มู่จื่อหลิงตบหัวของตน ใช่ นางควรจะคิดเื่นี้ได้นานแล้ว ั้แ่ยามที่เห็นรถม้าที่สว่างไสวจนตาแทบบอดคันนี้ เขาคือคนแรกที่ควรนึกถึง อีกทั้งฝูหลินก็ยืนอยู่ข้างรถม้าด้วยความนอบน้อม
นอกจากฉีอ๋องแล้ว ผู้ใดจะกล้าอวดความมั่งคั่งของตนที่หน้าประตูวังหลวงได้อีก รถม้าที่แวววาวและงดงามเช่นนี้ มันหรูหรายิ่งกว่าพระที่นั่งของฮ่องเต้เสียอีก
นี่มันเกินไปแล้ว ฟุ่มเฟือยเกินไปแล้ว
แต่หลงเซี่ยวอวี่ซึ่งเป็ดังพระพุทธรูปองค์ใหญ่องค์หนึ่งเสด็จมาที่วังหลวงแต่เช้าตรู่ด้วยเหตุใด? ร่องรอยของความสงสัยแวบเข้ามาในดวงตาของมู่จื่อหลิง จากนั้นจึงเหลือบมองที่หลงเซี่ยวเจ๋อที่กำลังหดตัวลง
ก่อนที่มู่จื่อหลิงจะเดินไปด้วยก้าวเล็กๆ โดยไม่คิดอะไรมากอีก
ในยามนี้หลงเซี่ยวเจ๋อเป็เหมือนนกตื่นธนู [1] เขาเดินไปข้างหน้าอย่างช้าๆ ราวกับว่าเขาอยากจะใช้เวลาสักหนึ่งร้อยปีบนเส้นทางสายสั้นนี้
แม้แต่มู่จื่อหลิงซึ่งอยู่ข้างหลังเขา ก็ยังดูเหมือนจะติดเชื้อจากเขา นางก้าวย่างเล็กๆ ตามรอยเท้าของเขาไป
หลังจากเดินไปไม่กี่ก้าว มู่จื่อหลิงก็ตบหัวนางด้วยความรำคาญ สงสัยว่าสมองของนางจะเริ่มโง่เขลาอีกแล้วหรือ?
หลงเซี่ยวเจ๋อเด็กผู้โชคร้ายเดินช้ามากเพราะเขากลัวหลงเซี่ยวอวี่ แต่นางไม่ได้ทำอะไรเลวร้าย เหตุใดนางถึงต้องตามคนที่ขี้ขลาดอยู่เื้ัด้วย?
นอกจากนี้ แม้ว่านางจะทำสิ่งที่ไม่ดีจริงๆ ก็ไม่มีอะไรต้องกลัว! มู่จื่อหลิงมั่นใจในประสิทธิภาพที่ดีของการสร้างเื่ทางจิตวิทยาในใจของตน
เมื่อคิดได้เช่นนี้...
