ตอนที่ 142 คำอธิบาย
ข่าวการฟื้นของอวิ๋นฉี่ซานสร้างความยินดีให้กับบ้านใหญ่และบ้านสามเป็อย่างยิ่ง เมื่ออวิ๋นฉี่ซานฟื้นแล้วดูเหมือนจะไม่เป็อะไรมาก พวกเด็กๆ จึงคิดที่จะตั้งร้านขายเม่าไช่ต่อ
อวิ๋นเจียวสอบถามเื่การค้าขาย พอรู้ว่าขายดีเป็เทน้ำเทท่า จนจ้าวซื่อกับเฉาซื่อก็ไปช่วยขายด้วย จึงเสนอว่าควรจะเปิดเป็ร้านได้แล้ว
“การตั้งร้านขายข้างทางแบบนี้ไม่ยั่งยืนหรอกเ้าค่ะ แถมยังขายได้ไม่มาก อีกอย่างจะให้ลูกค้ามายืนกินกันแบบนี้ทุกวันก็ไม่เข้าท่านัก ข้าคิดว่า พวกเราน่าจะเปิดร้านขายเม่าไช่กันไปเลย เช่าร้านในตำบลสักหลังหนึ่ง แบบที่เป็สองชั้น หรือร้านที่มีลานเล็กๆ ก็ได้”
“แบบนี้แล้ว อย่างแรกเลยคือบรรยากาศจะได้ดีขึ้น แน่นอนว่าลูกค้าก็ต้องมากขึ้น อย่างที่สองคือพอเรามีร้านเป็หลักเป็แหล่งแล้ว ก็สามารถขายอาหารได้หลากหลายมากขึ้น อย่างเช่น ขนมแป้งทอดของป้าสะใภ้ใหญ่ อร่อยมากเลยเ้าค่ะ ข้าคิดว่าขายได้แน่นอน”
คำพูดของอวิ๋นเจียวกระตุ้นความสนใจของเด็กๆ ขึ้นมาทันที ไม่ว่าจะเป็ฉี่เสียง ฉี่ชิ่ง อวิ๋นเหลียนเอ๋อร์และอวิ๋นหลานเอ๋อร์ พวกเขาตอนนี้ต่างก็ไม่ใช่เด็กเหมือนเมื่อก่อนอีกต่อไปแล้ว
การตั้งร้านขายเม่าไช่ใน่เวลาสั้นๆ เพียงไม่กี่วันนี้ทำให้โลกทัศน์ของพวกเขากว้างไกลขึ้น ที่สำคัญคือ ร้านเม่าไช่ขายดีมาก ทำให้พวกเขามีกำลังใจ
เพียงแต่ตอนนี้มีปัญหาอยู่เื่หนึ่ง นั่นก็คือเื่ค่าเช่า ตอนนี้พวกเขายังไม่มีเงินมากขนาดนั้น
อวิ๋นฉี่เยว่เอ่ยขึ้น “ค่าเช่าร้านในตำบลไม่น่าจะแพงมากนัก ร้านสองคูหาพร้อมลานเล็กๆ หากอยู่ในทำเลที่ดีหน่อยก็น่าจะประมาณสิบตำลึงเงินต่อปี”
ในตำบล ราคาบ้านหลังเล็กๆ ก็แค่ไม่กี่สิบตำลึงเงิน ร้านค้าที่มีลานด้วยราคาจะแพงกว่าหน่อย ประมาณร้อยถึงสองร้อยตำลึงเงิน
อวิ๋นเจียวพูดติดตลกว่า “เช่นนั้นเื่ร้านค้าก็ฝากพี่ใหญ่จัดการเลยนะเ้าคะ พวกเรายังเด็ก เงินค่าเช่าปีแรกพี่ใหญ่ช่วยออกไปก่อนสิเ้าคะ!”
