คำพูดของมู่อวิ๋นจิ่น ทำให้ฉู่ลี่รู้สึกตัวเย็นเยียบลงในทันที คิ้วของเขาขมวดแน่นและเขาจ้องมองที่มู่อวิ๋นจิ่น ก่อนจะพูดด้วยเสียงเรียบนิ่ง
“พูดอีกทีสิ”
มู่อวิ๋นจิ่นผงะเล็กน้อย น้ำเสียงที่เฉียบคมของเขา ทำให้นางรู้สึกเหมือนกำลังจะตายภายใต้ดาบของฉู่ลี่ได้ทุกเมื่อ นางอดไม่ได้ที่จะเม้มริมฝีปาก และคิดถึงข้อมือที่าเ็ของนาง ทันใดนั้นความมั่นใจของนางพลันหายไปอย่างเห็นได้ชัด
หลังจากนั้นไม่นาน มู่อวิ๋นจิ่นก็ดึงความกล้าหาญของนางออกมาและพูดจาแกมเย้ยหยัน “จี้หยกเป็สมบัติส่วนตัวของหม่อมฉัน องค์ชายหกหยิบมันไป ดังนั้นควรจะคืนมันให้หม่อมฉัน แทนที่จะยึดมันไว้และไม่ยอมคืนมัน”
เดิมทีติงเสี่ยนคิดว่ามู่อวิ๋นจิ่ จะใกลัวเ้านายของตนจนไม่กล้าเอ่ยอันใด แต่หลังจากที่นางสงบอารมณ์ลง นางก็ไม่กลัวความตาย และกลับเอาตัวเองกระแทกเข้าที่ปากกระบอกปืนเสียอย่างนั้น
เมื่อมองไปที่ฉู่ลี่อีกครา ใบหน้าที่ดูขี้เล่นและยิ้มแย้มเมื่อกี้ได้มืดลงแล้ว จากนั้นเขาก็เอื้อมมือไปที่แขนเสื้อและหยิบจี้หยกขาวพระจันทร์ออกมา
คราแรกติงเสี่ยนคิดว่าเ้านายของตน้าคืนจี้หยกจริง ๆ ก่อนเขาจะเห็นฉู่ลี่เอื้อมมือไปคว้าพู่บนจี้หยก และเขย่ามันต่อหน้ามู่อวิ๋นจิ่น
“แล้วถ้าหากข้าไม่คืนเล่า?”
ติงเสี่ยนชะงักไปครู่หนึ่ง ไม่สามารถเดาได้เลยว่าฉู่ลี่กำลังคิดอะไรอยู่ในขณะนี้ และเขายังรู้สึกถึงความสั่นไหวในน้ำเสียงของฉู่ลี่อีกด้วย…
ความรู้สึกของการหยอกเย้าเชิงชู้สาว
เมื่อนึกถึงสิ่งนี้ ติงเสี่ยนรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อยกับความคิดของตนเอง
“เ้าเล่ห์!” มู่อวิ๋นจิ่นโกรธเมื่อได้ฟังคำพูดของฉู่ลี่จนพูดอะไรไม่ออก นางจึงทำได้สบถออกมาแค่สองคำ
อันที่จริงสิ่งที่ฉู่ลี่พูดนั้นถูกต้อง ถ้าเขาไม่คืนจี้หยกให้นาง นางก็ไม่สามารถทำอะไรเขาได้อยู่ดี
ฉู่ลี่ถูกมู่อวิ๋นจิ่นด่าแต่เขาก็ไม่โกรธเลย เขาหยิบจี้หยกกลับมาเบา ๆ โดยไม่สนใจ แสดงออกกับมู่อวิ๋นจิ่นอย่างเฉยชา หันหลังและจากไปอย่างสบาย ๆ
มู่อวิ๋นจิ่นจ้องมองที่ด้านหลังของฉู่ลี่ มองดูติงเสี่ยนที่ดูชั่วร้ายซึ่งยังไม่จากไป และมองตะเกียงในมือด้วยความขยะแขยง “ที่นี่สว่างไสวไปทุกที่ ทำไมเ้าถือตะเกียงตลอดเวลา”
ติงเสี่ยนชะงักงัน เหลือบมองตะเกียงในมือ จากนั้นมองไปที่ร่างของฉู่ลี่ ที่กำลังเดินออกไปอย่างช้า ๆ และถอนหายใจเล็กน้อย “คุณหนูสาม เื่นี้มันยืดเยื้อกว่าที่คิดขอรับ”
มู่อวิ๋นจิ่นแค่ถามอย่างตั้งใจจะแขวะในตอนแรก แต่จากคำตอบของติงเสี่ยนที่นางได้ยิน มันค่อนข้างจะลำบากใจ และอดไม่ได้ที่จะเลิกคิ้วขึ้น “เพราะเหตุใด?”