หลังจากนั้น มู่จื่อหลิงจึงเชิดคางขึ้นสูง และก้าวไปข้างหน้าอย่างยิ่งใหญ่ เดินผ่านร่างของหลงเซี่ยวเจ๋อไป จังหวะที่รวดเร็วนั้น ไม่จำเป็ต้องพูดเลยว่ามันเต็มไปด้วยความหยิ่งผยองมากเพียงใด
ในยามที่เดินผ่านไป ดวงตาของมู่จื่อหลิงก็กวาดไปทางหลงเซี่ยวเจ๋ออย่างแ่เบา พร้อมกับสายตาดูถูกเหยียดหยาม และมีประโยคที่ตรงไปตรงมามากในสายตาของนาง ดูเ้าสิ เ้าช่างดูสิ้นหวัง แต่ยังอยากกลับไปกับข้าอีก
ยามถูกมองด้วยสายตาสิ้นหวังของมู่จื่อหลิง หลงเซี่ยวเจ๋อก็สามารถรับรู้ถึงมันได้ เขามองไปทางมู่จื่อหลิงอย่างเศร้าสร้อย โดยหวังว่านางจะสามารถช่วยเขาได้ในภายหลัง
แต่น่าเสียดาย...มู่จื่อหลิงเชิดคางขึ้น ก่อนจะกางมือออกอย่างไร้ยางอาย เหลือไว้ให้เขาเพียงแค่แผ่นหลังที่หยิ่งทะนงและแน่วแน่
ฝูหลินสังเกตเห็นว่ามู่จื่อหลิงกำลังเข้ามาใกล้ เขากำลังจะหันไปทักทายนาง
แต่ในเวลานี้ ก็มีแสงสว่างพุ่งอย่างรวดเร็วดั่งดาวตกออกมาจากในรถม้า แสงนั้นส่องสว่างเพียงพริบตา พุ่งมาที่ร่างของฝูหลิน ก่อนจะหายวับไป
ในชั่วพริบตา ร่างกายของฝูหลินก็ถูกแช่แข็ง ดังนั้นเขาจึงทำได้เพียงก้มตัวลงอย่างนอบน้อม และไม่มีการเคลื่อนไหวใดๆ ในระหว่างนั้นเขาไม่มีโอกาสแม้แต่จะส่งเสียงด้วยซ้ำ
เดิมทีมู่จื่อหลิงก็แค่้าดูลวดลายของรถม้าคันหรูด้วยความอยากรู้อยากเห็น ก่อนจะเข้าไปทักทายแล้วจากไป
ผู้ใดจะไปรู้ เมื่อมองดูสิ่งนี้ นางถึงกับลืมทักทายไปเลย จึงไม่ต้องกล่าวถึงการจากไป
เมื่อเข้ามาใกล้ มองผ่านม่านหยกหลากสี มู่จื่อหลิงก็สามารถมองเห็นหลงเซี่ยวอวี่ที่กำลังเอนกายอย่างเกียจคร้านและสง่างามอยู่บนเบาะนั่งตัวนุ่มในรถได้อย่างชัดเจน
เห็นว่าเขาอยู่ในท่าเอนตัวเล็กน้อย มือข้างหนึ่งพยุงศีรษะของตนไว้ ผ้าไหมบางสีน้ำเงินวางพาดลดหลั่นลงมา อยู่ในท่วงท่าแสนงดงาม ให้ความสง่าและมีเกียรติ
ด้วยรูปร่างที่สูงและหล่อเหลา ท่าทางที่สง่างามและสูงส่ง ประกอบกับรูปร่างที่สมบูรณ์แบบไร้ที่ติ กิริยาของเขาแสดงออกถึงความเย่อหยิ่งโดยกำเนิดของราชวงศ์ และยังมีเสน่ห์ที่น่าดึงดูดใจเล็กน้อยที่ไม่อาจต้านทานได้
ในยามนี้ หลงเซี่ยวอวี่ที่อยู่ในรถม้า ดูเหมือนจะไม่เห็นคนที่กำลังหันหน้าเข้าหาม่านรถม้าอยู่ด้านนอก และเขาไม่ได้สังเกตด้วยซ้ำว่ามีสายตาเร่าร้อนกำลังจ้องมองเขาผ่านม่านรถม้า
มือที่เรียวยาวขาวนวลอีกข้างของเขากำลังถือจอกไว้ด้านข้างอย่างสง่างาม แกว่งไปแกว่งมาอย่างสบายๆ ทั้งยังก้มลงจิบเหล้าผูเถา [2] ในจอกเป็ครั้งคราว ท่าทางของเขาค่อนข้างผ่อนคลายและสบายใจ
