บทที่ 10:สนามบินอัลมาตีคาซัคสถาน
สองวันแห่งความหวังที่เปี่ยมสุขในห้องพักของโรงแรมผ่านไปอย่างรวดเร็วราวกับความฝัน คืนก่อนเดินทาง พวกเธอแทบไม่ได้นอนหลับ ส่วนหนึ่งมาจากความตื่นเต้นที่จะได้ไปยังดินแดนแห่งใหม่ แต่อีกส่วนหนึ่งมาจากความวิตกกังวลที่เริ่มคืบคลานกลับเข้ามาในจิตใจอีกครั้ง
สนามบินนานาชาติอัลมาตีในตอนกลางคืนคือศูนย์กลางการเดินทางที่คึกคักและวุ่นวาย แสงไฟสว่างไสว ผู้คนจากทุกมุมโลกเดินสวนกันไปมา เสียงประกาศหลากภาษาดังก้องกังวาน ที่นี่คือประตูสู่โลกกว้าง แต่สำหรับหญิงสาวทั้งสามคน มันคือสมรภูมิสุดท้ายที่พวกเธอต้องเอาชนะให้ได้
รถแท็กซี่จอดเทียบที่หน้าอาคารผู้โดยสารขาออก พวกเธอนั่งนิ่งกันอยู่ครู่หนึ่ง มองหน้ากันเป็ครั้งสุดท้ายก่อนที่ปฏิบัติการจะเริ่มต้นขึ้น
"จำแผนได้นะ?" นาตาเลียถามย้ำอีกครั้ง แม้จะรู้คำตอบดีอยู่แล้ว
"เข้าคนละประตู ทิ้ง่ห่างกันสิบนาที" แคทเธอรีนทวน "เช็คอินคนละเคาน์เตอร์ ผ่านด่านตรวจคนละช่อง"
"และที่สำคัญที่สุด..." เยกาตรีน่ากล่าวเสริม "เราไม่รู้จักกัน"
แววตาของพวกเธอสื่อสารกันเป็ครั้งสุดท้าย มันคือแววตาที่เต็มไปด้วยความเชื่อใจ ความหวาดกลัว และคำอวยพรที่ไม่อาจเอ่ยเป็คำพูดได้ จากนั้น แคทเธอรีนก็เปิดประตูลงจากรถเป็คนแรก ตามมาด้วยนาตาเลีย และเยกาตรีน่าเป็คนสุดท้าย พวกเธอแยกย้ายกันไปคนละทิศทาง กลืนหายไปในฝูงชนราวกับหยดน้ำสามหยดที่ไหลลงสู่มหาสมุทร
แม้คาซัคสถานจะไม่ใช่รัสเซีย แต่ทุกคนต่างรู้ดีว่าอิทธิพลของหน่วยข่าวกรองจากบ้านเกิดของพวกเธอนั้นเป็หนึ่งในอันดับต้นๆ ของโลก เครือข่ายสายลับและผู้ให้ข้อมูลแฝงตัวอยู่ทุกที่ โดยเฉพาะในประเทศอดีตสหภาพโซเวียตด้วยกัน
พวกเขาอาจไม่ได้มีอำนาจจับกุมอย่างเป็ทางการ แต่มีอำนาจมากพอที่จะ "แจ้ง" ให้ทางการคาซัคสถาน "ตรวจสอบ" พวกเธอเป็กรณีพิเศษได้ ซึ่งนั่นก็เพียงพอแล้วที่จะทำลายทุกสิ่งทุกอย่าง
ดังนั้น ทุกสายตาที่มองมา ทุกการเคลื่อนไหวรอบตัว จึงไม่อาจทำให้พวกเธออุ่นใจได้เลย
แคทเธอรีน:
เธอเดินลากกระเป๋าเข้าไปในอาคารผู้โดยสารเป็คนแรก หัวใจของเธอเต้นเป็ปกติมากกว่าครั้งที่สนามบินมอสโคว แต่ประสาทัักลับตื่นตัวและเฉียบคมขึ้นหลายเท่า เธอไม่ได้ก้มหน้าหลบสายตาใครอีกต่อไป แต่ใช้สายตากวาดมองไปรอบๆ อย่างรวดเร็วและสุขุม สแกนใบหน้าของผู้คน สังเกตพฤติกรรมที่ผิดปกติ
