เหอตังกุยรู้สึกเย็นเฉียบที่หน้าอกเพราะชาเย็นที่เพิ่งดื่ม จึงหยิบชาที่แม่นางจียกมาให้ทันที หลังเอ่ยขอบคุณด้วยรอยยิ้มก็ดื่มอย่างมีความสุขราวไม่รู้สถานการณ์ปัจจุบัน
เหล่าไท่ไท่และหยางมามามองหน้ากันก่อนถอนหายใจ พวกนางต่างคิดว่าเหอตังกุยถือว่าตนเป็ผู้มีพระคุณใหญ่หลวงเพราะช่วยชีวิตคุณชายจู คล้ายนางตั้งใจรอมารดาคุณชายจูกล่าวขอบคุณ เฮ้อ ช่างโง่เสียจริง ครานี้เหอตังกุยต้องรับผิดอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เพราะพวกนางไม่มีทางเลือก วิธีนี้ดีที่สุดสำหรับตระกูลหลัวแล้ว จากนั้นทั้งคู่ก็ส่ายหัวแล้วแสร้งเพิกเฉยต่อความรู้สึกยากจะอดทนเหล่านี้
ขณะนี้หลัวไป๋เส่าหมดความสนใจจะแก้แค้นแทนลูกชายของต่งซื่อเสียแล้ว นางเดินวนรอบพลางจ้องใบหน้าเหอตังกุยด้วยความตื่นเต้น ก่อนเอื้อมมือััแล้วเอ่ยถามอย่างมีความสุข “พี่สาม เหตุใดใบหน้าของเ้ากลายเป็เช่นนี้? เ้าเคยบอกว่าผิวของเ้าพิเศษ แม้ตากแดดก็ไม่ดำไม่ใช่หรือ?”
เมื่อเห็นเหอตังกุยจะอ้าปากตอบ เหล่าไท่ไท่จึงรีบเอ่ยแทรก “เสียวเส่า พี่สามของเ้าเหนื่อยจากการเดินทาง ค่อยคุยเื่จิปาถะวันอื่นดีกว่ากระมัง มามาในวังจะมาสอนบทเรียนมารยาทให้เ้าในอีกไม่กี่วัน เ้าควรกลับไปเตรียมพร้อม ช่างทำให้คนอื่นกังวลอยู่เรื่อย” เหล่าไท่ไท่กล่าวตำหนิจริงจังจนหลัวไป๋เส่าพูดไม่ออกชั่วขณะ
หยางมามาถอนหายใจในใจ...เหตุใดใบหน้ากลายเป็สีเหลืองกระนั้นหรือ? เื่นี้คงพูดไม่ได้…
แต่ไหนแต่ไรต่งซื่อไม่เคยเห็นเหล่าไท่ไท่ตำหนิหลานสาวแท้ ๆ ทั้งสอง แต่เหตุการณ์ตรงหน้ากลับทำให้นางอดสงสัยไม่ได้
เมื่อต่งซื่อได้ยินหยางมามาบอกว่า “ไปรับผู้มีพระคุณใหญ่หลวงของตระกูลกลับมา” ก็ไม่พอใจยิ่งนัก เหอตังกุยจะเป็ผู้มีพระคุณใหญ่หลวงต่อตระกูลได้อย่างไร? นางเป็เพียงเด็กสาวอาศัยในตระกูลหลัวครึ่งปีเท่านั้น ทั้งยังมักใช้สายตายั่วยวนหลัวไป๋เฉียนเป็ประจำ หลัวไป๋เฉียนจึงออกหน้าพูดแทนนางบ่อยครั้ง เฮอะ ลูกพี่ลูกน้องเล่นหูเล่นตากัน คิดว่าตนไร้ลมหายใจแล้วหรืออย่างไร
ความจริงแล้วต่งซื่อรู้ว่าคุณชายเว่ยนำหนูไปทิ้งที่ห้องครัวเรือนซีคั่วั้แ่เมื่อครึ่งปีก่อน