เหล้าผูเถาสีแดงสดทำให้ริมฝีปากบางซีดของเขาย้อมด้วยสีชมพูจางแบบไม่ได้ตั้งใจ ทำให้ดูกระหายเืและมีเสน่ห์ในทันที เป็เสน่ห์อ่อนๆ ที่น่ามอง
เมื่อเห็นเช่นนี้ มู่จื่อหลิงจึงอดไม่ได้ที่จะสรรเสริญอีกครั้งในหัวใจของนางว่า เขาเป็ท่านอ๋องผู้อยู่ยงคงกระพันตามความคาดหวังของผู้เลื่อมใสอย่างแท้จริง เสน่ห์อันล้ำเลิศแผ่ออกมาไม่ขาดสาย ไม่อาจหาสิ่งใดมาเปรียบได้
นั่งสบายๆ อยู่ในรถม้าแสนหรูหรา เพลิดเพลินกับสุราที่ทำให้มึนเมาอย่างสบายอารมณ์ เป็การดีที่จะสนุกไปกับชีวิต
มู่จื่อหลิงผู้ซึ่งอวดอ้างว่าตนมีความต้านทานอย่างดีเยี่ยมและไม่เคยถูก ‘เสน่ห์’ อันน่าหลงใหลดึงดูด ในยามนี้กลับถูกดึงดูดด้วยภาพแสนงดงามและน่าหลงใหลที่อยู่ตรงหน้า
ในขณะที่มู่จื่อหลิงกำลังแอบชื่นชม หลงเซี่ยวอวี่ที่อยู่ในรถม้าก็มีรอยยิ้มจางๆ ส่งตรงมาจากแววตาเช่นกัน
น่าเสียดาย มู่จื่อหลิงดูเหมือนจะทึ่งกับเสน่ห์อันหาที่เปรียบมิได้ของฉีอ๋อง จึงเพียงจ้องมองท่วงท่าอันสง่างามอยู่ครู่หนึ่ง และไม่ได้สังเกตเห็นรอยยิ้มที่ส่องประกายอยู่ภายในดวงตาของเขาเลย
ด้วยเหตุนี้...มันจึงเป็ไปดังความตั้งใจของหลงเซี่ยวอวี่
ริมฝีปากสีแดงสดของเขากำลังยกบางๆ จนแทบมองไม่เห็น ราวกับม่านจูซาฮวา [3] ที่กำลังเบ่งบาน มันกำลังเติบโตพร้อมกับเสน่ห์ที่แฝงความกระหายเื
เขาค่อยๆ ยกจอกเหล้าผูเถาขึ้นมาแนบชิดจมูก สูดกลิ่นหอมของเหล้าผูเถาเบาๆ แล้วจิบเหล้าผูเถาลงไปเล็กน้อย ปล่อยให้น้ำเมาที่ละเอียดอ่อนและนุ่มนวลลื่นไหลไประหว่างริมฝีปากและฟันของตน
ราวกับไม่ได้ตั้งใจ เหล้าผูเถาเถาหง [4] ที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความเข้มข้นหยดหนึ่งค่อยๆ ไหลลงมาจากมุมปากของเขาที่ยกขึ้นเล็กน้อย...หยดน้ำสีแดงเข้มที่กลมราวไข่มุก กำลังเบ่งบานเหมือนดอกกุหลาบที่สดใส และรูปลักษณ์ของพวกมันก็ทำให้คนรู้สึกมึนเมา
การเคลื่อนไหวดังกล่าวไม่เพียงแต่ไม่มีความรู้สึกว่ามันไม่เข้ากันเท่านั้น แต่ท่าทีนี้ยังเผยให้เห็นถึงสายลมที่ทำให้คนลุ่มหลงที่แผ่ออกมาจากตัวเขา มันมีเสน่ห์อย่างยิ่ง และความมึนเมาที่แสนยั่วยวน ทำให้คนเกิดความสับสนจนลืมแม้กระทั่งการหายใจ
เมื่อเห็นภาพที่น่าดึงดูดใจเช่นนี้ ลำคอของมู่จื่อหลิงก็แห้งผากไปโดยไม่ได้ตั้งใจ ราวกับมีบางอย่างกำลังอัดแน่น นางกลืนน้ำลาย อดไม่ได้ที่จะสบถในใจ
เ้ามารยา มีเสน่ห์แพรวพราวเกินไปแล้ว
การกระทำเช่นนี้ เห็นได้ชัดว่าดูเหมือนจะเป็การจิบเหล้าผูเถาทั่วไป แต่เมื่อสัตว์ประหลาดตัวนี้ทำมัน เหตุใดจึงน่าดึงดูดได้ถึงเพียงนี้
ช่างน่าเหลือเชื่อ!
