ไม่นานนักไฟบนชั้นที่ 3 ของเจดีย์เชื่อมฟ้าก็สว่างขึ้น
“ซิงเอ๋อร์โตแล้วจริง ๆ แค่พริบตาเดียวก็ทะลุสองด่านติดต่อกันแล้ว!” เซิ่งอ๋องกล่าวพลางยิ้มราวกับมั่นใจในตัวบุตรชายของตัวเองมาก
“น้องซิงประสบความสำเร็จเช่นนี้ได้ เป็เพราะเสด็จอาคอยชี้แนะ!” องค์ชายใหญ่จ้าวหยางกล่าว จากนั้นทั้งสองก็หัวเราะขึ้นมาพร้อมกัน ในความเป็จริงพวกเขาหารู้ไม่ว่า จ้าวซิงที่พวกเขาเชื่อมั่น บัดนี้ยังต่อสู้กับเงาผู้ฝึกยุทธ์ขั้นยุทธ์แท้สองคนอยู่ชั้นที่ 1
นอกจากเย่เฟิง อีกเจ็ดคนของกลุ่มนี้ล้วนอยู่ชั้นที่ 1 หมด ถึงอย่างไรการเผชิญหน้ากับเงาผู้ฝึกยุทธ์ที่มีระดับเดียวกับตัวเอง มันเป็ไปไม่ได้ที่จะชนะอย่างง่ายดายเหมือนเย่เฟิง
ชั้นที่ 3 ของเจดีย์เชื่อมฟ้า เงาผู้ฝึกยุทธ์จุดสูงสุดของขั้นรวมชี่ที่ 7 สิบแปดคนปรากฏตัวขึ้น เจตจำนงแห่งการต่อสู้ของเย่เฟิงลุกโชน ในยามปกติไม่ใช่เื่ง่ายที่จะหาคู่ต่อสู้ระดับเดียวกับตัวเองเป็จำนวนมากได้ ดังนั้นเย่เฟิงจึงชอบโอกาสนี้เป็พิเศษ ในการต่อสู้จริงจะทำให้ได้รับการขัดเกลาพลังต่อสู้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า จนก่อเกิดผลลัพธ์ที่คาดไม่ถึงเสมอ
เื่นี้เย่เฟิงได้พิสูจน์มาแล้วในเทือกเขาเทียนซีแห่งแดนจิ่วโยว ครั้งนั้นเขาต่อสู้กับสัตว์อสูรทุกประเภท มันมีประโยชน์กว่าการบำเพ็ญธรรมดาหลายเท่า ดังนั้นสำหรับเย่เฟิงแล้ว การบุกเจดีย์เชื่อมฟ้าไม่ถือว่าเป็การแข่งขัน แต่เป็โอกาสในการขัดเกลาพลังต่อสู้ของตัวเอง
เมื่อเผชิญหน้ากับเงาผู้ฝึกยุทธ์ระดับเดียวกันสิบแปดคน เย่เฟิงก็เพิ่มพลังตัวเองเป็สี่ส่วน ไม่ว่าคู่ต่อสู้จะมีกี่คน เขาก็ยังคงบุกทะลวงไปข้างหน้า
พลังต่อสู้ของเย่เฟิงนั้นทรงพลัง ทุกการโจมตีทำให้คู่ต่อสู้ที่แข็งแกร่งสูญเสียพลังต่อสู้จนไม่มีโอกาสได้ตอบโต้กลับ เพียงไม่กี่ลมหายใจ เงาผู้ฝึกยุทธ์ทั้งสิบแปดคนก็ถูกเย่เฟิงจัดการและต่างล้มกองกันอยู่บนพื้น การเคลื่อนไหวว่องไว แม่นยำ และไม่เยิ่นเย้อ
“ยินดีด้วย เ้าผ่านด่านแล้ว!” ผู้ฝึกยุทธ์หนึ่งในนั้นกล่าวกับเย่เฟิง เย่เฟิงประสานมือคำนับเงาผู้ฝึกยุทธ์ทั้งสิบแปดคน เขาแทบอดใจรอไม่ไหวที่จะขึ้นไปยังชั้นที่ 4
แต่ครั้งนี้สิ่งที่ปรากฏขึ้นไม่ใช่ผู้ฝึกยุทธ์ระดับเดียวกันจำนวนมาก แต่เป็ผู้ฝึกยุทธ์จุดสูงสุดของขั้นรวมชี่สี่คน
