เมื่อเซี่ยเสี่ยวหลาน้าขอร้องใคร ย่อมไม่มาด้วยมือเปล่า
เธอมิใช่คนประเภทถึงเวลาค่อยสานสัมพันธ์กับผู้อื่น อันที่จริงเธอไม่ได้ตั้งใจตัดขาดกับหูหย่งไฉ เพียงแต่่นี้คนส่งสินค้าเป็หลิวเฟิน
“ใช่ค่ะ ฉันเรียนหนังสือแล้ว แต่โรงเรียนเห็นด้วยกับการให้ฉันเข้าร่วมการสอบโดยตรง พี่หูก็รู้ฐานะของครอบครัวฉันดี จะวางมือก็ไม่กล้า จึงอยากทำการค้าขายเล็กน้อยในเมืองต่อไปก่อน”
ไม่มีใครรังเกียจคนหนุ่มสาวที่รู้จักพัฒนาตนเอง ต่อให้เซี่ยเสี่ยวหลานไม่มีความเกี่ยวข้องกับเขา แต่เพราะทั้งสองคบค้าสมาคมกันมานานพอสมควร เมื่อเห็นเซี่ยเสี่ยวหลานมีอนาคตที่ดี หูหย่งไฉย่อมดีใจแทนเธออยู่แล้ว
“มีโอกาสต้องคว้าเอาไว้ให้มั่น เธอมีคุณสมบัติที่ดีมากมาั้แ่เกิด หากสอบเข้ามหาวิทยาลัยได้อีก เช่นนั้นก็สุดยอดไปเลย!”
จูฟ่างชื่นชอบเซี่ยเสี่ยวหลาน แต่ในครอบครัวจูฟ่างไม่มีใครยอมรับ
ถ้าเพียงเพราะรังเกียจเซี่ยเสี่ยวหลานที่มีภูมิลำเนาชนบท ครอบครัวจะช่วยเหลือไม่ได้เชียวหรือ หากเซี่ยเสี่ยวหลานสอบติดมหาวิทยาลัยจริง ชนิดทะเบียนบ้านของเธอก็สามารถเปลี่ยนแปลงได้ ประเทศก็จะจัดสรรอาชีพที่ดีให้ ถึงเวลาเธออาจจะไม่ชายตาแลจูฟ่างแล้ว!
เซี่ยเสี่ยวหลานไม่ขอให้เขาช่วยเหลือ แค่ถามไถ่หูหย่งไฉว่ารู้จักคนที่ปล่อยให้เช่าบ้านบ้างหรือไม่
“เช่าบ้านหรือ? เธอมีเงื่อนไขอะไรไหม?”
“ขอแค่ปลอดภัยหน่อย ห้องเดี่ยวก็ได้ เ้าของบ้านเป็ผู้หญิงจะดีที่สุดค่ะ”
หูหย่งไฉสัญญาว่าจะช่วยสอบถามเื่นี้ให้เร็วที่สุด เซี่ยเสี่ยวหลานได้กำชับเขาไว้อีกเื่ “คุณแม่ของจูฟ่างเข้าใจฉันผิดนิดหน่อย เธอไม่ค่อยชอบให้ฉันและจูฟ่างติดต่อกันมากนัก เื่ฉันจะเช่าห้องในซางตู พี่...”
หูหย่งไฉเข้าใจทันที “มีแค่ฉันคนเดียวที่รู้แน่นอน”
เซี่ยเสี่ยวหลานดีใจมาก เดิมเธอจะนำเสื้อไหมพรมกลับไปให้หลี่เฟิ่งเหมยและหลิวเฟิน แต่กลับมอบให้แก่หูหย่งไฉตัวหนึ่งทันที “ตอนนี้ฉันทำธุรกิจนี่ เสื้อตัวนี้สำหรับพี่สะใภ้! พวกไม้แขวนเสื้อของฉันขอวางพักไว้ตรงนี้ชั่วคราวได้ไหมคะ?”
