เพื่อมิให้เว่ยอี๋เหนียงต้องเป็ห่วง ก่อนจากไป หนีเจียเอ๋อร์จึงแอบย้อนไปยังเรือนของเว่ยอี๋เหนียง แล้วทิ้งจดหมายเอาไว้ ใจความว่านางจะกลับมา ไม่ต้องเป็ห่วง และห้ามออกตามหา...
เสร็จแล้ว ก็กลับไปยังเรือนของตน เปิดตู้เสื้อผ้าเก็บข้าวของที่จำเป็ ก่อนที่ดวงตาจะเหลือบไปเห็นชุดของโจวชิงหวา นางจึงเก็บมันมาด้วยเช่นกัน
จากนั้นก็หยิบตั๋วทองสองสามใบ แล้วลอบหนีออกมา
แต่ก่อนจะพ้นเขตจวน หญิงสาวก็หันกลับไปมองต้นไม้ใหญ่อายุร้อยปี ที่เสี่ยวเสวียนวิ่งชนเพื่อปลิดชีพของตน
ความรู้สึกในตอนนี้ บอกไม่ถูกว่ากำลังโกรธที่ถูกทรยศ หรือเสียใจที่ต้องสูญเสียสหายรักไป
แต่กระนั้น ก็ไม่สามารถแก้ไขอะไรได้อีกแล้ว หนีเจียเอ๋อร์จึงออกจากจวนสกุลหนีไปโดยไม่คิดจะหันหลังกลับมามอง
เพื่อมิให้บิดาหาตัวพบ นางจึงไม่คิดจะไปหลบที่จวนของโจวชิงหวา หรือขอความช่วยเหลือจากหนีเจียเฮ่อ
หญิงสาวหาโรงเตี๊ยมเล็กๆ แล้วผลัดเปลี่ยนชุด ไปสวมเสื้อผ้าของโจวชิงหวาเพื่อปิดบังตัวตน แล้วไปยังตลาดมืด เพื่อสืบหาว่าใครกันแน่ที่อยู่เื้ัเื่ทั้งหมดนี้
นางคิดว่า หากลงมือสืบไปเรื่อยๆ อย่างไรเสียก็พบเบาะแสบ้าง ไม่มากก็น้อย
ตลาดมืดของแคว้นฉีหลานนี้ เรียกได้ว่าเป็แหล่งรวมสินค้าผิดกฎหมายและสิ่งของอันตรายแทบทุกชนิด
เนื่องจากเป็สถานที่อโคจรเช่นนี้ ดังนั้นเหล่าขุนนาง ขันที หรือบุคคลซึ่งมีชื่อเสียงที่คิดจะเข้ามาเยือน จึงต้องปลอมตัวอยู่เสมอ เพื่อมิให้เป็ที่ครหาของชาวเมืองได้
ด้วยเหตุนี้ หนีเจียเอ๋อร์จึงเลือกที่จะเปลี่ยนชุดจากหญิงเป็ชาย เพื่อปกปิดตัวตน แต่ถึงกระนั้นก็ยังนึกหวั่นว่าจะพบคนรู้จักเข้า แน่นอนว่าด้วยหน้าตาและผิวพรรณของนาง คงไม่ยากที่จะสังเกตเห็น
ตอนนี้สายตาผู้คนรอบข้าง เริ่มมองมาที่หญิงสาวมากขึ้นเรื่อยๆ หนีเจียเอ๋อร์จึงเดินหนีออกมาจากตรอกอันพลุกพล่านไปด้วยผู้คน
นางเดินลึกเข้าไปในซอยเล็ก และตอนนั้นเอง ก็ถูกบุรุษแปลกหน้าห้าคนเข้ามาล้อมเอาไว้
กลิ่นธูปสายหนึ่งลอยเข้าจมูก...
กว่าจะรู้ตัวว่าตนพลาดท่า ก็ตอนที่ภาพตรงหน้าเริ่มพร่ามัว ร่างของหนีเจียเอ๋อร์ทรุดลงกับพื้นถนน ก่อนที่สติของนางจะดับวูบไป
...