“น่าสนใจดีนี่!” ดวงตาเย่เฟิงเป็ประกายขึ้นมา โดยไม่ปกปิดความกระหายในการต่อสู้ของตัวเอง เขาเพิ่มพลังต่อสู้เป็ห้าส่วนและะเิพลังโจมตีที่รุนแรงออกมา แม้เผชิญหน้ากับผู้ฝึกยุทธ์จุดสูงสุดของขั้นรวมชี่สี่คนก็ยังคงกำราบได้ เขาโจมตีอีกฝ่ายไม่ยั้งและไม่มีใครต้านทานเย่เฟิงได้เลยสักคน
ต้องรู้ก่อนว่าเย่เฟิงเคยปะทะกับมู่เยี่ยนและเจียงเซิ่งหลิงมาก่อน ซึ่งสองคนนั้นอยู่ขั้นยุทธ์แท้ แต่ถึงกระนั้นก็ยังเอาเย่เฟิงไม่ได้ ดังนั้นการจะจัดการกับผู้ฝึกยุทธ์จุดสูงสุดของขั้นรวมชี่สี่คนจึงเป็เื่ที่ง่ายมาก
เย่เฟิงบุกตะลุยเจดีย์เชื่อมฟ้า กวาดล้างทุกสิ่งที่ขวางหน้าจนไปถึงชั้นที่ 6 โดยใช้เวลาไม่ถึงหนึ่งก้านธูป ขณะเดียวกันจ้าวซิง ต้าเซิ่งจื่อ และเจียงเซิ่งหลิงที่เข้าเจดีย์เชื่อมฟ้าพร้อมกับเย่เฟิงเพิ่งจะขึ้นมาถึงชั้นที่ 3
ด้านนอก เมื่อผู้คนเห็นไฟบนชั้นที่ 6 ของเจดีย์เชื่อมฟ้าสว่างต่างพากันตกตะลึง พวกเขาไม่ได้ใที่มีคนขึ้นไปถึงชั้นที่ 6 แต่เป็ความเร็วที่ใช้บุกขึ้นไปต่างหากที่น่าทึ่ง
สิ่งที่พวกเขาเห็นคือ ไฟทุกชั้นจะสว่างขึ้นในเวลาไม่กี่ลมหายใจ ความเร็วในการทะลวงด่านเช่นนี้ค่อนข้างน่ากลัวเกินไป แม้แต่องค์ชายใหญ่จ้าวหยางที่มีสีหน้าเรียบเฉยมาตลอด ยังแสดงคลื่นอารมณ์ออกมาเล็กน้อย ก่อนหันไปพูดกับเซิ่งอ๋อง “เสด็จอา น้องซิงแข็งแกร่งเช่นนี้ั้แ่เมื่อไรกัน? เหตุใดจึงไม่บอกให้ข้าทราบบ้าง?”
“นี่...” เซิ่งอ๋องแสดงท่าทีครุ่นคิด เขารู้ว่าพร์ของบุตรชายไม่เลวนัก ในผู้ฝึกระดับเดียวกัน พลังต่อสู้ถือว่าอยู่อันดับต้น ๆ แต่จะสามารถฝ่าด่านในเจดีย์เชื่อมฟ้าได้เร็วขนาดนี้เชียวหรือ? แม้แต่เซิ่งอ๋องก็เริ่มสงสัยแล้วว่าผู้ที่ทะลวงไปยังชั้นที่ 6 ของเจดีย์เชื่อมฟ้า ใช่จ้าวซิงบุตรชายของเขาหรือไม่
“ความเร็วในการฝ่าด่านที่น่ากลัวเช่นนี้ แม้แต่องค์ชายใหญ่ที่ฝ่าด่านเมื่อปีที่แล้วยังด้อยกว่าหลายขุม ดูเหมือนอาณาจักรของท่านจะมีอัจฉริยะฟ้าประทานถือกำเนิดขึ้นมาแล้ว!” สีหน้าผู้าุโเฉียนดูสดใสขึ้นมา ครั้งนี้พวกเขาสำนักชิงอวิ๋นถูกส่งมารับศิษย์ที่ดินแดนเจ็ดอาณาจักร หากเขารับลูกศิษย์ที่มีความสามารถของอาณาจักรจ้าวได้ ตัวเขาเองก็พลอยได้หน้าไปด้วย เมื่อกลับไปที่สำนักก็คงได้รับรางวัลอู้ฟู่ ดังนั้นเมื่อมีคนฝ่าด่านด้วยความเร็วเช่นนี้ ผู้าุโเฉียนย่อมดีใจเป็ธรรมดา
“หรือจะเป็เขา?” เมื่อเห็นไฟหกดวงบนเจดีย์เชื่อมฟ้าสว่าง ดวงตาคู่งามของจ้าวซินอี๋ก็เป็ประกาย ใบหน้าหล่อเหลาของเย่เฟิงพลันปรากฏขึ้นในใจ ก่อนที่ใบหน้าอันงดงามจะคลี่ยิ้มออกมาโดยไม่ได้ตั้งใจ
“ปัง!”