หูหย่งไฉชะงักพร้อมกับทำทีจะควักเงิน เซี่ยเสี่ยวหลานกลับโบกมือลาวิ่งไปไกลแล้ว
หูหย่งไฉหลุดหัวเราะออกมา
เขานั้นคิดเล็กคิดน้อย นึกว่าเซี่ยเสี่ยวหลานจะบังคับขายเสื้อผ้าแก่เขาเสียอีก เซี่ยเสี่ยวหลานเป็คนใจกว้างมาโดยตลอด ด้วยลักษณะนี้ หูหย่งไฉคิดว่าอนาคตของหญิงสาวคงไม่ย่ำแย่นัก
เซี่ยเสี่ยวหลานฝากไม้แขวนเสื้อและรถเข็นรวมถึงสิ่งของอื่นๆ ไว้กับหูหย่งไฉ
บ้านพักรับรองคณะกรรมการประจำเมืองใหญ่โตถึงเพียงนั้น หามุมตามที่้าได้ก็ล้วนเก็บไว้ได้ทุกที่ อีกทั้งหูหย่งไฉก็มีอำนาจในด้านนี้ หลังจากเบากายสบายตัว เซี่ยเสี่ยวหลานก็เก็บเงินขายสินค้าของเธอในวันนี้และนั่งรถรับส่งกลับเขตอันชิ่ง ตลอดเส้นทางจากอันชิ่งถึงหมู่บ้านชีจิ่งไม่มีรถผ่าน โชคดีที่มีรถแทรกเตอร์คันหนึ่งขับผ่านมาให้เธอติดรถไปด้วย
เพราะจู่ๆ เซี่ยเสี่ยวหลานก็ปรากฏตัวที่ประตูบ้าน หลี่เฟิ่งเหมยและหลิวเฟินจึงรู้สึกใ เทาเทากอดขาเธอไว้ไม่ยอมปล่อย น้องชายตัวน้อยไม่เจอเธอหลายวัน เขารู้สึกคิดถึงเธอเป็อย่างมาก
“เด็กคนนี้นี่ ไปไกลทั้งทีก็ไม่ส่งข่าวมาเสียตั้งหลายวัน!”
“ราบรื่นไหม?”
“รีบมาพักก่อน นี่ยังไม่ได้กินข้าวสินะ?”
หลี่เฟิ่งเหมยถามอย่างตรงไปตรงมา หลิวเฟินได้แต่ทำงานไม่พูดไม่จา บิดผ้าขนหนูและยื่นน้ำให้เซี่ยเสี่ยวหลาน
พอกลับบ้านเซี่ยเสี่ยวหลานถึงรู้สึกได้ว่าเหนื่อยล้า หลี่เฟิ่งเหมยต้มบะหมี่ให้เธอหนึ่งชามใหญ่ เซี่ยเสี่ยวหลานทานทั้งน้ำซุปและบะหมี่จนหมดเกลี้ยง
เธอรู้สึกได้ว่าร่างกายกลับมามีพลังอีกครั้ง ไม่มีใครถามเธอว่าทำเงินได้หรือไม่ ทั้งที่พูดว่าไปรับซื้อสินค้า แต่ทำไมถึงกลับมามือเปล่าล่ะ?
ไม่สิ เซี่ยเสี่ยวหลานยังมีเสื้อไหมพรมติดมาด้วยตัวหนึ่ง
“สินค้าถึงกับขายไม่พอ ตอนแรกฉันเอาเสื้อไหมพรมมาให้ป้าและแม่สองตัว แต่ตอนนี้เหลือแค่ตัวนี้ตัวเดียวแล้ว”
เซี่ยเสี่ยวหลานส่งเสื้อไหมพรมให้หลี่เฟิ่งเหมย หลิวเฟินไม่มีความคิดเห็นใด ระหว่างคนเรามีระยะห่างของความสนิมสนม ในสถานการณ์เช่นนี้คนสำคัญต้องเป็หลี่เฟิ่งเหมย หลี่เฟิ่งเหมยมองเสื้อตัวนั้น เธอชื่นชอบทีเดียว ทว่าไม่ยอมรับไว้
“หลานเล่ามาก่อนว่าธุรกิจเป็อย่างไรบ้าง? ของที่ไปรับซื้อจากหยางเฉิงขายออกไปหมดแล้วอย่างนั้นหรือ?”
เซี่ยเสี่ยวหลานพยักหน้ารับ
“เทาเทา ไปปิดประตู”
ในบ้านมีแค่คนกันเอง เซี่ยเสี่ยวหลานล้วงเงินออกมาจากกระเป๋าทั้งหมดในคราเดียว
ธนบัตรหลากชนิดดูแล้วมีจำนวนไม่น้อย เสื้อไหมพรมหนึ่งตัวทำกำไรได้อย่างต่ำ 20 หยวนขึ้นไป ส่วนกางเกงได้น้อยกว่าด้วยกำไรเพียง 15 หยวน แต่เสื้อคลุมกันหนาวนั้นนำกำไรมาให้เซี่ยเสี่ยวหลานมากกว่า 300 หยวน อย่างไรก็ตามเธอพกเงิน 900 หยวนไปหยางเฉิง หักค่าใช้จ่ายต่างๆ และรับซื้อสินค้าจำนวน 800 หยวน เมื่อคำนวณเงินบนโต๊ะจนชัดเจน ก็พบว่ามีเงินอยู่ 1875 หยวน
“ได้จากรอบนี้ทั้งหมดหรือ?!”