ไม่น่าแปลกใจเลยที่ทุกคนจะกล่าวถึงเสน่ห์ที่หาที่เปรียบมิได้ของฉีอ๋องซึ่งสามารถฆ่าได้ทั้งชายหญิง เด็ก และผู้ใหญ่!
คนโบราณไม่เคยหลอกข้าเลยจริงๆ [5]
การกระทำโดยไม่ได้ตั้งใจบางอย่าง ดูเหมือนจะมีจังหวะที่สามารถใช้ในการก่ออาชญากรรมด้วยการดึงดูดใจ
แค่ลองให้ผู้ทรงเสน่ห์ผู้ยิ่งใหญ่ผู้นี้ลงมาจาก์ชั้นเก้า [6] และทำลายใต้หล้า! ผู้ใดจะสามารถต้านทานได้กัน?
ในเวลาเดียวกัน หลงเซี่ยวเจ๋อได้ยอมจำนนต่อชะตากรรมของเขาและเดินมา แม้จะยอมจำนนต่อโชคชะตา แต่เขายังคงยืนระมัดระวังอยู่เื้ัมู่จื่อหลิง เพื่อรอรับความคุ้มครอง
เพราะเขาสูงกว่า สายตาที่ระมัดระวังของหลงเซี่ยวเจ๋อจึงถูกยกสูงขึ้นกว่าเล็กน้อย และได้กวาดตาไปเหนือศีรษะของมู่จื่อหลิง ก่อนจะเหลือบมองเข้าไปในรถม้าโดยไม่ได้ตั้งใจ
แม้ว่าจะกวาดมองผ่านอย่างรวดเร็วเพียงแวบเดียว แต่ก็เพียงพอที่จะทำให้หลงเซี่ยวเจ๋อตกตะลึง และมันก็เพียงพอแล้วที่จะล้มล้างหัวใจที่สับสนและหวาดกลัวในตอนแรกของเขา
์...โอ้ ์! เขามองผิดไปหรือไม่?
เหตุใดเขาถึงรู้สึกว่าพฤติกรรมการดื่มของพี่สามของเขาดูยั่วยวนใจผู้คน?
จริงๆ นะ...ช่างล่อตาล่อใจคนจริงๆ
ทันใดนั้น หลงเซี่ยวเจ๋อก็กลืนน้ำลายของตนลงโดยไม่ตั้งใจ แต่เขาก็ต้องใกับ ‘ความรู้สึก’ อันน่าทึ่งของตน
เห็นเพียงร่างกายของหลงเซี่ยวเจ๋อที่กำลังสั่นเทา สมองของเขากระตุก และหัวใจของเขาดูเหมือนจะยุ่งเหยิงไปหมด เขารู้สึกราวกับกำลังจะกระอักเืด้วยความรู้สึกอันน่าเหลือเชื่อนี้
ฉีอ๋องทรงยั่วยวนใจคน? เป็ไปไม่ได้!