“เฮ้อ ไม่ใช่ว่าฝ่าาไม่้าคืนจี้หยกของคุณหนูสามสกุลมู่หรอก แต่จี้หยกนั่นเป็ของพิเศษสำหรับฝ่าา”
ด้วยเหตุผลบางอย่าง ติงเสี่ยนมองไปที่มู่อวิ๋นจิ่นที่อยู่ต่อหน้าเขา แม้ว่าตัวนางจะดูไม่น่าเชื่อถือ แต่ก็ทำให้ผู้คนรู้สึกไว้วางใจ ดังนั้นเขาจึงเลือกกระซิบบอกบางอย่างให้มู่อวิ๋นจิ่นรับรู้
“ข้าจะบอกท่านเกี่ยวกับเื่นี้ แต่ท่านต้องจำไว้ว่าอย่าบอกเื่นี้กับใคร”
มู่อวิ๋นจิ่นพยักหน้าทันที และขยับเข้าหาติงเสี่ยนอย่างสงสัยและรอประโยคถัดไป
“ั้แ่เด็ก ฝ่าาจะมองไม่เห็นใน่เวลากลางคืน ตลอดหลายปีที่ผ่านมา พระองค์แทบไม่เสด็จออกไปไหนตอนกลางคืนเลย แม้กลางคืนก็ต้องจุดเทียนในห้องบรรทมจนถึงรุ่งสางเพื่อป้องกันเหตุร้าย”
“ท่านต้องรู้ว่าฝ่าาของเราเป็องค์ชาย และเราอาจเจออำนาจมืดได้ตลอดเวลา ถ้ามีใครรู้ว่าพระองค์ตาบอดกลางคืน ข้าไม่รู้ว่าพระองค์จะเดือดร้อนขนาดไหน ดังนั้นในสองปีมานี้ กระผมจึงเลี่ยงการจุดเทียนในเรือนเวลากลางคืนเสมอ เพื่อไม่ให้คนสงสัย แต่การกระทำเช่นนั้นทำให้พระองค์รู้สึกไม่สะดวกจริง ๆ”
“จี้หยกเรืองแสงของท่านมีขนาดเล็ก เบา และพกพาสะดวก มันสามารถช่วยแก้ปัญหาสายตาที่อ่อนแอของฝ่าาในตอนกลางคืนได้”
หลังจากฟังคำพูดของติงเสี่ยนแล้ว มู่อวิ๋นจิ่นก็อดไม่ได้ที่จะกระตุกมุมปากของ พลางเหลือบมองที่ตะเกียงขนาดใหญ่ในมือของติงเสี่ยนโดยไม่รู้ตัว และนึกถึงฉากตอนที่นางแอบเข้าไปในห้องนอนของฉู่ลี่และตอนที่หนีออกมาเมื่อคืน ตอนที่นำผ้าสีดำคลุมหยกนั่นเอาไว้
ด้วยอาการมองไม่ชัดในเวลากลางคืน ราวกับคนตาบอดของฉู่ลี่นี้เองจึง ไม่น่าแปลกใจที่นางได้รับโอกาสในการหลบนี้มาได้อย่างง่ายดาย
“คุณหนูสาม ท่านห้ามบอกเื่นี้กับคนอื่น มิฉะนั้นท่านจะเดือดร้อน” เมื่อเห็นสีหน้าแสดงออกถึงการเย้ยหยันบนใบหน้าของมู่อวิ๋นจิ่น ติงเสี่ยนก็พลันรู้สึกเสียใจที่บอกมู่อวิ๋นจิ่นเกี่ยวกับเื่นี้
มู่อวิ๋นจิ่นชำเลืองมองติงเสี่ยนก่อนจะเลิกคิ้ว ก่อนจะเอื้อมมือไปตบไหลติงเสี่ยน “มันขึ้นอยู่กับอารมณ์ของข้า!”
