่าข้างหน้าอาจจะมีของล้ำค่าที่ดีกว่านี้รออยู่อีกก็เป็ได้! ด่านแห่งนี้ไม่ชอบมาพากลจนเกินไป ข้าคิดว่าพวกเราไม่ควรเข้าไปมีส่วนร่วมจะดีที่สุด!” เย่เชียงก็ถือโอกาสพูดเสริมขึ้นในทันที เป้าหมายของตระกูลเย่คือการมาตามหาเย่ชิงหาน และแน่นอนว่าเขาไม่อยากให้คนของเขตปกครองเทพาเข้าไปมีส่วนร่วมในการต่อสู้ตะลุมบอนในครั้งนี้ เพราะข้างกายเขายังมีเย่ชิงอวี่ที่ต้องคอยปกป้องคุมครอง
“ข้าเห็นด้วย!”
“เห็นด้วย!”
ในสถานการณ์ที่แปลกประหลาดเช่นนี้หัวหน้าผู้นำกองกำลังทุกคนล้วนแสดงความคิดเห็นกันออกมา ทั้งหมดยืนนิ่งอยู่กับที่มองดูลานกว้างที่อยู่ห่างออกไป ราวกับว่ากำลังมองดูการแสดงที่น่าสนุกตื่นเต้นเพลิดเพลินฉันนั้น
กองกำลังต่างๆ ที่ต่อสู้ตะลุมบอนกันอยู่บนลานกว้างที่อยู่เบื้องหน้าแต่ละขุมกำลังล้วนเสียหายกันอย่างหนัก แต่ขุมกำลังที่ค่อนข้างจะดูดีมากที่สุดคือนครแห่งเทพ เพราะเมื่อเปรียบเทียบด้านพลังฝีมือแล้วขุมกำลังของนครแห่งเทพแข็งแกร่งที่สุด โดยเฉพาะอย่างยิ่งชุดและอาวุธที่เป็สมบัติล้ำค่าของฝ่ายพวกเขานั้นล้วนเป็ของดี ช่วยเสริมเขี้ยวเล็บของพวกเขาให้แข็งแกร่งมากยิ่งขึ้น สมบัติล้ำค่าระดับิญญาระดับวิเศษมากมายนับไม่ถ้วน แถมมีระดับศักดิ์สิทธิ์อีกสิบกว่าชิ้น เช่นนี้คนอื่นจะไปเทียบด้วยได้อย่างไรกัน?
ส่วนที่เสียหายหนักที่สุดคือเผ่าปีศาจ เนื่องจากพลังป้องกันของเผ่าคนเถื่อนแข็งแกร่งเป็อันมาก บวกกับรูปร่างที่มีขนาดใหญ่เหมาะแก่การต่อสู้เป็กลุ่มแบบตะลุมบอน ส่วนคนของเกาะเร้นลับล้วนเป็พวกนักเลงอันธพาลชอบการเข่นฆ่า การต่อสู้ตะลุมบอนจึงเป็ของถนัดมือที่สุด การทำเื่ต่ำช้า ลอบโจมตี ลอบกัด รุมยำรุมกระทืบ ลวดลายวิธีการต่างๆ ที่พวกอันธพาลคนเลวชอบใช้กันล้วนถูกนำออกมาใช้แทบทั้งหมดทุกอย่าง
ในที่สุดยอดฝีมือของเผ่าปีศาจก็ค่อยๆ ถอยร่นกลับออกไปทีละนิดๆ จนสุดท้ายถอยออกไปยืนอยู่ด้านนอกของสนามต่อสู้ไม่มาเข้าร่วมอีกเลย แต่ทว่ากลับไม่ได้จากไปแต่อย่างใด ยังคงยืนมองจ้องตาเป็มันอยู่ข้างๆ รอคอยให้สบโอกาสเหมาะพร้อมที่จะลงมือทุกเมื่อ
ถูเฮยหลังจากฟันยอดฝีมือคนหนึ่งของเกาะเร้นลับที่กำลังลอบโจมตีเข้ามาใส่เขาลอยปลิวออกไป ครุ่นคิดขึ้นมาว่าถ้าหากเป็เช่นนี้ต่อไปไม่ดีแน่ การต่อสู้ตะลุมบอนเช่นนี้ต้องสู้กันต่อไปอีกถึงเมื่อไหร่จึงจะจบ? ตอนนี้กำลังคนของนครแห่งเทพตายไปหนึ่งในสี่ส่วนแล้ว ถ้าหากสถานการณ์ยังคงดำเนินเช่นนี้ต่อไปจนทำให้เสียงานของจ้าวเทวะละก็หัวของตนเองคงต้องหลุดจากบ่าแน่นอน สมบัติล้ำค่าแม้จะสำคัญแต่ว่าชีวิตของตนเองสำคัญกว่ามากมิใช่รึ?
“หัวหน้าถูเฮย ข้ามีความมั่นใจว่าจะสามารถสังหารหัวหน้าผู้นำของเผ่าคนเถื่อนและเกาะเร้นลับได้ ท่านสามารถขู่พวกเขาให้หยุดทำการต่อสู้ได้แต่ข้า้าเสื้อเกราะป้องกันสมบัติล้ำค่าชิ้นนั้น!”
ในขณะที่เขากำลังรู้สึกกลัดกลุ้มอยู่นั้น เขาพลันได้รับการส่งกระแสเสียงจากทูตแห่งเทพคนหนึ่งที่อยู่ข้างๆ เขาอดแปลกใจไม่ได้ที่จึงหันมองไปดู มองผ่านเสื้อคุมยาวสีทองเขาเห็นดวงตาสีเทาดำคู่หนึ่ง
คนผู้นี้เขารู้จัก เขามีชื่อว่าเสว่อู๋เหินเป็ลูกน้องที่นายน้อยถูเชียนจวินให้ความสำคัญมาก แม้ว่าเขาจะเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่งต่อคำพูดของเสว่อู๋เหิน แต่ในเมื่อเขากล้าพูดแสดงตัวออกมาเช่นนี้คาดว่าคงจะมีความมั่นใจอยู่ไม่น้อยเป็แน่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการใช้วาจาข่มขู่ในลักษณะนี้แม้ไม่สำเร็จก็ไม่ได้เสียหายอะไร ครั้นแล้วเขาจึงะโลอยขึ้นไปบนอากาศพร้อมกับร้องคำรามลั่นออกมา
“หมันก้าน อิ่นซา พวกเ้าทั้งสองคนยังไม่รีบนำพาคนของพวกเ้าถอยกลับไปอีก หาไม่แล้วละก็ อย่าโทษข้าที่ต้องลงมือกับพวกเ้าทั้งสองแล้วกัน!”
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้