นอกจากนี้ จะใช้คำว่า ‘ยั่วยวน’ เพื่ออธิบายพฤติกรรมของฉีอ๋องผู้แสนเ็าและเฉยเมย ทั้งยังปฏิเสธผู้คนให้ออกห่างไปหลายพันลี้ [7] ได้อย่างไร
แต่ในใจของหลงเซี่ยวเจ๋อมั่นใจจริงๆ ว่าเขาไม่ได้เข้าใจผิดไปอย่างแน่นอน...เป็ที่แน่นอนว่าพี่สามของเขากำลังยั่วยวนผู้คนจริงๆ!
ดังนั้นเพื่อยืนยันว่าเขามองไม่ผิด หลงเซี่ยวเจ๋อจึงขยี้ตาและมองอีกครั้ง...
อย่างไรก็ตาม คราวนี้หลงเซี่ยวเจ๋อได้พบกับสายตาที่เ็าและเยือกเย็นราวกับลมในฤดูใบไม้ร่วงของหลงเซี่ยวอวี่
เมื่อได้รับการชำเลืองมองเช่นนี้ หลงเซี่ยวเจ๋อจึงตัวสั่นสะท้านไปในทันที และแน่นอนว่า...เป็ไปตามที่คาดไว้นั้นคือเขาคิดผิด
คนอื่นไม่รู้จักพี่สามของเขา แต่เขาจะไม่รู้ได้อย่างไร หลงเซี่ยวเจ๋อไม่อยากจะเชื่อเลย หากฉีอ๋องยั่วยวนคนจริง เช่นนั้นดวงอาทิตย์คงขึ้นทางตะวันตกแล้ว [8]
แต่ท่วงท่าในการจิบเหล้าผูเถาอย่างเชื่องช้าของฉีอ๋องนั้น เป็การยั่วยวนคนจริงหรือไม่ มีเพียงตัวเขาเองเท่านั้นที่รู้
แม้ว่าในยามนี้หลงเซี่ยวเจ๋อจะยืนอยู่ข้างหลังมู่จื่อหลิง ร่างกายส่วนใหญ่ของเขาจึงถูกปกปิดไว้ แต่เขามั่นใจว่าหลงเซี่ยวอวี่จะต้องมองมาที่เขา
์รู้ดี สิ่งที่หลงเซี่ยวเจ๋อกลัวที่สุดคือหลงเซี่ยวอวี่มองเขาด้วยสายตาเช่นนั้น
เพราะเมื่อใดก็ตามที่หลงเซี่ยวอวี่มองเขาด้วยสายตาเช่นนี้ มันจะไม่มีเื่ดีเกิดขึ้น และเขาจะถูกลงโทษอย่างรุนแรง จนดูน่าสังเวช
จู่ๆ มู่จื่อหลิงก็กลับมารู้สึกตัวอีกครั้งในขณะที่สายตาสบเข้ากับหลงเซี่ยวอวี่ที่กำลังมองมา
ดูเหมือนว่าหลงเซี่ยวอวี่กำลังมองไปที่หลงเซี่ยวเจ๋อ ดังนั้น มู่จื่อหลิงจึงก้าวออกไปยืนอยู่ข้างๆ อย่างแเี และยืนนิ่งเฉยอย่างเชื่อฟังโดยไม่พูดอะไรสักคำ
ไม่รู้ว่ามันเริ่มต้นเมื่อใด เมื่อมู่จื่อหลิงได้พบกับฉีอ๋อง ทุกย่างก้าวของเขาล้วนมีเหตุมีผล และไม่จำเป็ต้องสนใจในเื่ของมารยาทต่อกันมานานแล้ว
ทันทีที่มู่จื่อหลิงก้าวออกไป หลงเซี่ยวเจ๋อเพียงรู้สึกว่าเกราะป้องกันบนร่างกายของเขาถูกนำออกไปแล้ว และอันตรายกำลังใกล้เข้ามา ทันใดนั้นใจของเขาก็เต้นแรง ก่อนจะหันไปหามู่จื่อหลิงอีกครั้งด้วยสายตาขอความช่วยเหลือ