“อย่า...”
ขณะที่ติงเสี่ยนยัง้าที่จะพูดอะไรบางอย่าง มู่อวิ๋นจิ่นก็หันหลังกลับและเดินออกไป
ระหว่างทางออกจากพระราชวัง เสียงฝีเท้าของมู่อวิ๋นจิ่นนั้นเบาเป็พิเศษ และนางไม่สามารถซ่อนรอยยิ้มบนใบหน้าของนางได้ นางพูดในใจอย่างลับ ๆ ว่านางไม่รู้ว่าติงเสี่ยนนั้นเป็สหายหมู*หรือไม่
(* เพื่อนที่ไม่ได้เื่ คนที่ไม่ได้เื่)
ตอนนี้ราวกับฉู่ลี่ได้ยื่นไพ่ใบสำคัญให้กับนางแล้ว ช่างดียิ่งนัก
...
วันรุ่งขึ้นมู่อวิ๋นจิ่นใช้เวลาทั้งวันในเรือนบุปผาภิรมย์ ครุ่นคิดเกี่ยวกับวิธีใช้จี้หยกของนางเพื่อหารือและต่อรองกับฉู่ลี่เกี่ยวกับเงื่อนไขในการยกเลิกงานอภิเษก
นางเอาแต่คิดถึงเื่นี้ เมื่อนางยกเลิกการอภิเษกและได้ทองคำสามหมื่นตำลึง นางจะพาจื่อเซียงไปหาสถานที่ที่ไร้ผู้คนวุ่นวาย และใช้ชีวิตอย่างสุขสบาย
ดีกว่าการต้องมาเล่นเกมปั่นประสาททุกวี่ทุกวันในจวนอัครอัครเสนาบดีแห่งนี้
ในขณะที่นางกำลังคิดอยู่นั้น นางได้ยินเสียงร่างหนึ่งเดินเข้ามาจากประตูของเรือนบุผาภิรมย์ เมื่อมู่อวิ๋นจิ่นเงยหน้าขึ้นคิ้วของนางก็พลันขมวดเล็กน้อย
“เ้ามาได้อย่างไร?”
เป็ติงเสี่ยนเองที่มาเยือน
ทันทีที่ติงเสี่ยนเห็นมู่อวิ๋นจิ่นเขาก็เอามือแตะจมูก รู้สึกประหม่าเล็กน้อย “ฝ่าาเชิญคุณหนูสามไปพบที่โรงน้ำชาิเซียง”
“ฉู่ลี่?” มู่อวิ๋นจิ่นรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย
ติงเสี่ยนชะงักไปครู่หนึ่ง เขาไม่คาดคิดว่ามู่อวิ๋นจิ่นจะเรียกฉู่ลี่ด้วยชื่อ แต่เขาก็ยังพยักหน้า “ใช่แล้ว ฝ่าานั่นแหละขอรับ”
เมื่อมู่อวิ๋นจิ่นได้ยินดังนั้น นางก็เกิดความลังเล ฉู่ลี่จะทำอย่างไรกับนาง?