นางไม่เห็นด้วยที่ลูกชายเล่นสิ่งเ่าั้แต่ก็ไม่สามารถห้ามได้ นอกจากต่งซื่อจะมีหน้าที่ดูแลลูกก็ยังต้องจำ “บันทึกเื่ราวขบขัน” นำไปเล่าให้เหล่าไท่ไท่ฟัง ทั้งยังยุ่งกับการหาเหตุผลเพื่อแบ่งอำนาจดูแลจวนจากเอ้อร์ไท่ไท่ ขณะนั้นคุณชายเว่ยร้องห่มร้องไห้เสียงดังด้วย้าปกป้องรังหนูจนทำให้นางปวดหัว ต่งซื่อจึงปล่อยให้ลูกชายเลี้ยงพวกมันนอกเรือนหลิวหลี่เพื่อตัดความรำคาญ ต่อมาเมื่อต่งซื่อรู้ว่าลูกชายเลี้ยงหนูไว้ในเรือนของเหอตังกุยก็สบายใจยิ่งนัก นางดีใจที่ลูกชายรู้วิธีช่วยกำจัดศัตรูหัวใจ ช่างกตัญญูเสียจริง คิดไม่ถึงว่าหนูพวกนั้นจะตั้งรกรากในเรือนของศัตรูหัวใจ ทั้งยังแพร่กระจายอย่างรวดเร็ว ท้ายที่สุดพวกมันก็กลับมายังที่ที่เคยอยู่ จนทำให้ลูกชายอีกคนของนางเกือบตาย ช่างน่าเศร้าใจนักแต่นางกลับไม่สามารถแสดงความเ็ปให้คนอื่นเห็นได้
ต่งซื่อไม่ยอมรับผลที่ตามมาจึง้ามาที่นี่เพื่อโยนความผิดให้เหอตังกุยและระบายความเดือดดาลของตน เมื่อคิดถึงความเกลียดชังและการถูกทำร้ายจากหลัวไป๋เฉียน เมื่อคิดถึงตอนลูกชายเพิ่งฟื้นทว่าเขากลับหายไปไม่เห็นแม้แต่เงา เมื่อคิดถึงตัวเองในฐานะหลานสะใภ้คนโตที่ไม่สามารถควบคุมดูแลตระกูลหลัวได้ในระยะเวลาสี่ปีที่ผ่านมา แม้แต่จะเก็บเงินก็ยังทำไม่ได้ สี่ปีมานี้นางให้กำเนิดลูกสามคนแก่ตระกูลหลัว ลูกทุกคนต่างมีใบหน้างดงามหล่อเหลา นางจึงรู้สึกว่าทุกคนในตระกูลหลัวล้วนเป็หนี้นาง
คนที่อ่อนแอที่สุดในตระกูลหลัวคือเหอตังกุย ทุกคนต่างรู้ว่าเด็กสาวผู้นี้เปรียบเสมือนกระต่ายขาวตัวน้อยแสนอ่อนแอ ไม่ว่าใครก็รังแกได้ แม้แต่เสียงร้องขัดขืนยังไม่มี ขณะนี้ต่งซื่อเดือดดาลยิ่งนักแต่กลับหาที่ระบายไม่ได้ หากนางไม่เฆี่ยนเด็กสาวผู้นี้สักสิบไม้ก็คงยากจะกลืนอาหารลง นึกได้ดังนั้นจึงร้องไห้พร้ะโกนเสียงดัง “เหล่าจูจง ท่านอาจยังไม่รู้ ตอนเช้าหลังคุณชายจูตาย หลัวไป๋เฉียนก็ลงมือตบตีข้าประหนึ่งไร้ความเป็คนจนข้ามีแผลทั่วตัว...ฮือ ๆ เขายังซ่อนจดหมายที่เหอตังกุยเขียน ให้ตายอย่างไรก็ไม่ยอมให้ข้าดู ทั้งยังพูดแปลกประหลาด… เหล่าจูจง ตอนนี้เหอตังกุยก็อยู่ที่นี่ ท่านควรถามนางว่าความลับที่เขียนในจดหมายส่งให้หลัวไป๋เฉียนคือสิ่งใด?”
ดวงตาของเหอตังกุยเบิกกว้างราวกับ้าอธิบายบางอย่าง ทว่าเหล่าไท่ไท่กลับใจนรีบตำหนิต่งซื่อเพื่อขัดจังหวะทันที “เ้าพูดเื่เหลวไหลอันใด เสี่ยวอี้เป็สตรีเด็กที่ยังมิออกเรือน เหตุใดจึงพูดกับนางเช่นนี้ เสี่ยวอี้ไม่เพียงมีความสุขกับการเรียนรู้และการเขียนหนังสือ แต่นางยังดีใจที่ได้เขียนจดหมายถามไถ่ความเป็อยู่ของพวกเ้า เมื่อข้าอ่านก็คิดว่ายังพออ่านรู้เื่จึงให้เนี่ยชุนส่งจดหมายฉบับนั้นให้คุณชายเฉียนตรวจ เ้าเป็พี่สะใภ้แท้ ๆ เหตุใดจึงเรียกน้องสามเช่นนั้น เหมาะสมแล้วหรือ ตระกูลต่งสั่งสอนให้เ้าเรียกคนอื่นเช่นนี้หรืออย่างไร?”