ชายสองคนที่ยืนคุยกันอยู่มุมเสา พวกเขาแต่งกายเหมือนนักธุรกิจ แต่สายตาของพวกเขากลับไม่ได้มองดูกระดานแสดงเที่ยวบิน แต่กวาดมองผู้คนที่เดินผ่านไปมา... น่าสงสัย
ผู้หญิงคนหนึ่งที่นั่งจิบกาแฟอยู่คนเดียว แต่กลับถือโทรศัพท์ในลักษณะที่เหมือนกำลังแอบถ่ายวิดีโอ... น่าสงสัย
ทุกสิ่งทุกอย่างถูกประมวลผลในหัวของเธออย่างรวดเร็ว เธอคือหน่วยสอดแนม คือคนที่ต้องประเมินสถานการณ์ เธอเดินไปเช็คอินที่เคาน์เตอร์ของสายการบิน พนักงานต้อนรับชาวคาซัคยิ้มแย้มให้เธออย่างเป็มิตร ซึ่งแตกต่างจากเ้าหน้าที่ที่มอสโควราวฟ้ากับเหว เธอยิ้มตอบกลับไป แต่ในใจยังคงระแวดระวัง
นาตาเลีย:
สิบนาทีต่อมา นาตาเลียเดินเข้ามาในอาคาร เธอมุ่งตรงไปยังเคาน์เตอร์เช็คอินอีกฝั่งหนึ่งทันที เธอก้มหน้าดูเอกสารในมือ พยายามทำตัวให้เล็กและไม่เป็ที่สังเกตมากที่สุด ความกลัวของเธอยังคงอยู่ แต่มันถูกกดทับไว้ด้วยความรอบคอบอย่างถึงที่สุด
ระหว่างที่ยืนรอในแถว เธอเหลือบไปเห็นแผ่นหลังที่คุ้นเคยของแคทเธอรีนที่กำลังเดินไปยังด่านตรวจความปลอดภัย ความรู้สึกอุ่นใจวาบขึ้นมาในอก แต่ในขณะเดียวกัน ความรู้สึกโดดเดี่ยวก็โจมตีเธออย่างจัง เธออยากจะวิ่งเข้าไปหาเพื่อน อยากจะจับมือเพื่อเรียกความมั่นใจ แต่ก็ทำได้เพียงยืนนิ่งอยู่ในแถวของตัวเองต่อไป
ชายคนหนึ่งที่ยืนอยู่ข้างหลังเธอคุยโทรศัพท์เป็ภาษารัสเซียเสียงดัง ทำให้นาตาเลียสะดุ้งเล็กน้อย เธอแอบฟังบทสนทนาของเขาโดยอัตโนมัติ... เขาแค่กำลังบ่นเื่งานกับเพื่อน... ไม่มีอะไรน่าสงสัย แต่หัวใจของเธอก็เต้นผิดจังหวะไปแล้ว
เยกาตรีน่า:
เยกาตรีน่าเข้ามาเป็คนสุดท้าย เธอดูผ่อนคลายที่สุดในสามคน เธอยังคงห้อยกล้องไลก้าไว้ที่คอ สวมบทบาทช่างภาพนักเดินทางอย่างสมจริง แต่ภายใต้ท่าทีสบายๆ นั้นคือความโกรธที่ยังคุกรุ่น เธอเกลียดที่ต้องมาระแวดระวังเหมือนอาชญากร ทั้งๆ ที่สิ่งที่เธอ้าคืออิสรภาพ
เธอสังเกตเห็นชายคนหนึ่งในชุดสูทสีเข้มจ้องมองเธอเป็เวลานานกว่าปกติ แทนที่จะหลบตา เยกาตรีน่ากลับเลือกที่จะจ้องตอบกลับไปตรงๆ เธอเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยเป็เชิงท้าทาย จนกระทั่งชายคนนั้นเป็ฝ่ายละสายตาไปเอง มันเป็การกระทำที่เสี่ยง แต่ก็ช่วยระบายความอัดอั้นในใจของเธอได้เล็กน้อย