แต่หลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่ใหญ มู่อวิ๋นจิ่นก็ลุกขึ้นและตัดสินใจจะออกไปกับติงเสี่ยน เดินไปได้เพียงไม่กี่ก้าวจื่อเซี่ยงก็เรียกมู่อวิ๋นจิ่นไว้
“คุณหนู ท่านจะออกไปพบองค์ชายหก อย่างน้อยก็เปลี่ยนชุดเสียหน่อยเถอะเ้าค่ะ”จื่อเซียงพูดอย่างกังวลและมองไปที่มู่อวิ๋นจิ่นที่สวมเสื้อผ้าธรรมดา แม้แต่ผมของนางก็ยังไม่ได้หวีด้วยซ้ำ
มู่อวิ๋นจิ่นโบกมือให้จื่อเซียง ปัดผมของนางอย่างสบาย ๆ แล้วพึมพำว่า “แค่ไปพบองค์ชายหก จะแต่งตัวมากมายไปเพื่ออะไร เ้าไม่คิดว่าข้าเหนื่อยบ้างงั้นหรือ!”
ติงเสี่ยนและจื่อเซียงมองหน้ากันอย่างเงียบ ๆ เมื่อได้ยินคำพูดนั้นพวกเขาก็ไม่กล้าที่จะขัด
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ติงเสี่ยนที่แอบครุ่นคิดในใจว่า การที่คุณหนูสามสกุลมู่ถูกกักบริเวณในจวนแห่งนี้ เป็ไปได้หรือไม่ว่านางถูกกักบริเวณเพียงเพราะนิสัยที่ไม่เรียบร้อยของนาง คำพูดที่อุกอาจของนางจะนำปัญหาใหญ่มาสู่จวนของอัครเสนาบดีได้?
เมื่อคิดได้ดังนั้น ติงเสี่ยนคิดว่าเหตุผลเหล่านี้ล้วนเป็ไปได้ทั้งหมด
เมื่อมู่อวิ๋นจิ่นปรากฎตัวที่ห้องโถงด้านหน้า ในขณะที่มู่หลิงจูก็ขึ้นมาพบนางเช่นกัน นางสวมกระโปรงผ้าโปร่งสีเหลืองสดใสพร้อมถักเปียสวยงามเรียบร้อย ดูสง่างามเล็กน้อย และถือว่าแต่งตัวอย่างดีเมื่อมองแวบแรก
“ข้าได้ยินมาว่าองค์ชายหกเชิญท่านพี่ไปที่โรงน้ำชาิเซียง และบังเอิญน้องสาวของข้าก็ชวนข้าไปดื่มชาที่นั่นพอดี เหตุใดท่านไม่พาข้าไปพร้อมกันด้วยเล่า?” มู่หลิงจูยิ้มหวานมองไปที่มู่อวิ๋นจิ่น
เมื่อได้ยินเช่นนี้มู่อวิ๋นจิ่นก็ชำเลืองมองมู่หลิงจูและยิ้มบาง “คนขับรถม้าไม่ได้จัดหารถม้าไม้พะยูงชั้นยอดให้กับน้องของข้างั้นหรือ? เหตุใดถึงต้องอาศัยรถม้าร่วมกับข้า”
หลังจากพูดจบ มู่อวิ๋นจิ่นและติงเสี่ยนก็เดินออกไปที่ประตู
เื้ัมู่หลิงจูยืนกัดฟันกรอด พลางกระทืบเท้า ก่อนจะหันมามองหงเซียที่อยู่ข้าง ๆ นาง “ตอนนี้เว่ยหานเฉี่ยวกับมู่อี้หยางอยู่ที่ไหน?”
“ข้าได้ยินมาว่า พวกเขาอาศัยอยู่ในบ้านทรุดโทรมในตลาดทางทิศตะวันออก” หงเซียกล่าว
“งั้นหรือ?” มู่หลิงจูเลิกคิ้ว “เ้าส่งคนไปแจ้งเว่ยหานเฉียวว่า มู่อวิ๋นจิ่นออกไปที่โรงน้ำชาิเซียง...”
“เ้าค่ะคุณหนู”
...