หลังถูกตำหนิ ต่งซื่อและหลัวไป๋เส่าต่างประหลาดใจนัก ต่งซื่อมักเรียกเหอตังกุยว่า “นี่” “เ้า” หรือชื่อเต็มของนาง ลับหลังก็มักเรียก “นาง” “คนผู้นั้น” หรือไม่ก็ชื่อเต็ม ต่อหน้าเหล่าไท่ไท่ก็มักจะเรียกเช่นนี้ ครึ่งปีที่ผ่านมาเหล่าไท่ไท่ไม่เคยตำหนิแม้แต่คำเดียว ทว่าตอนนี้สายฝนคงเปลี่ยนเป็สีแดงแล้วกระมัง หรือเหล่าไท่ไท่จะเลอะเลือน เหตุใดจึงเข้าข้างเหอตังกุยทุกคำพูดจนถึงขั้นตำหนิพวกนางต่อหน้าธารกำนัล ต่งซื่อและหลัวไป๋เส่าจึงสงบปากสงบคำด้วยความใ
หยางมามาถอนหายใจในใจ... เนื้อหาในจดหมายเขียนว่าอย่างไรหรือ? เื่นี้ก็ไม่สามารถบอกได้เช่นกัน
ความประหลาดใจยังฉายชัดบนใบหน้าเหอตังกุย นางหันมองรอบด้าน ดวงตาพลันเบิกกว้างทันที ก่อนยกมือปิดปากแล้วร้องะโ “โอ้ เื่ใหญ่แล้ว เกรงว่าครอบครัวของพวกเราจะเกิดหายนะในไม่ช้า”
เหล่าไท่ไท่ได้ยินดังนั้นก็ดีดตัวลุกขึ้นทันที ผ้าผืนบางหล่นลงพื้น นางรีบเอ่ยถาม “หายนะอันใด? เสี่ยวอี้ เ้าได้ยินจากเซียนผู้เฒ่าใช่หรือไม่?”
เหงื่อบนหน้าผากของเหอตังกุยแตกพลั่ก หรือตอนนี้นางจะกลายเป็เทพเหมือนไป๋หยางไป่เสียแล้ว ไม่ว่าจะพูดอะไร เหล่าไท่ไท่ก็เชื่อทันที
ต่งซื่อและหลัวไป๋เส่าทั้งใและเดือดดาล เมื่อครู่ตนเพียงเอ่ยถามสารทุกข์สุกดิบเหอตังกุยไม่กี่คำเท่านั้น เช่น “เหตุใดใบหน้าเปลี่ยนเป็สีเหลือง” “เขียนอะไรในจดหมายที่ส่งให้หลัวไป๋เฉียน” พวกนางยังไม่ได้รังแกเหอตังกุยอย่างเป็ทางการด้วยซ้ำ แต่กลับถูกเหล่าไท่ไท่ตำหนิเป็การใหญ่ ในขณะที่เหอตังกุยพูดเกี่ยวกับ “หายนะที่จะเกิดในไม่ช้า” คล้ายเป็คำพูดสาปแช่งและอัปมงคล ทว่าเหล่าไท่ไท่ไม่เพียงไม่ตำหนิ ซ้ำยังถือว่าคำพูดของนางเป็ราชโองการของฮ่องเต้ก็ไม่ปาน
ต่งซื่อเดือดดาลจนแทบกัดลิ้นตัวเองขาด ตนไม่ได้รับความเป็ธรรมมากมาย ท่านป้าสามก็เอาแต่ไล่นางโดยอ้างว่าปวดหัว เดิมทีนางคิดจะระบายความอัดอั้นกับเหล่าไท่ไท่ที่นี่ พร้อมระบายความโกรธแค้นต่อกระต่ายน้อยเหอตังกุย แต่ใครจะรู้ว่าเหล่าไท่ไท่จะช่วยออกหน้าพูดแทนคนนอกเช่นเหอตังกุย ทั้งยังตำหนิตนว่าที่บ้านไม่สั่งสอน ์ช่างไม่ยุติธรรมเสียเลย เหล่าไท่ไท่ลำเอียงยิ่งนัก ตนก็เป็ลูกสาวชอบธรรมของตระกูลต่งที่ร่ำรวย แต่เหอตังกุยเป็เพียงลูกสาวนอกสมรส เหตุใดต้องเรียกนางว่า “น้องสาม” ทุกครั้งที่ได้ยินหลัวไป๋เฉียนเรียกเช่นนั้น ไฟโทสะก็ลุกโชนจนแทบทะลุออกมา