ในเจดีย์เชื่อมฟ้า เมื่อพลังฝ่ามือของเย่เฟิงจางหายไป ผู้ฝึกยุทธ์เงาคนสุดท้ายของชั้นที่ 6 ก็กระเด็นปลิว นั่นหมายความว่าเขาผ่านด่านชั้นที่ 6 ของเจดีย์เชื่อมฟ้าแล้ว เหมือนกับมู่เยี่ยนและโอวหยางเจิน
ขณะเดียวกันที่ไหนสักแห่งในเจดีย์เชื่อมฟ้า มีเด็กสาวผู้หนึ่งกำลังจ้องมองม่านแสงเบื้องหน้าอย่างจดจ่อ สิ่งที่ปรากฏในม่านแสงคือภาพของเย่เฟิงที่กำลังฝ่าด่านในเจดีย์เชื่อมฟ้า
เด็กสาวผู้นี้อายุราว 15-16 ปี ทว่าร่างเล็กกลับอรชรอ้อนแอ้นคล้ายผู้ใหญ่ ใบหน้างามชดช้อยแฝงความเยาว์วัย ผิวขาวผ่องราวกับหยก เอวคอดกิ่ว รับกับทรวงอกกลมกลึงที่ไหวกระเพื่อมตามลมหายใจของนาง เรียวขาสวยเปี่ยมไปด้วยชีวิตชีวา ชวนให้ผู้คนหลงใหลคลั่งไคล้
ร่างอรชรเย้ายวนนั้นสวมใส่ชุดกระโปรงสีม่วง ทำให้ร่างกายเผยเสน่ห์ออกมาได้เต็มที่ ต้องบอกว่าเด็กสาวคนนี้ไม่เพียงแต่มีรูปร่างหน้าตาสะสวย แต่เรือนร่างอันทรงเสน่ห์ของนางสามารถคร่าชีวิตเหล่าบุรุษนับร้อยได้
ขณะนี้ดวงตาคู่สวยของนางกำลังจ้องมองม่านแสงเบื้องหน้าอย่างตั้งใจ สีหน้าทวีความประหลาดใจมากขึ้นเรื่อย ๆ
“เร็วมาก ในเวลาไม่ถึงหนึ่งก้านธูป เขาสามารถฝ่าด่านติดต่อกันได้ถึงหกด่าน! หากเป็เช่นนี้ต่อไป เขาคงทำลายสถิติความเร็วในการฝ่าด่านเร็วที่สุดลงได้” เด็กสาวเม้มปากสีแดงระเรื่อพลางพึมพำกับตัวเอง
ใบหน้าสวยแสดงสีหน้าไม่อยากจะเชื่อ นางหันหน้าไปมองชายชราที่กำลังงีบหลับอยู่บนเก้าอี้ แล้วพูดว่า “ท่านปู่ รีบตื่นเร็วเข้า มีคนผ่านด่านที่หกแล้ว!”
“เพิ่งผ่านด่านที่หกได้มันน่าใขนาดนั้นเชียวหรือ? นางหนูคนนี้นี่ให้ปู่งีบสักพักแล้วค่อยว่ากันอีกที!” ชายชรายังคงหลับตาพลางกล่าวกับเด็กสาวอย่างเกียจคร้าน และทำท่าว่าจะหลับต่อ
เด็กสาวถูกท่าทางของชายชรายั่วโมโหจนขบเคี้ยวเขี้ยวฟัน จึงตะเบ็งเสียงดังขึ้นมา “ท่านปู่ ท่านห้ามหลับเด็ดขาด คนคนนี้แตกต่างจากคนอื่น ๆ รีบตื่นขึ้นมาดูเร็วเข้า!”
“นางหนูนี่กลายเป็คนไม่รู้เื่ั้แ่เมื่อไรกัน ข้าปกป้องเจดีย์เชื่อมฟ้ามาร้อยปี เคยเห็นคนผ่านชั้นเจ็ดมาแล้วมากมาย พวกคนแปลก ๆ ก็พบเห็นมาเยอะ ไม่ใช่ว่าเมื่อก่อนก็มีสองคนแล้วหรือ? เ้าไม่ควรแสดงท่าทางตกอกใเช่นนี้เลย!” ชายชรากล่าวอย่างหมดความอดทน และตั้งท่าจะหลับต่อ
“เขาสามารถฝ่าด่านติดต่อกันถึงหกด่านภายในเวลาไม่ถึงหนึ่งก้านธูป ไม่รู้ว่าร้อยปีมานี้ ท่านปู่เคยเจอบ้างไหม?”
เมื่อเห็นชายชราไม่สนใจตัวเอง เด็กสาวคนนั้นจึงอธิบายรายละเอียด นางยกมือกอดอกแล้วหรี่ตามอง
“อะไรนะ?”
เมื่อได้ยินที่เด็กสาวพูด ชายชราก็ลุกพรวดขึ้นจากเก้าอี้ ในดวงตาฉายแววไม่เชื่อ “เมื่อครู่ปู่ได้ยินไม่ชัด นางหนูเ้าลองพูดอีกรอบสิ?”