ณ โรงน้ำชาิเซียง
มู่อวิ๋นจิ่นถูกติงเสี่ยนพาไปที่ห้องส่วนตัวบนชั้นสอง ทันทีที่นางเข้าไปนางเห็นเงาสีดำทมึนนั่งอยู่ ในท่าทีที่กำลังนั่งจิบชาอย่างสบาย ๆ
เมื่อเห็นฉู่ลี่ มู่อวิ๋นจิ่นก็มองไปที่ดวงตาของฉู่ลี่โดยไม่รู้ตัว ติงเซียนที่อยู่ด้านข้างดึงแขนเสื้อของ มู่อวิ๋นจิ่นไว้ทันทีด้วยความใ และขยิบตาให้นางเพราะกลัวว่านางจะทำเื่รั่วไหล
“ยังมีเวลาเหลืออีกหนึ่งวันในระยะเวลาสามวันใช่หรือไม่? วันนี้องค์ชายหกเชิญข้าออกมาเพราะเหตุใดหรือ?” มู่อวิ๋นจิ่นนั่งลงอย่างสุภาพ ก่อนจะหยิบกาน้ำชาขึ้นมารินชาใส่แก้ว แล้วยกขึ้นดื่มจนหมดภายในอึกเดียว
“ข้าเชิญมาดื่มชา” ฉู่ลี่ชำเลืองมองมู่อวิ๋นจิ่นเห็นเสื้อผ้าเรียบ ๆ ของนางกับผมเพ้าที่ยุ่งเหยิง ทำให้เขารู้สึกว่านางทำตัวสบาย ๆ ไปหน่อย
มู่อวิ๋นจิ่นเลิกคิ้ว นางเพิ่งรินชาแก้วที่สอง มือที่ถือถ้วยชาสั่นทำให้เผลอทำชาหกจำนวนมากทันที “ท่านจะไม่วางยาพิษในชานี้ใช่หรือไม่?”
ฉู่ลี่แสยะยิ้มพลางเขย่าถ้วยชาในมือของเขา จ้องตรงไปที่มู่อวิ๋นจิ่นด้วยดวงตาที่บริสุทธิ์ที่เต็มไปด้วยความอดกลั้น จากนั้นค่อย ๆ เลื่อนสายตาลงไปที่ข้อมือขวาของมู่อวิ๋นจิ่น
เมื่อมู่อวิ๋นจิ่นเห็นปฏิกิริยาที่ฉู่ลี่จ้องมองมายังตน นางก็อดไม่ได้ที่จะเหลือบมองที่มือขวาของตนเองด้วยเช่นกัน ร่องรอยของความรู้สึกผิดฉายวาบในดวงตาของนาง ทันใดนั้นนางก็ลดสายตาลงทันที
ให้ตายเถอะ ฉู่ลี่คงไม่รู้หรอกว่านางคือชายในชุดดำ ใช่หรือไม่?
วันนี้เรียกนางมาเพื่อสอบพิรุจอย่างนั้นหรือ?
มันจบลงแล้ว มันจบสิ้นแล้ว หากถูกจับได้ว่าแอบลักลอบเข้าวังหลวงในตอนกลางคืน จะต้องโทษปะาเจ็ดชั่วโคตรอย่างแน่นอน!
ในขณะที่นางกำลังดิ้นรนกับการหาวิธีการร้องขอชีวิต นางก็ได้ยินคำพูดแขวะดังมาจากปากของฉู่ลี่ “เมื่อวานมือขวาของเ้าเต็มไปด้วยเครื่องประดับมากมาย มันน่าเกลียดมากและรสนิยมของเ้าก็แย่มากด้วยเช่นกัน”
“วันนี้โล่งไปหน่อย แต่ก็ไม่รกหูรกตา”
มู่อวิ๋นจิ่นใพลางขมวดคิ้วแน่น แต่เมื่อเห็นว่าฉู่ลี่ไม่ได้หมายถึงอาการาเ็ที่ข้อมือ นางก็พลันรู้สึกโล่งใจทันที แต่เมื่อนางนึกถึงคำกล่าวของฉู่ลี่ที่บอกว่านางมีรสนิยมแย่นั้น นางจึงจ้องมองมายังฉู่ลี่อีกครั้ง
“ดูเหมือนจะไม่ใช่เื่ที่ท่านต้องใส่ใจนะเพคะ องค์ชายหก” มู่อวิ๋นจิ่นกัดฟัน
เมื่อนางกำลังจะเพิ่มอีกประโยค ก็มีเสียงร้องโหยหวนจากชั้นล่างดังลอดขึ้นมา...