เหอตังกุยกลอกตาราวกวางน้อยขี้ใ ก่อนเอ่ยตอบเสียงแ่เบา “ก่อนหน้านี้ข้าเคยเอ่ยถึงเซียน...ชายชราหนุ่ม”
ชายชราหนุ่ม? คือเซียนผู้เฒ่าที่กลับมาอ่อนเยาว์ผู้นั้น เหล่าไท่ไท่และหยางมามาเอ่ยชมในใจ นางเฉลียวฉลาดเสียจริง ทั้งที่ไม่ได้เอ่ยกำชับแต่นางก็รู้ว่าควรหรือไม่ควรพูดอะไร หยางมามาจึงเอ่ยถามด้วยคำถามคลุมเครือ “หรือเป็เพราะ “ข้อปฏิบัติ” ปิดประตูขอบคุณแขกของคนผู้นั้นถูกทำลายแล้ว?”
เหอตังกุยพยักหน้าจริงจัง “ใช่เ้าค่ะ ชายชราผู้นั้นบอกว่าต้อง “ปฏิบัติตามกฎ” อย่างน้อยสองวัน แน่นอนว่าหากอยู่ที่นี่อีกสองสามวันก็จะปลอดภัยมากขึ้น แต่คิดไม่ถึงว่าวันแรกก็...เฮ้อ”
เหล่าไท่ไท่เอ่ยถามจริงจัง “จะมีหายนะตามมาอย่างไรหรือ? มีทางแก้ไขหรือไม่?”
“ชายชราเพียงเอ่ยว่า ‘หายนะนองเื’ เท่านั้น ไม่ได้เปิดเผยมากกว่านี้” เหอตังกุยกะพริบดวงตาสดใสของนางพลางผายมือไปด้านข้างก่อนกล่าว “ตอนนั้นข้าเหมือนอยู่ในโลกแห่งความฝันอันเลือนรางจึงไม่ได้ถามต่อ ท่านยายก็เคยฝันใช่หรือไม่ ทั้งที่ในใจอยากเอ่ยถามแต่ลิ้นของข้ากลับแข็ง และข้าก็ไม่สามารถควบคุมมันได้ แม้อยากถามเพียงใดก็ถามไม่ออก"
เหล่าไท่ไท่กลับมานั่งเก้าอี้ปูด้วยเบาะพลางเอ่ยเศร้าสร้อย “ข้าจะทำอย่างไรดี? หากเชิญพระสงฆ์และนักพรตจะสามารถแก้ไขอันใดได้หรือไม่ นักพรตธรรมดาที่มีอิทธิฤทธิ์ก็มีจำกัด น่าเสียดาย ฉีเสวียนอวี๋นั้นมีความสามารถมากแต่เขาเพิ่งไปจากจวนตระกูลหลัวเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา ตอนนี้เหล่าไท่เหยียก็ไม่อยู่แล้ว พวกเราจะไปหาฉีเสวียนอวี๋ได้จากที่ใด?”
ต่งซื่อและหลัวไป๋เส่าได้ยินดังนั้นก็เวียนหัวทันที ไม่รู้ว่าพวกนางสามคนกำลังพูดปริศนาอันใด ราวกับตนกำลังฟังบทกวีเข้าใจยาก แต่พวกนางกลับเอ่ยด้วยท่าทางเคร่งเครียดเสมือนมีความลับบางอย่าง เหตุใดเหอตังกุยจึงรู้ความลับนั้นได้แต่พวกนางรู้ไม่ได้? หลัวไป๋เส่าดึงชายเสื้อเหล่าไท่ไท่ก่อนบ่นอู้อี้ “ท่านย่า วันนี้ท่านเป็อะไร? ข้าก็ไม่สนใจ ถึงอย่างไรวันนี้ข้าก็จะให้พี่สามไปกับข้า…”
“กรี๊ด ” ทันใดนั้นก็มีเสียงหวีดร้องดังขึ้นท่ามกลางห้องโถง “ไฟไหม้ เหล่าไท่ไท่ไฟไหม้แล้วเ้าค่ะ ไฟไหม้เ้าค่ะหยางมามา”
เหล่าไท่ไท่ดีดตัวจากที่นั่งพลันเอ่ยถามเสียงแหบแห้ง “ไฟไหม้ที่ใด” หยางมามาประคองเหล่าไท่ไท่ด้วยความร้อนใจพลางเอ่ยกระซิบ “ท่านควรดูแลร่างกายของท่านให้ดี จะมีเื่ใดสำคัญกว่าร่างกายท่านอีกเ้าคะ?”