อวิ๋นฉี่เยว่รับปากทันที “อืม เงินค่าเช่าสิบตำลึงเงินปีแรก พี่ใหญ่ออกให้ก็ได้ แต่พวกเ้าต้องช่วยกันหาร้านเองนะ!”
อวิ๋นเหลียนเอ๋อร์รีบพูดขึ้น “ไม่ได้ จะใช้เงินของฉี่เยว่ได้อย่างไร?”
อวิ๋นฉี่เสียงก็รีบพูดขึ้น “ใช่ๆ จะใช้เงินของฉี่เยว่ไม่ได้ มิเช่นนั้นก็ให้ฉี่เยว่ร่วมหุ้นด้วยแล้วกัน”
อวิ๋นเจียวเอ่ยขึ้น “พี่ใหญ่ของข้ากำลังเตรียมตัวสอบเคอจวี่ คงไม่สนใจเงินน้อยนิดของพวกเราหรอก เอาอย่างนี้ดีไหมเ้าคะ พวกเรานำเงินสิบตำลึงเงินนี้ไปก่อน พอได้กำไรแล้วค่อยคืนพี่ใหญ่!”
พี่น้องบ้านนี้ไม่มีใครโลภมาก อวิ๋นเจียวดีใจมากที่ได้รู้จักกับพวกเขา
ทุกคนเห็นด้วยกับข้อเสนอของนาง จากนั้นอวิ๋นเหลียนเอ๋อร์ก็มอบเงินส่วนแบ่งไม่กี่ตำลึงเงินที่อวิ๋นเจียวควรได้รับใน่เวลานี้ให้กับนาง
อวิ๋นเจียวไม่ได้ปฏิเสธ รับเงินมาเก็บไว้ บางครั้งความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์การให้ฝ่ายเดียวไม่ใช่เื่ดีเสมอไป สิ่งสำคัญคือ 'ความเท่าเทียม'
การมี 'ความเท่าเทียม' เป็พื้นฐาน ความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์จึงจะแน่นแฟ้นยิ่งขึ้น
เนื่องจากต้องเข้าไปหาเลือกร้านในตำบล ฉี่เสียงจึงเป็คนเก็บเงินสิบตำลึงเงินนั้นไว้ พอตกลงกันได้แล้ว ฉี่เสียงและคนอื่นๆ ก็ไปเตรียมข้าวของรวมถึงวัตถุดิบเพื่อเตรียมตัวตั้งร้านขายในวันรุ่งขึ้น ส่วนเื่หาร้าน ค่อยๆ หาไปก็ได้ ไม่ต้องรีบร้อน
ตกเย็น สมาชิกสี่คนในครอบครัวนั่งกินข้าวด้วยกันในห้องโถง อวิ๋นเจียวสั่งให้บ่าวไพร่ไปทำงานอื่นก่อน จากนั้นจึงเล่าเื่ของตัวเองให้ทุกคนฟัง
เื่คำโกหกเกี่ยวกับนักพรตทีู่เาหลงหู่นั้น นางต้องอธิบายให้ทุกคนในครอบครัวฟัง ไม่อย่างนั้นนางคงไม่สบายใจ