“มู่อวิ๋นจิ่น! นางสาระเลว เ้าฆ่าพี่ชายของเ้าและใส่ร้ายฮูหยินรองว่าเป็ขโมย เ้ามันดื้อรั้น! นางชั่ว คืนความบริสุทธิ์และสุขภาพของลูกชายข้ากลับมา!”
“มู่อวิ๋นจิ่นเ้าสารเลว เ้าฆ่าพี่ชายรองของเ้าจริง ๆ ต้องสืบสวนเื่นี้ให้ถึงที่สุด!”
“มู่อวิ๋นจิ่น...”
เสียงะโของเว่ยหานเฉี่ยวดังขึ้นที่ชั้นล่าง และดึงดูดผู้คนมากมายที่ผ่านไปมาในทันที
ในห้องนั้น ฉู่ลี่เลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยเมื่อได้ยินเสียงของเว่ยหานเฉี่ยว ก่อนเขาจะมองไปที่มู่อวิ๋นจิ่นด้วยความสนใจ และรอดูปฏิกิริยาต่อไปของนาง
ในวินาทีต่อมา มู่อวิ๋นจิ่นคว้ากาน้ำชาบนโต๊ะด้วยมือเดียว เดินไปที่หน้าต่างด้านข้าง เปิดหน้าต่าง ก่อนจะเปิดฝากาน้ำชาและเทชาทั้งหม้อลงชั้นล่างที่เว่ยหานเฉียวยืนอยู่
เว่ยหานเฉี่ยวไม่คาดคิดว่ากาน้ำชาจะตกลงมาจากเบื้องบน แต่นางไม่สามารถหลบมันได้ น้ำชาร้อนจัดราดไปทั่วร่างกายของนาง ซึ่งทำให้นางกรีดร้องสองสามครั้ง
“มู่อวิ๋นจิ่น...”
“หุบปาก!” มู่อวิ๋นจิ่นะโลงด้านล่าง “สตรีผู้กล้า เ้ากล้ารบกวนองค์ชายหกตอนดื่มชาเยี่ยงนี้ เ้าไม่อยากมีชีวิตอยู่ต่อแล้วอย่างนั้นหรือ?”
เว่ยหานเฉี่ยวชะงักงันเมื่อนางได้ยินสิ่งนี้ ขาของนางก็สั่นอย่างช่วยไม่ได้ “องค์ชายหกอยู่ที่นี่เยี่ยงนั้นหรือ?”
ให้ตายเถอะ หงเซียนางหมารับใช้นั่นพูดเพียงว่ามู่อวิ๋นจิ่นอยู่ที่นี่ แต่ไม่ได้บอกว่าองค์ชายหกอยู่ที่นี่ด้วย นางนั่นตั้งใจหาเื่ให้ข้าอย่างนั้นหรือ?
แต่หลังจากคิดทบทวนเกี่ยวกับเื่นี้ เว่ยหานเฉี่ยวก็คิดได้ว่า ในเมื่อคุณหนูสี่เป็คนจัดแจงเื่นี้ นางจึงต้องมีความตั้งใจแน่ คุณหนูสี่น่าจะ้าใช้ประโยชน์จากการปรากฏตัวขององค์ชายหกเพื่อให้นางทวงขอความยุติธรรม
เมื่อนึกถึงได้ดังนั้น เว่ยหานเฉี่ยวก็ะโทันที...
“หม่อมฉันทูลขอให้องค์ชายหก ทรงเป็พยานให้หม่อมฉัน! มู่อวิ๋นจิ่นทำหลายสิ่งหลายอย่างขัดต่อกฎแห่ง์ ร้ายแรงจนไม่สามารถให้อภัยได้เพคะ!”