เซียงชุนหยาวิ่งเข้ามาจากทางระเบียงอย่างร้อนรนก่อนรายงานเหล่าไท่ไท่ด้วยอาการกระหืดกระหอบ “เหล่าไท่ไท่...ป่าไผ่ขมด้านหลังเรือน...ทุ่งหญ้านอกป่าไฟไหม้เ้าค่ะ ไฟ...ไฟโหมหนักมากเ้าค่ะ”
“ป่าไผ่ขม?” เหล่าไท่ไท่ถอนหายใจด้วยความโล่งอกพลางสั่งด้วยเสียงเคร่งขรึม “เกณฑ์คนรับใช้ที่เฝ้าลานด้านในไปช่วยกันดับไฟ เรียกบ่าวรับใช้ที่เฝ้าลานด้านนอกด้วย”
หยางมามาก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอกเช่นกัน สีหน้าของนางยังดูมีความสุข ก่อนหันไปปลอบเหล่าไท่ไท่ “เหล่าไท่ไท่ใจเย็นก่อนเ้าค่ะ ประการแรก สภาพอากาศในฤดูใบไม้ร่วงนั้นแห้งเกินไปจึงทำให้ติดไฟง่าย แม้ในสถานการณ์ปกติก็ยังมีความเป็ไปได้ที่จะเกิดไฟไหม้ ประการที่สอง ไฟเป็เครื่องพิสูจน์ว่าเซียน…เอ่อชายชราเข้าใจถูกแล้วว่าจะเกิดอะไรขึ้น ดังนั้นถือว่าหายนะของตระกูลหลัวผ่านพ้นไปแล้ว ต่อจากนี้จะมีแต่เื่ดี ๆ เข้ามาในจวน... เซียงชุนหยา เหตุใดยังยืนนิ่งอยู่ตรงนั้นเล่า? ไม่ได้ยินเหล่าไท่ไท่สั่งหรือ” หยางมามาเอ่ยตำหนิสาวใช้ชุดเขียวที่หน้าประตูอย่างไม่สบอารมณ์ เดิมทีหลายวันมานี้ก็มีเหตุการณ์ไม่คาดคิดเกิดขึ้นหลายครั้ง แต่สาวใช้กลับยังแข็งทื่อเป็ท่อนไม้ ไม่ฉลาดจัดการปัญหาต่าง ๆ เสียเลย ช่างน่าโมโหนัก
“อ๊ะ” ทันใดนั้นเซียงชุนหยาก็กรีดร้องทั้งน้ำตา ทำให้ทุกคนในห้องโถงใ เว้นแต่เหอตังกุย นางเอ่ยด้วยความเศร้าใจท่ามกลางความประหลาดใจของทุกคน “ไม่ใช่เ้าค่ะมามา ไฟลุกไหม้ที่ทุ่งหญ้าก็จริง แต่สิ่งที่ไหม้นั้น...เป็...ศพที่นอนเกลื่อนพื้นเ้าค่ะ
“ศพเกลื่อนพื้นกระนั้นหรือ?” ไม่เพียงแต่เหล่าไท่ไท่และหยางมามาที่ใจนหน้าซีด แม้แต่ต่งซื่อและหลัวไป๋เส่าก็ยังใจนถอยกรูด “เ้าบอกว่ามี...คนตาย คนตายกี่คนหรือ?”