“ค่ะ ทั้งต้นทุนรวมกำไรอยู่ในนี้แล้ว”
เซี่ยเสี่ยวหลานรู้จักความเหมาะสม จึงไม่ใส่ใจกำไรของเสื้อไหมพรมสองตัวที่นำติดมือกลับมา
ไปหยางเฉิงรอบหนึ่งทำเงินได้ถึงเพียงนี้ สายตาของเธอ ความบ้าดีเดือดของเธอ เป็เงื่อนไขเบื้องต้นของการสะสมต้นทุนได้อย่างรวดเร็ว หากเปลี่ยนเป็คนอื่นไปนำเข้าสินค้าจากหยางเฉิง อย่าว่าแต่ทำเงินได้มากขนาดนี้ ไม่สูญเสียทั้งคนและของก็ถือว่าโชคดีแล้ว
เดินทางหนึ่งรอบรวมกับการขายสินค้า ก็นับเป็หนึ่งสัปดาห์พอดี หนึ่งเดือนเซี่ยเสี่ยวหลานสามารถเดินทางได้สี่รอบ
ต้นทุน 900 หยวนเพิ่มพูนได้ถึงหนึ่งเท่าตัว หากคราวหน้านำเข้าสินค้าสัก 1800 หยวนเล่า?
การปฏิบัติตนเป็กลุ่มกองโจรระยะยาวนั้นไม่ใช่วิธีที่ดี เซี่ยเสี่ยวหลานตั้งใจเปิดหน้าร้านในซางตูสักแห่งมากกว่า เธอเพียงแต่ต้องจับช่องทางการนำเข้าสินค้าให้มั่น ในร้านก็สามารถจ้างคนคอยดูแลได้
“ป้า พวกเรามาเป็หุ้นส่วนกันดีไหมคะ?”
เซี่ยเสี่ยวหลานแบ่งเงินออกเป็สองส่วน หลี่เฟิ่งเหมยให้เธอยืมเงินจำนวน 300 หยวน เธอไม่เพียงนำส่วนนี้คืนกลับไป ทั้งยังแบ่งหนึ่งในสามของกำไรให้รวมเป็เงิน 625 หยวน เวลาไม่กี่วัน 300 หยวนก็เพิ่มเป็เท่าตัวในชั่วพริบตา สิ่งนี้โจมตีจิตใจของหลี่เฟิ่งเหมยได้รุนแรงเหลือเกิน!
เมื่อต้องเผชิญหน้ากับความมั่งคั่งที่ได้รับมาอย่างง่ายดาย จะมีสักกี่คนที่ไม่ใจเต้นกัน?
หลี่เฟิ่งเหมยสนใจอยู่เล็กน้อย แต่ครอบครัวนี้การตัดสินไม่ได้อยู่ที่เธอเพียงคนเดียว ร่วมหุ้นลงทุนใดๆ เป็การเอาเปรียบเซี่ยเสี่ยวหลานอย่างชัดเจน สามีของเธออย่างหลิวหย่งจะยินยอมหรือ?
เมื่อก่อนเคยพบเจอกับการแต่งงานที่ล้มเหลวมาครั้งหนึ่ง หลี่เฟิ่งเหมยหวงแหนชีวิตในตอนนี้เป็อย่างมาก เพื่อความมั่นคงของครอบครัว หลี่เฟิ่งเหมยจึงยืนกรานส่ายศีรษะปฏิเสธ
“เงินน่ะหลานเก็บไว้ใช้ก่อนเถิด ลงทุนหรือไม่ป้าว่าตามลุงของหลาน”
ลุงหรือ?
ไม่รู้ว่าจะได้ข่าวคราวของหลิวหย่งเมื่อไรกัน
หลี่เฟิ่งเหมยจึงให้เซี่ยเสี่ยวหลานเก็บเงินไว้ และย้ำเตือนเทาเทาทุกทางว่าห้ามเอาเื่นี้ออกไปพูดเรื่อยเปื่อยเด็ดขาด
“ถ้าลูกกล้าพูดจาโอ้อวดกับคนอื่นข้างนอก คอยดูแม่จะตีก้นลูกให้ลายเชียว!”