เมื่อฟื้นขึ้นมา ก็พบว่าตนถูกมัดมือและเท้าเอาไว้ ตรงหน้าเป็กำแพงเก่า อากาศบริเวณนั้นอับชื้นจนนางรู้สึกอึดอัด ทั่วทั้งร่างปวดร้าว จนไม่อาจขยับตัวได้
“เฮ้อ…!”
เสียงนั้น ทำให้หนีเจียเอ๋อร์พลิกตัวกลับมา จึงพบเข้ากับหญิงสาวหกคน ที่ตกอยู่ในสถานการณ์เดียวกันกับนาง หากแต่ใบหน้าของทุกคนบวมช้ำจากการถูกทุบตีอย่างหนัก
หนีเจียเอ๋อร์พยายามตั้งสติ “นี่คือที่ใด? พวกเ้าเป็ใคร? แล้วผู้ใดจับเรามา?”
หนึ่งในเด็กสาวอายุราวๆ สิบสี่สิบห้าปีเห็นจะได้ ตอบกลับมาว่า “พวกเราทั้งหมดคือผู้ยากไร้ในเมืองฝู ถูกขายให้กับหวังซานเย่ เพราะครอบครัวของเราติดหนี้และไม่มีเงินจ่าย”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น หนีเจียเอ๋อร์ก็เบิกตากว้าง “ขายอย่างนั้นหรือ! ที่นี่ที่ไหน? แล้วหวังซานเย่คือใครกัน?”
เด็กหญิงอีกคนจึงตอบ “ที่นี่คือเมืองฝู ส่วนหวังซานเย่คือเ้าคนชั่ว ที่มักจะจับเด็กสาวมาขายที่นี่”
นางถูกขายหรือนี่?
หนีเจียเอ๋อร์ตัวแข็งทื่อ
เมื่อสำรวจดีๆ อีกครั้ง ก็พบว่าเงินที่พกไว้กับตัวหายไปหมดสิ้น!
“ข้าอยากถูกขายไปเป็ทาสของเศรษฐีมากกว่าถูกนำมาขายที่นี่ ข้าจะมีชีวิตอยู่ต่อไปได้อย่างไร ฮือ... ข้ากลัวเหลือเกิน ฮือๆๆๆ...” สาวน้อยคนแรกร้องไห้ออกมา
เด็กสาวอีกห้าคนจึงเริ่มสะอื้นตาม
จากท่าทีที่หวาดกลัวและคำพูดของพวกนาง ทำให้หนีเจียเอ๋อร์เข้าใจได้ทันที ว่าตนถูกจับมาขายให้สำนักโคมเขียว
หนีเจียเอ๋อร์พยายามตั้งสติ และคิดหาทางหนีออกไปจากที่นี่
นางดิ้นรนแก้เชือกบนร่าง พร้อมขอร้องให้เด็กสาวคนอื่นๆ ช่วยเหลือ “แก้มัดให้ข้าที เราจะได้หลบหนีไปด้วยกัน!”
แต่เด็กสาวที่คลุมผ้าหยาบสีดำพูดขัดขึ้น “ไม่มีประโยชน์ พวกมันโหดร้ายยิ่งนัก หากรู้ว่าเราพยายามจะหลบหนี มันก็จะเข้ามาทุบตีพวกเรา!”
อีกห้าคนพยักหน้ายืนยัน พลางร่ำไห้
แต่หนีเจียเอ๋อร์ก็ไม่ยอมแพ้ พยายามเกลี้ยกล่อมอีกครั้ง “หากพวกเ้าไม่ลองดู แล้วจะหนีไปได้อย่างไร?”
เด็กสาวอีกคนจึงเล่าว่า “เมื่อวานก็มีคนพยายามหนีเช่นเ้า แต่ก็ถูกทุบตีจนตาย!”