พวกเธอทั้งสามคนผ่านด่านตรวจความปลอดภัยและด่านตรวจคนเข้าเมืองของคาซัคสถานไปได้อย่างราบรื่น ไม่มีคำถามที่น่าสงสัย ไม่มีสายตาที่จับผิดเป็พิเศษ แต่ความรู้สึกไม่ปลอดภัยยังคงเกาะกุมพวกเธออยู่ไม่ห่าง
ในที่สุด พวกเธอก็มารวมกัน... แต่ก็ยังคงแยกกัน... ที่บริเวณประตูขึ้นเครื่องเที่ยวบินสู่กรุงเทพมหานคร
แคทเธอรีนนั่งอ่านหนังสืออยู่ที่เก้าอี้แถวหน้าสุด นาตาเลียนั่งฟังเพลงอยู่ห่างออกไปหลายแถว ส่วนเยกาตรีน่าแสร้งทำเป็เดินดูของในร้านค้าใกล้ๆ แต่สายตาของพวกเธอต่างลอบมองกันและกันอยู่ตลอดเวลา เป็การยืนยันการมีอยู่ของกันและกันโดยไม่ต้องใช้คำพูด
บรรยากาศที่ประตูขึ้นเครื่องเต็มไปด้วยนักท่องเที่ยวจากหลากหลายชาติ มีทั้งครอบครัวชาวตะวันตก กลุ่มเพื่อนวัยรุ่นชาวเกาหลี และนักธุรกิจชาวจีน เสียงพูดคุยจอแจช่วยกลบเกลื่อนความเงียบที่น่าอึดอัดของพวกเธอได้เป็อย่างดี
"ผู้โดยสารเที่ยวบินสู่กรุงเทพมหานคร ขณะนี้ได้เวลาขึ้นเครื่องแล้ว ขอเชิญผู้โดยสารชั้นธุรกิจและผู้โดยสารที่้าความช่วยเหลือพิเศษก่อนค่ะ"
เสียงประกาศจากลำโพงคือสัญญาณสุดท้าย แคทเธอรีนลุกขึ้นเป็คนแรก เดินไปต่อแถวอย่างใจเย็น ตามมาด้วยนาตาเลียที่ทิ้ง่ห่างพอสมควร และเยกาตรีน่าเป็คนสุดท้าย
พวกเธอเดินผ่านงวงช้างเข้ามาในตัวเครื่องบิน กลิ่นของห้องโดยสารที่ปรับอากาศเย็นฉ่ำให้ความรู้สึกปลอดภัยอย่างน่าประหลาด พวกเธอหาที่นั่งของตัวเองซึ่งจองไว้แยกกันคนละแถวแต่ยังพอจะมองเห็นกันได้
แคทเธอรีนได้ที่นั่งริมหน้าต่าง เธอทิ้งตัวลงบนเบาะอย่างหมดแรง มองดูผู้คนทยอยขึ้นเครื่องจนเต็มลำ
ปึง!
เสียงประตูเครื่องบินถูกปิดลงและล็อคอย่างแ่า มันคือเสียงที่ทรงพลังที่สุดในค่ำคืนนี้ มันคือเสียงที่บอกว่าโลกภายนอกที่เต็มไปด้วยอันตรายได้ถูกตัดขาดออกไปแล้ว
เครื่องบินเริ่มเคลื่อนตัวออกจากหลุมจอดและขับเคลื่อนไปบนรันเวย์อย่างช้าๆ ในที่สุด... ล้อของเครื่องบินก็ลอยขึ้นจากพื้นดิน ทิ้งแผ่นดินของอดีตสหภาพโซเวียตไว้เื้ั
แคทเธอรีนมองลอดผ่านช่องว่างระหว่างเบาะไปยังแถวของนาตาเลีย และมองข้ามไปยังแถวของเยกาตรีน่า ในที่สุด พวกเธอก็สามารถสบตากันได้อย่างตรงไปตรงมา รอยยิ้มแห่งชัยชนะที่แท้จริงปรากฏขึ้นบนใบหน้าของพวกเธอทั้งสามคนเป็ครั้งแรก
เบื้องนอกหน้าต่าง แสงไฟระยิบระยับของเมืองอัลมาตีค่อยๆ เล็กลงและเลือนหายไปในความมืดมิด
