“น้ำแกงผักนี่เค็มไปหน่อยนะ” ราชครูดื่มเข้าไปคำหนึ่งก็บ่นขึ้น
เฉินโย่วใช้ช้อนคันเล็กของนางตักขึ้นชิม แล้วลิ้มรสอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นจึงส่ายหน้าไปมา
ราชครูเห็นผมทรงลูกนกของนางส่ายไปส่ายมา ช่างน่ารักนัก
“ท่านอาจารย์ รสชาติมันก็ไม่เค็มสักหน่อย กำลังดีเชียว พี่ชายบอกว่า บนเขาลูกนี้ล้วนมีแต่คนทำงาน ดังนั้นจึงต้องกินเค็มเสียหน่อย ที่ท่านอาจารย์กินแล้วเค็มเพราะต้องไม่ค่อยทำงาน ทั้งยังว่างเกินไปเป็แน่”
ราชครู “......”
เขาต้องมาปะทะคารมกับเ้าเด็กปีศาจนี่ทุกวัน มีเวลาว่างเสียที่ไหนกัน แค่นี้ก็ยุ่งจนจะตายอยู่รอมร่อ
ทว่าเมื่อเขาคิดถึงชีวิตของตนในปัจจุบัน ก็อดจะทอดถอนใจไม่ได้
เมื่อก่อนยามดื่มน้ำแกงรังนกนั้นเขาก็เพียงแค่ดื่มๆ ไปไม่เคยรู้ว่ามันมีรสชาติเช่นใด บัดนี้แม้แต่น้ำแกงผักป่าถ้วยหนึ่งเขายังตั้งอกตั้งใจลิ้มรส ทั้งบัดนี้ยังต้องมาพิจารณาความเค็มความจืดของมันอีก
ยามนี้ก็ได้แต่กินหมั่นโถวลูกขาวเข้าไปให้มันช่วยล้างความเค็มในปาก
แต่ก็เอาเถอะ ความรู้สึกเช่นนี้ก็ไม่แย่นัก
ราชครูนั้นเพิ่งค้นพบว่าร่างกายที่อ่อนแอของเขาตามแบบของคนตระกูลจ้งนั้น บัดนี้ดูเหมือนว่าั้แ่มาอยู่บนเขาลูกนี้ก็ไม่เป็เช่นนั้นอีก
เมื่อก่อนเดินเพียงไม่กี่ก้าวเขาก็เริ่มหอบแล้ว ทว่าตอนนี้สามารถวิ่งไล่เ้าเด็กปีศาจได้เป็ค่อนวัน
ราชครูเริ่มชอบการที่มีเด็กหญิงมานั่งกินข้าวเป็เพื่อนตนทุกวันเสียแล้ว เขาเพิ่งจะรู้ว่ายามมีเ้าเด็กคนนี้มากินข้าวด้วยนั้นทำให้เขากินอาหารได้มากขึ้น
กินอะไรก็อร่อย แม้แต่น้ำแกงผักป่าเขาก็ดื่มอย่างตั้งอกตั้งใจ ทั้งยังไม่กินอาหารเหลือตามใจอีก
ราชครูไปสอบถามมาว่ายามที่พี่ชายของเด็กหญิงที่ชื่ออาลู่เพิ่งจะแบกนางขึ้นมาบนเขานั้น ชีวิตช่างยากลำบากนัก สองคนพี่น้องในแต่ละวันมีหมั่นโถวลูกดำให้กินแค่มื้อเดียวเท่านั้น
เด็กหญิงก็กินเข้าไปอย่างว่าง่าย
“ท่านอาจารย์ วันนี้ไม่มีเรียนหนังสือ ท่านอยากจะไปเล่นด้วยกันกับข้าหรือไม่ ข้าให้เสี่ยวอวี้พาข้าบินขึ้นสูงๆ แต่ตกลงมาก็อาจจะเจ็บนิดหน่อย แต่วันนี้ร่มคันใหม่ที่ข้าทำคันใหญ่กว่าเดิมมาก ตกลงมาแล้วรับรองว่าไม่มีทางเจ็บ ท่านจะไปกับข้าหรือไม่” เฉินโย่วเมื่อกินอิ่มแล้วก็เงยหน้าขึ้นถามอาจารย์
ราชครู “......”