โดยไม่คาดคิด คนด้านข้างกลับยกมือขึ้นโอบหน้าอกของตนอย่างสบายๆ ก่อนจะยักไหล่ด้วยความสงบ แสดงออกว่าตนไร้หนทางแล้ว ทั้งยังแสดงท่าทางเย้ยหยัน
มู่จื่อหลิงสงสัยมาตลอดว่า หลงเซี่ยวอวี่จะข่มเหงคนอย่างไร ถึงสามารถทำให้หลงเซี่ยวเจ๋อผู้แสนจะขี้เล่นกลัวถึงเพียงนี้
หลงเซี่ยวอวี่ชำเลืองมองมู่จื่อหลิง ที่กำลังเตรียมตัวชมการแสดงด้วยรอยยิ้มที่ไม่ใช่รอยยิ้ม มันมีความหมายที่แตกต่างฉายผ่านดวงตาของเขา ราวกับจะบอกว่าผู้หญิงโง่ๆ ยังทำท่าทางยินดีปรีดาในความโชคร้ายของผู้อื่นได้อีก อีกครู่จะถึงคราวเ้าที่ต้องร้องไห้คร่ำครวญ
น่าเสียดายที่ในยามนี้มู่จื่อหลิงมองดูท่าทางตลกๆ ของหลงเซี่ยวเจ๋อที่ทำราวกับหนูเห็นแมว ไม่ได้สังเกตริมฝีปากที่ยกขึ้นเล็กน้อยและคำพูดในดวงตาของหลงเซี่ยวอวี่เลย
หากนางรู้สักนิด เกรงว่านางจะพยายามหนีจาก่เวลานี้ให้มากที่สุด
คำวิงวอนขอความช่วยเหลือของหลงเซี่ยวเจ๋อไม่ประสบความสำเร็จ เขามองไปทางหลงเซี่ยวอวี่อย่างสั่นเทา
“พี่...พี่สาม อรุณสวัสดิ์!” หลงเซี่ยวเจ๋อยิ้มอย่างสั่นเทา เปิดปากกว้างจนเผยให้เห็นฟันขาวของเขา ก่อนแสยะยิ้มที่น่าเกลียดกว่าการร้องไห้ออกมา
“มานี่” หลงเซี่ยวอวี่ที่นั่งบนรถม้าลุกขึ้นอย่างเงียบๆ แล้วกวักมือเรียกหลงเซี่ยวเจ๋อ น้ำเสียงของเขาเ็าและเฉยเมย แต่เต็มไปด้วยพลังที่ไม่อาจปฏิเสธได้
เป็เวลาครู่หนึ่ง ที่มู่จื่อหลิงได้ยินเสียงฟันของหลงเซี่ยวเจ๋อที่กำลังสั่นเทาอยู่ข้างกายนาง
นางอดไม่ได้ที่จะกระตุกมุมปากของตน เงาในจิตใจจากการถูกทารุณกรรมของเด็กโง่หลงเซี่ยวเจ๋อผู้นี้มีมากมายเพียงใด ช่างน่าสงสารเสียนี่กระไร!
พูดตามตรง สิ่งที่หลงเซี่ยวเจ๋ออยากทำมากที่สุดในยามนี้คือเอาน้ำมันทาฝ่าเท้า [9] แล้วก้าวขาออกวิ่ง แต่เขาไม่สามารถช่วยตนเองได้ และเท้าของเขาก็ไม่อาจควบคุมได้เช่นกัน
ยิ่งไปกว่านั้น วิชาแมวสามขาของเขาจะสามารถวิ่งหนีได้หรือ? หากถูกจับได้ มันจะไม่ใช่เพียงแย่ที่สุดอย่างแน่นอน มีแต่จะยิ่งแย่ไปกว่านั้น
หลงเซี่ยวเจ๋ออยากจะร้องไห้โดยไม่มีน้ำตา เขาหนึ่งก้าวเลี้ยวสามก้าว [10] แล้วค่อยๆ เคลื่อนตัวไปหาหลงเซี่ยวอวี่ทีละก้าวทีละก้าว
สายตาที่ไม่สงบของหลงเซี่ยวอวี่จับจ้องไปที่หลงเซี่ยวเจ๋อ แล้วพูดเบาๆ ว่า “ยื่นมือออกมา”
ออกไปเพื่ออะไร?