“...ท่านนักพรตแตะที่หน้าผากของข้าเบาๆ แล้วก็มีอะไรบางอย่างไหลเข้ามาในหัวข้ามากมาย ข้ายังไม่ทันตั้งตัว ท่านพ่อท่านแม่ก็เตรียมตัวกลับหมู่บ้านไหวซู่แล้ว จากนั้นข้าก็ล้มป่วยเป็ไข้ หลังจากหายป่วยแล้ว ในหัวข้าก็มีอะไรบางอย่างเพิ่มขึ้นมา”
คนเราเมื่อพูดโกหกหนึ่งคำ ก็ต้องใช้คำโกหกอีกมากมายเพื่อกลบเกลื่อน อวิ๋นเจียวรู้เื่นี้จากความทรงจำของเ้าของร่างเดิม ในแคว้นต้าเยี่ยมีตำนานเล่าขานกันว่าบนูเาหลงหู่มีเซียนบำเพ็ญเพียรจนบรรลุแล้วเหาะขึ้น์
ดังนั้น แม้แต่ฮ่องเต้ยังให้ความเคารพนับถือนักพรตจากูเาหลงหู่เป็อย่างมาก เชื่อว่านักพรตเ่าั้มีวิชาอันลึกลับเหนือธรรมดา ด้วยเหตุนี้ นางจึงกล้าใช้เื่ของนักพรตจากูเาหลงหู่มาอธิบายพฤติกรรมที่แปลกๆ ของนาง
แน่นอนว่านางคิดทบทวนดีแล้ว หากเื่นี้ถูกเปิดโปง นางก็ไม่กลัวที่จะเผชิญหน้า เพียงแค่พูดประโยคเดียวว่า 'ท่านนักพรตบอกว่าเขาเป็คนจากูเาหลงหู่' เท่านั้นก็จบเื่แล้วมิใช่หรือ จะอย่างไรนางก็เป็แค่เด็กตัวเล็กๆ คนหนึ่งจะไปรู้อะไรมากมาย
กล่าวจบ นางก็แอบสังเกตปฏิกิริยาของทุกคน ทันใดนั้นฟางซื่อก็ดึงนางเข้าไปกอดพลางเอ่ยด้วยความเป็ห่วง “เจียวเอ๋อร์ของแม่ช่างน่าสงสารนัก ่นั้นทำให้แม่เป็ห่วงแทบแย่ ถ้ารู้ว่าเ้าต้องทนทุกข์ทรมานเช่นนั้น ต่อให้เป็นักพรตจากูเาหลงหู่ก็เถอะ พวกเราคงหนีไปให้ไกลแล้ว”
ตอนนั้นที่อวิ๋นเจียวล้มป่วยทำให้ฟางซื่อเป็ห่วงแทบขาดใจ นางอยากแลกชีวิตของนางเพื่อให้อวิ๋นเจียวปลอดภัยใจจะขาด
อวิ๋นเจียวซุกตัวอยู่ในอ้อมกอดของฟางซื่อพลางเอ่ยปลอบ “ตอนนี้ข้าไม่เป็ไรแล้วเ้าค่ะ ท่านแม่!” ในใจของอวิ๋นเจียวกลับคิดว่าลูกสาวของพวกท่านจากไปแล้วจริงๆ แต่ข้ายินดีทำหน้าที่ลูกกตัญญูแทน
ฟางซื่อเอ่ย “อืม แต่แม่ก็ยังหวาดกลัวอยู่ดี!”
อวิ๋นเจียวเปลี่ยนเื่คุย “แต่ว่าท่านพ่อ ท่านแม่ พี่ใหญ่ พวกท่านไม่รู้สึกว่าเื่นี้แปลกหรือเ้าคะ ที่ข้าไม่กล้าบอกก็เพราะกลัวว่าพวกท่านจะไม่เชื่อ หากไม่ใช่เพราะพี่รอง...”