ให้ร่มใหญ่เสียยิ่งกว่านี้ข้าก็ไม่ไป ดิ่งลงมาจากบนฟ้า มันคือการละเล่นอะไรกัน คงจะมีแค่ลูกนกเท่านั้นที่อยากจะดิ่งลงมาเช่นนี้เพื่อฝึกให้ปีกแข็งแรง เ้าปีศาจนี่เป็แค่เด็กหญิงคนหนึ่งจะเล่นอะไรเช่นนี้ไปเพื่ออะไร
“ไม่ไป ขาอาจารย์ไม่ค่อยจะดี คงเล่นเป็เพื่อนเ้าไม่ไหว” ใบหน้าจริงจังของชายชราเอ่ยตอบเด็กหญิง
เฉินโย่วนั่งลงครุ่นคิดครู่หนึ่ง จากนั้นก็พูดต่อว่า “เช่นนั้นอาจารย์ก็ลงจากเขาไปเที่ยวกับข้าด้านล่างดีหรือไม่ ไปเที่ยวด้านล่างนั้นสนุกนัก มีคนแปลกๆ มากมาย ของกินอร่อยๆ ก็เยอะเช่นกัน”
ร่างของราชครูเมื่อได้ยินเขาว่าลงจากเขาก็พลันสะท้านขึ้นมา
ทุกวันได้แต่แสร้งทำเป็พูดเรื่อยเปื่อยไปเรื่อยเพื่อถามข่าวคราว รู้มาว่าด้านล่างนั้นเหล่าคนที่ไล่ล่าเขานั้นยังคงป้วนเปี้ยนไม่เลิกรา
กล่าวกันว่ากำลังตามหาชายชราเครายาวผมขาวคนหนึ่งอยู่
โชคดีที่เขานั้นฉลาด จึงได้โกนเคราทิ้งไปแล้ว
กระทั่งผมขาวของเขา เขาก็รู้สึกว่า่นี้เหมือนมันจะดำขึ้นมาสักหน่อยแล้ว แม้ว่าเขานั้นจะดื่มแค่ชาขมๆ และกินแต่อาหารรสอ่อน ทว่าเขาก็ดูมีชีวิตชีวานัก
เขาไม่มีทางลงจากเขาอย่างแน่นอน
“แม้วันนี้จะเป็วันพักอาบน้ำ แต่การบ้านที่ข้าสั่งให้เ้าทำนั้นเ้าทำเสร็จหรือยัง พรุ่งนี้ข้าจะเรียกตรวจแล้ว” ราชครูด้วยความที่ไม่อยากลงจากเขา จึงแสร้งขรึมถามเด็กหญิง
เฉินโย่วพยักหน้าอย่างรู้ความ “ทำเสร็จแล้วเ้าค่ะ เพื่อวันนี้จะได้ไปเล่นอย่างสบายใจ เมื่อคืนข้าจึงเร่งทำจนเทียนมอดเชียวนะเ้าคะ พี่ชายบอกว่าท่านโหดร้ายนัก จัดการบ้านอะไรมากถึงเพียงนี้ เขายังบอกอีกว่าอยากจะมาเปิดใจกับท่านอาจารย์สักหน่อยเ้าค่ะ”
ราชครู “......”