ทันใดนั้น ก็มีเสียงฝีเท้าดังมาจากข้างนอก หนีเจียเอ๋อร์รีบกลับไปยังมุมของตน ก่อนใช้เชือกวางบนข้อเท้า หมายจะพรางสายตา
ประตูถูกถีบออกอย่างแรง แล้วชายร่างผอมผู้หนึ่งก็ค่อยๆ เดินเข้ามายืนอยู่ตรงหน้า มันนั่งลง และหยิบเชือกบนข้อเท้าของหนีเจียเอ๋อร์ขึ้นมา หญิงสาวจึงลอบกลืนน้ำลายด้วยความหวาดหวั่น
ชายผู้นั้นแสยะยิ้ม ก่อนจะลงมือมัดข้อเท้าของนางใหม่อีกครั้ง
“เห็นแก่ที่เ้ามีใบหน้างดงาม คงจะขายได้ราคาดี ครั้งนี้ข้าจะปล่อยไปก็แล้วกัน”
มัดเสร็จ ก็ลุกขึ้นยืน
หนีเจียเอ๋อร์พยายามจะต่อรอง แต่ก็ไร้ผล เพราะคนผู้นั้นไม่เปิดโอกาสในหญิงสาวได้พูด รีบเดินออกจากห้องไปอย่างรวดเร็ว
นางยังคงพยายามครั้งแล้วครั้งเล่า และแล้ว วันที่หญิงสาวถูกขายก็มาถึง...
หนีเจียเอ๋อร์พร้อมเด็กสาวทั้งหก ถูกขายให้กับหอร้อยบุปผาในเมืองเหยียน
ทันทีที่มาถึง ก็ได้พบกับแม่เล้า ซึ่งทุกคนเรียกนางว่า ‘พี่ฮวา’ เป็สตรีอ้วนท้วน ผู้อยู่ในชุดสีฉูดฉาด ดวงตาของนางเป็ประกายราวกับได้พบสินค้าที่แสนจะถูกอกถูกใจ
แม่เล้าผู้นี้ มักจะลงโทษหญิงสาวที่ไม่เชื่อฟัง ด้วยการทุบตีและอดอาหาร
ผ่านไปสามวัน เด็กสาวห้าคนที่พยายามขัดขืน ก็หันกลับมาเชื่อฟังนาง
ด้านหนีเจียเอ๋อร์ กลับไม่เคยถูกทุบตีหรือลงโทษใดๆ เพราะรู้ดีว่าไม่มีประโยชน์ที่จะดิ้นรนต่อสู้ ในเมื่อผลที่ได้รับ มีเพียงความเ็ปเท่านั้น
แต่เพื่อเป็การซื้อเวลาให้ตัวเอง หนีเจียเอ๋อร์จึงทำทีเข้าไปประจบประแจง และเป็เด็กดีเชื่อฟังพี่ฮวา
ดูเหมือนหญิงสาวจะเป็ที่ถูกใจของพี่ฮวาไม่น้อย นางจึงดึงหนีเจียเอ๋อร์มาอยู่ข้างกาย และมอบอาหารและเสื้อผ้ามากมายเป็รางวัล
ทั้งยังให้นางคณิกาอันดับหนึ่งแห่งหอร้อยบุปผา สอนการร้องเพลง ร่ายรํา และดีดกู่ฉินให้กับหนีเจียเอ๋อร์ นอกจากนี้ สามีของพี่ฮวาก็ยังมาสอนให้เล่นหมากล้อม วาดภาพ และเขียนอักษรอีกด้วย
ซึ่งหญิงสาวก็แสร้งทำเป็ว่าตนไม่เคยร่ำเรียนเื่เหล่านี้มาก่อน เพื่อซื้อเวลาให้ตัวเอง
หลังเรียนการร่ายรำแล้ว นางก็ไปที่ห้องของพี่ฮวาเหมือนเช่นทุกครั้ง พอเปิดประตู หนีเจียเอ๋อร์ก็พบว่าพี่ฮวากำลังนวดขมับด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
หญิงสาวจึงยืนนิ่งอยู่หน้าประตูที่เปิดออก ไม่กล้าเดินเข้าไป
ก๊อกๆ!
แต่เมื่อพี่ฮวาเห็นนาง ริมฝีปากสีแดงเข้มก็ยกยิ้มกว้าง พลางกวักมือเรียกทันที “เสี่ยวเสี่ยวนี่เอง เข้ามาสิ!”
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้