เทาเทากุมก้นหลบมารดาของเขา
เขาไม่ได้โง่เสียหน่อย เงินที่พี่เสี่ยวหลานหามาได้เขาจะบอกคนอื่นทำไม แต่ไหนแต่ไรขนมทั้งหมดล้วนเป็เขาที่รับประทานเอง หากบอกคนอื่น ไม่ใช่ว่าขนมจะต้องถูกแบ่งไปหรือ?!
--------------------
ในโรงพยาบาลแห่งหนึ่งของเซี่ยงไฮ้ กระดูกสันหลังแห่งตระกูลหลิวลืมตาโพลง
เขาและโจวเฉิงจ้องหน้ากันอยู่นานสองนานโดยไม่รู้ว่าต้องทำอย่างไรดี หลิวหย่งคอแห้งจนไอออกมา โจวเฉิงป้อนน้ำเขาด้วยความเอาใจใส่
เห็นการกระทำของคนๆ นี้ ไม่เหมือนคนที่ปรนนิบัติผู้อื่นเป็ แต่กิริยามารยาทของโจวเฉิงสามารถให้ร้อยคะแนนเต็มได้
“คุณลุง หมอบอกว่าถ้าลุงไข้ลดแล้ว อีกสักสองวันก็ออกจากโรงพยาบาลได้ และโชคดีที่ตอนนี้ไม่ใช่ฤดูร้อน าแจึงติดเชื้อไม่รุนแรง...”
“โจวเฉิง เธอฟังที่ฉันพูดนะ”
หลิวหย่งพูดแทรกขึ้นมา
“ความรู้สึกของเธอต่อเสี่ยวหลานนั้นฉันรู้ดี แต่การทำงานแบบพวกเรานี้ถึงจะทำเงินได้ไม่น้อย ทว่าเสี่ยงอันตรายมากเช่นกัน! พูดถึงแค่ครั้งนี้ ถ้าฉันไม่ได้เธอช่วยชีวิตไว้ คงตายอยู่กลางทางไม่มีใครรู้ ถูกหรือไม่? ฉันมีหลานสาวเสี่ยวหลานเพียงคนเดียว ไม่อยากให้เธอติดตามนายไปใช้ชีวิตที่อกสั่นขวัญแขวน ถึงเธอจะเคยช่วยเสี่ยวหลาน และเคยช่วยฉันไว้ แต่ที่พวกเราติดค้างนายคือชีวิตไม่ใช่คน [1] ...”
โจวเฉิงรอหลิวหย่งกล่าวจนจบด้วยความสงบนิ่ง
หลิวหย่งวาจาเต็มไปด้วยน้ำใสใจจริง ราวกับไม่สามารถกระทบอารมณ์ของโจวเฉิงได้เลยแม้แต่น้อย หลิวหย่งรู้สึกกระวนกระวาย จึงพยายามลุกขึ้นนั่งจากที่นอนราบอยู่ เมื่อขยับก็รู้สึกเ็ปไปถึงาแบริเวณกลางหลัง เจ็บเสียจนหลิวหย่งมีใบหน้าเหยเก
โจวเฉิงรีบเร่งพาหลิวหย่งกลับไปนอนบนเตียง “คุณลุง คุณอย่าตื่นตระหนกไป ความตั้งใจของลุงผมเข้าใจ แต่ลุงก็ต้องฟังผมอธิบายเสียหน่อยสิ? ผมไม่ได้ลักลอบขนของเถื่อน เพียงแต่ว่างอยู่บ้านระยะหนึ่ง จึงมาช่วยงานคังเหว่ย... เห็นสายตาแบบนี้ของลุง ผมจึงอยากอธิบายว่าที่ผมและคังเหว่ยทำไม่ใช่การค้าของเถื่อนแน่นอน”
ใบหน้าของหลิวหย่งบ่งบอกวาเขาไม่เชื่อสักนิด
เขามั่นใจว่าโจวเฉิงเป็เพื่อนร่วมวงการของตน อีกทั้งยังเป็หัวหน้ากลุ่มลักลอบขนของเถื่อน เคยคร่าชีวิตคนและเห็นเืเนื้อมาก่อน!
“คุณลุง ผมไม่ใช่คนลักลอบขนของเถื่อน ผมทำงานอยู่ในหน่วยงานลับ”
นี่เธอกำลังหลอกผีอยู่หรือ คิดว่าเขาจะเชื่อสินะ?!
เชิงอรรถ
[1] หลิวหย่ง้าสื่อว่าโจวเฉิงเคยช่วยชีวิตของตนและหลานสาวไว้ ถือเป็การติดหนี้บุญคุณด้วยชีวิต แต่ไม่ได้ติดค้างคน เพราะไม่อาจชดใช้ด้วยการยกเซี่ยเสี่ยวหลานให้โจวเฉิงได้