“เ้าเพิ่งจะเริ่มเรียน ยังมีเื่ที่ยังไม่รู้อีกมาก ดังนั้นข้าจึงให้การบ้านเ้ามากหน่อย การบ้านนั้นสั่งไว้เพื่อให้เ้าทำวันนี้ หากเ้าทำวันนี้ย่อมจะไม่ต้องเหนื่อยถึงเพียงนั้น”
ราชครูนั้นไม่อยากเปิดใจกับเด็กหนุ่มแม้แต่น้อย ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด เ้าเด็กหนุ่มนั่นก็ดูรูปงามแท้ๆ ดูแล้วน่ามองกว่าเ้าอ้วนดำที่แบกลูกเล็กนั้นมากโข ทว่ายามอยู่ด้วยเขากลับรู้สึกไม่สบายใจนัก
นอกจากเ้าเด็กหนุ่มนั่น ยามเขาอยู่กับชายคนที่คนอื่นเรียกกันว่าท่านหวังหรือนายท่านสาม เขาก็รู้สึกไม่สบายใจเช่นกัน
ท่านหวังนั้นก็ดูเป็คนสุภาพเรียบร้อยดี เพียงแต่คิ้วนั้นหายไปครึ่งหนึ่งเท่านั้น จึงทำให้ดูแปลกสักหน่อย ทว่าเขาก็ยังรู้สึกชอบท่านหวังคนนั้นอยู่ดี
ว่าไปแล้วบนเขาลูกนี้คนที่เขาวางใจที่สุดก็น่าจะเป็เ้าเด็กปีศาจ ยามอยู่ด้วยกันกับนางก็รู้สึกวางใจนัก
“แต่วันนี้มันวันพักอาบน้ำนี่นา หากทำการบ้านในวันนี้ จะไม่นับว่าขัดต่อเจตนารมณ์ของการพักหรือท่านอาจารย์” เฉินโย่วเงยหน้าขึ้นถามท่านอาจารย์ด้วยความสงสัย
ราชครู “......”
เขานั้นไม่รู้จะสรรหาคำไหนมากล่าวแล้วจริงๆ
“เ้าไปเล่นเถิด วันนี้มันวันหยุดอาบน้ำ อาจารย์ไม่อยากเห็นหน้าเ้าแล้ว วันหยุดแล้วยังต้องมาสอนเ้าอีก จะเป็การขัดต่อเจตนารมณ์ของการพักผ่อนได้”
เอาเถิด เมื่อเห็นอาจารย์ไม่อยากเล่นกับตน นางจึงได้แต่ออกไปลำพัง
ในวันหยุดอาบน้ำนั้น พี่ชายและพี่เสี่ยวอู่ลงจากเขาไปั้แ่เช้า พี่สวินวันนี้ก็ลงเขาไปแล้วเช่นกัน บอกว่าจะไปดูที่ด่านเก็บเงินสักหน่อย
ความจริงแล้วแม่นางหลัวนั้นยังอยู่บนเขา ทว่าเฉินโย่วยอมมาอยู่เป็เพื่อนอาจารย์ ยังดีกว่าไปอยู่กับน้าหลัวของนาง ด้วยตอนนี้นั้นน้าหลัวกำลังพยายามปรับกิริยาท่าทางของนางอยู่ เมื่ออยู่ด้วยแล้วจึงทรมานใจนัก
ทุกวันยามเช้าต้องเรียนอยู่กับท่านอาจารย์ พอตกบ่ายก็ต้องไปเรียนกับน้าหลัว
วันหยุดอาบน้ำนั้นไม่ต้องเรียนรู้อะไร
เฉินโย่วจึงเตรียมไปชวนอาปาให้มาเล่นกับตนแทน
ส่วนราชครูนั้นเตรียมตัวจะอ่านตำราสงบๆ ในห้อง
ทว่าเมื่อเขามองไปนอกหน้าต่าง ก็เห็นเงาแผ่นหลังเดียวดายของเด็กหญิง ไม่รู้เหตุใดจึงรู้สึกว่าช่างดูอ้างว้างนัก เขาปฏิเสธนางเช่นนี้ ในใจก็เกิดความรู้สึกว่าตนนั้นทำไม่ถูก
ทว่าเมื่อคิดว่าเ้าเด็กนั้นอยากเล่นบินสูงๆ อะไรนั่นของนาง ร่างกายเขาก็พลันสะท้านขึ้นมา คิดว่าตนอ่านตำราต่อคงจะดีกว่า
บ้านเขาไม่ว่าหนังสืออะไรก็ล้วนมี ไม่รู้ว่าพ่อค้าคนใดที่สัญจรเส้นทางนี้แล้วแบกตำราที่แสนยุ่งวุ่นวายเช่นนี้ไปแคว้นจิงกับตนด้วย