อวิ๋นโส่วจงเอ่ยขึ้น “แปลกตรงไหนเล่า ูเาหลงหู่มีแต่ผู้มากความสามารถ นักพรตจากูเาหลงหู่ย่อมต้องมีความสามารถจริงแท้แน่นอน ตอนที่ฮ่องเต้พระองค์ก่อนยังทรงพระชนม์อยู่ ครั้งหนึ่งพระองค์ประชวรด้วยโรคระบาดร้ายแรง ในตอนนั้นหมอหลวงทุกคนต่างก็จนปัญญา ได้แต่รอดูชะตาฟ้าลิขิต”
“แต่บังเอิญว่าไทเฮาเคยรู้จักกับนักพรตจากูเาหลงหู่ท่านหนึ่ง ดูเหมือนว่าตอนสาวๆ ท่านเคยให้ข้าวให้อาหารกับนักพรตท่านนั้น ไทเฮาจึงเสด็จไปทีู่เาหลงหู่ด้วยพระองค์เองเพื่อขอร้องให้นักพรตท่านนั้นมอบยาเม็ดวิเศษมาหนึ่งขวด ฮ่องเต้พระองค์ก่อนทรงหายจากโรคหลังจากเสวยยาเม็ดวิเศษนั่น จากนั้นก็ยังทรงพระชนม์ชีพอยู่ต่ออีกหลายปีก่อนจะเสด็จต”
เพราะเหตุนี้ ท่านพ่อท่านแม่ถึงเชื่อคำพูดไร้สาระของนางงั้นหรือ? อวิ๋นเจียวถอนหายใจด้วยความโล่งอก
อวิ๋นฉี่เยว่เอ่ยขึ้น “เจียวเอ๋อร์ เื่นี้ให้คนในครอบครัวเรารู้ก็พอแล้ว”
อวิ๋นเจียว: ...
“ฉู่อี้เขารู้เื่ยาเม็ดวิเศษของข้าแล้วเ้าค่ะ อืม... จริงๆ แล้วข้ารู้วิธีปรุงยาพวกนั้น”
ฉวยโอกาสนี้ไขข้อข้องใจเื่ที่มาของยาเม็ดซะเลย มิเช่นนั้น ยาเม็ดวิเศษที่ได้จากการพบกันเพียงครั้งเดียวจะสามารถนำมาใช้อย่างไม่รู้จักหมดได้อย่างไร?
ฉู่อี้ ได้ยินชื่อนี้อีกแล้ว อวิ๋นฉี่เยว่รู้สึกไม่สบายใจนัก
“เขา...”
“ตอนที่เขาได้รับาเ็คราวนั้นเขาก็รู้แล้วเ้าค่ะ แล้วก็เื่โรคระบาดคราวนี้...”
อวิ๋นโส่วจงเอ่ยถาม “เช่นนั้น ยาที่ฉู่อี้เอามาช่วยชีวิตผู้คนจริงๆ แล้วเป็ของที่เ้าให้เขางั้นหรือ?”
อวิ๋นเจียวพยักหน้า “ข้าคิดว่าออกไปข้างนอก พกยาติดตัวไว้เยอะๆ คงไม่เสียหาย ไม่นึกเลยว่าจะได้เจอกับโรคระบาดจริงๆ แต่ข้าก็กลัว กลัวว่าคนอื่นจะรู้เื่ยาเม็ดวิเศษของข้า แล้วฉู่อี้ก็มาพอดี ข้าจึงโยนเื่ยุ่งยากนี้ให้เขาทั้งหมด”
เมื่อได้ยินเช่นนั้นอวิ๋นฉี่เยว่ก็รู้สึกสบายใจอย่างบอกไม่ถูก ที่แท้น้องสาวเขาก็แค่ใช้ฉู่อี้เป็เครื่องมือเท่านั้น
“ดีแล้ว ด้วยฐานะของเขาเอายามาช่วยชีวิตผู้คนก็เหมาะสมแล้ว ถึงอย่างไรเขาก็เป็ถึงท่านโหว ไม่ขาดแคลนของดีๆ อยู่แล้ว อีกอย่าง เจียวเอ๋อร์มอบยาวิเศษให้เขา แถมยังทำให้เขามีชื่อเสียง เขาก็มอบบ่าวรับใช้สองคนให้กับบ้านเรา ถือว่าหายกันแล้วกัน”
ไม่หายกันก็ต้องหายกัน
อวิ๋นโส่วจงเอ่ยขึ้น “เื่ยาเม็ดวิเศษไม่ต้องกังวลแทนฉู่อี้หรอก เพียงแต่เจียวเอ๋อร์เื่ที่เ้าปรุงยาได้กับเื่ขอพรนั้น อย่าให้คนอื่นรู้เด็ดขาด ส่วนฉี่ซานพ่อจะบอกเขาไว้เอง”