เซียงชุนหยาโบกมือปฏิเสธพลางเอ่ย “ไม่ใช่คนแต่เป็อีกาเ้าค่ะ” เมื่อนางเอ่ยถึงเหตุการณ์ที่ได้พบก็อดสั่นสะท้านมิได้ ก่อนเอ่ยต่อด้วยเสียงสั่นเครือ “เมื่อครู่พวกบ่าวสองสามคนกำลังตรวจสอบเครื่องครัว แต่จู่ ๆ ก็เห็นเปลวเพลิงทางป่าไผ่ขม พวกบ่าวจึงรวบรวมคนกล้าหาญได้เจ็ดแปดคน ก่อนพากันไปตรวจสอบสถานการณ์ เมื่อเข้าใกล้ก็พบว่าไฟลุกไหม้รุนแรง ควันสีดำลอยโขมงสู่ท้องฟ้า ทั้งยังมีกลิ่นฉุนเตะจมูก พวกบ่าวจึงไปตรวจสอบ พบว่าเป็...ศพอีกานอนตายเกลื่อนพื้นเ้าค่ะ ศพอีกาทั้งหมดล้วนถูกฉีกกระชากเป็ชิ้น ๆ เศษเนื้อของพวกมันกระจายเต็มไปหมด มีทั้งหัว ปีก กรงเล็บและลำไส้ ไม่มีอีกาที่ศพสมบูรณ์เลยเ้าค่ะ...”
“พอแล้ว ๆ ไม่ต้องพูดแล้ว” หยางมามาเห็นสีหน้าผิดปกติของเหล่าไท่ไท่ ด้วยกลัวว่าโรคเก่าของนางจะกำเริบเพราะใเกินไป จึงรีบบอกให้เซียงชุนหยาหยุดพูด ทั้งยังสั่งด้วยเสียงเคร่งขรึม “เ้ารีบส่งจดหมายฉุกเฉินเรียกตัวเนี่ยชุนและสี่ทหารคุ้มกันทั้งหมดมาที่นี่ อธิบายสถานการณ์รุนแรงให้พวกเขาฟังอย่างชัดเจน พาคนไปดับไฟแล้วค้นหาให้ทั่วป่าไผ่ขมว่ามีสัตว์ป่าใดซ่อนอยู่หรือไม่”
หลังเซียงชุนหยาวิ่งไปไกลแล้ว หยางมามาจึงประคองเหล่าไท่ไท่นั่งลงก่อนคลุมผ้าบาง ๆ ให้นางอีกครั้ง พลางเอ่ยปลอบใจด้วยเสียงอ่อนโยน “เหล่าไท่ไท่มิต้องกังวลเ้าค่ะ อย่างไรพื้นที่ของจวนตระกูลหลัวก็โอ่อ่า มีสวนกว้างขวาง ในป่าก็เลี้ยงสัตว์หายากจากทางใต้มากมาย บางครั้งก็มีแมวป่าหรืออีเห็นะโจากกำแพงเข้ามาหาอาหาร เป็เื่ที่เห็นเป็ประจำ ตอนนี้พวกเราเรียกเนี่ยชุนและสี่ทหารคุ้มกันแล้ว เมื่อพวกเขามาถึง ไม่ว่าเื่ใดก็แก้ไขได้เ้าค่ะ ยิ่งไปกว่านั้น...ตอนนี้พวกเราก็ได้รับประสบบทลงโทษเกี่ยวกับ “หายนะนองเื” ตามคำทำนายแล้ว โชคดีที่ครั้งนี้เป็เพียงอีกาเสียงดังน่ารำคาญตายไม่กี่ตัวเท่านั้น ตระกูลหลัวจึงไม่ได้รับความเสียหายแม้แต่น้อย...”
“กรี๊ด” ทันใดนั้นก็มีเสียงกรีดร้องดังขัดจังหวะหยางมามาอีกครั้ง ทุกคนจึงหันมองใบหน้าผู้ที่ร้องะโทันที
เหอตังกุยก็หันมองเช่นกัน นางมองฉานอีด้วยความไม่พอใจเล็กน้อยก่อนเอ่ยตำหนิ “เป็อะไร? ไม่เห็นหรือว่าจวนของพวกเราไฟไหม้ ทุกคนกังวลจนอกแทบแตก แต่กลับต้องมาหัวใจจะวายเพราะเสียงร้องของเ้า หากรู้อย่างนี้ ข้าไม่พาเ้าออกมาพบแขกเสียยังดีกว่า เสียมารยาทจริง ๆ ”
“กรี๊ด” ฉานอียังคงร้องะโขณะเอามือปิดปาก ก่อนยกนิ้วชี้บางสิ่ง “พวกท่านดูนั่นสิ ผี...มีผีเ้าค่ะ”
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้