---------------------------------------
เชิงอรรถ
[1] นกตื่นธนู (惊弓之鸟) เป็สำนวน มีความหมายว่า คนที่ใง่ายกับเื่ที่เคยได้รับความกระทบกระเทือนทางจิตใจมาก่อน
[2] เหล้าผูเถา (葡萄酒) คือชื่อเหล้าชนิดหนึ่ง เป็เหล้าองุ่นหรือไวน์
[3] ม่านจูซาฮวา (曼珠沙华) เป็คำเรียกที่มาจากตำนานเื่ดอกพลับพลึง (ดอกปี่อั้น 彼岸花) ตำนานที่ร่วมกันระหว่างจีนกับญี่ปุ่น ตามตำนานเล่าว่า ปกติต้นไม้หนึ่งต้น จะมีเทพารักษ์ได้องค์เดียว แต่ขณะนั้น เทพพิทักษ์ดอก ท่านม่านจู (曼珠) และเทพพิทักษ์ใบ ท่านซาฮวา (沙花) ต่างตกหลุมรักต้นไม้นี้และฝืนกฎ้าพิทักษ์ต้นไม้นี้ร่วมกัน ท่านเทพีแห่งดวงอาทิตย์ (天照大神) จึงได้แยกทั้งคู่ออกจากกัน และสาปห้ามไม่ให้ทั้งคู่พบกันอีก ดอกพลับพลึงแดงจึงเป็สัญลักษณ์ของการพรากจาก และเรียกอีกชื่อว่า ดอกไม้คนตาย
[4] เหล้าผูเถาเถาหง (桃红葡萄酒) เป็ชื่อเรียกไวน์โรเซ่หรือโรสไวน์ เป็ไวน์ที่มีสีชมพูอ่อนถึงสีชมพูเข้ม ดื่มง่าย กลิ่นหอมชวนหลงใหล มีรสชาติหวานละมุน
[5] คนโบราณไม่เคยหลอกข้า (古人诚不欺我) เป็วลี มีความหมายว่า คำโบราณกล่าวไว้ย่อมไม่มีผิดเพี้ยน หรือสิ่งที่คนเก่าคนแก่สอนสั่งมานั้นเชื่อถือได้เสมอ
[6] ์ชั้นเก้า (九重天上) เป็คำอุปมา มีความหมายว่าจักรพรรดิหรือราชสำนัก ด้วยคนโบราณเชื่อว่าท้องฟ้ามี 9 ชั้น และผู้ที่อยู่บน์ชั้นเก้าย่อมเป็ผู้ที่ยิ่งใหญ่ที่สุด
[7] ลี้ (里) เป็คำบอกระยะทาง โดย 1 ลี้ เท่ากับ 0.5 กิโลเมตร
[8] ดวงอาทิตย์คงขึ้นทางตะวันตก (太阳定会天天打西边出来) เป็วลี มีความหมายว่า เื่ที่เป็ไปไม่ได้
[9] เอาน้ำมันทาฝ่าเท้า (脚底抹上油) เป็คำอุปมา มีความหมายว่า หาหนทางเพื่อให้หลุดออกไปได้โดยเร็วที่สุด
[10] หนึ่งก้าวเลี้ยวสามก้าว (一步三回头) เป็วลี มีความหมายว่า ไม่เต็มใจอย่างยิ่ง หรือเป็การแสดงความรู้สึกไม่เต็มใจที่จะแยกจากกันโดยใช้การพูดเกินจริง
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้