ในสามแคว้นนั้นแคว้นจิงนับว่าแร้นแค้นที่สุด พื้นที่ใหญ่สุดในแคว้นเป็พื้นที่แห้งแล้ง ประชากรจึงน้อย ทั้งยังป่าเถื่อนที่สุด จึงได้กลายมาเป็ผู้ผลิตอาวุธแต่เพียงผู้เดียว ร่ำลือกันว่าแคว้นจิงนั้นมีดินดำคุณภาพดีชนิดหนึ่ง สามารถเอามาหลอมทำอาวุธได้ ซ้ำยังทนทานนัก
พ่อค้าประเภทใดกันที่จะเอาตำราไปแลกอาวุธ
ราชครูรู้สึกว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้อง แต่ก็บอกไม่ได้ว่าตรงไหน
ถึงอย่างไรเสียบนเขาก็นับว่ามีหนังสือมากมายนัก ที่ราชครูสามารถอ้างว่าตนเคยอ่านตำรามาแล้วทั้งโลกได้ ก็เพราะแคว้นเชินนั้นมีหอตำราที่ยิ่งใหญ่ที่สุด
ทว่ายามอยู่บนเขานี้ กลับมีหนังสืออีกมากมายนักที่เขายังไม่เคยอ่าน
ตำรายาเล่มนี้น่าสนใจนัก สามารถใช้หญ้าหลากหลายชนิดมาทำยาได้ ไม่ว่าจะมีพิษหรือไม่มีพิษก็สามารถใช้ได้ ราชครูจึงอยากอ่านอย่างละเอียดและสงบเงียบสักหน่อย
ราชครูเปิดหนังสือขึ้นก็เห็นส่วนที่อธิบายต้นหลานเฉ่าไว้ ด้านในยังวาดภาพใบที่ชี้อยู่ของต้นหลานเฉ่าไว้ ดูแล้วช่างราวกับมีชีวิต
ราชครูเห็นแล้วก็คิดถึงผมบนศีรษะเด็กหญิง
ยิ่งดูก็ยิ่งเหมือน
โอ้!
ราชครูปิดหนังสือ แล้วผลักประตูออกไปจากห้องทันที
ด้านนอกนั้นทัศนียภาพกลางแสงตะวันที่เจิดจ้าช่างดูงดงาม
เฉินโย่วเมื่อเห็นท่านอาจารย์เดินมาก็พลันดีใจ
“ท่านอาจารย์ ท่านจะไปเล่นกับข้าหรือ”
ราชครูพยักหน้าอย่างจนใจเบาๆ
จากนั้นจึงกล่าวต่อ “แต่ไม่ขึ้นฟ้านะ”
“ได้เ้าค่ะ ไม่บินสูง ข้าพาท่านไปขี่ม้าดีกว่า ขี่ม้าก็สนุกราวกับได้บินขึ้นฟ้าเช่นกัน”
ราชครูเมื่อได้ยินคำว่าบิน ก็คิดอยากจะหมุนกายกลับนัก
ทว่ามือของเขานั้นกลับถูกมือคู่น้อยของเด็กหญิงที่ยื่นออกมาก่อนคว้าเอาไว้แน่น
ราชครูรู้สึกว่าฝ่ามือของตนนั้นเริ่มมีเหงื่อผุดเสียแล้ว
เขาจำได้ว่ายามเขายังเล็กมาก การเข้าวังครั้งแรกนั้นช่างน่าหวาดกลัวนัก ยามนั้นคิดอยากจะจับมือของท่านอาจารย์ไว้ ทว่ากลับถูกอาจารย์สะบัดออกเสีย
ต่อมาที่เขามีศิษย์ของตัวเอง แม้ว่าศิษย์ของเขาจะยังเล็กนัก ทว่าก็ไม่เคยยื่นมือมาจับมือเขาเลยสักครั้ง
ทว่าบัดนี้มืออ้วนๆ อุ่นๆ ของเ้าเด็กปีศาจกำลังจับมือเขาอยู่
ราชครูเมื่อโดนจับมือเช่นนี้ก็ทำอะไรไม่ถูก ได้แต่เดินไปพร้อมนาง
วันนี้ชาวบ้านบนเขานั้นดูบางตานัก
ตลอดทางแทบจะไม่เจอใคร
เฉินโย่วจูงมืออาจารย์เดินไปะโไปพร้อมๆ ตน
ถนนกระดูกที่เขาเคยรู้สึกว่าแสนจะเกินทนนั้น บัดนี้ก็เหมือนจะเดินแล้วมีความสุขขึ้น
“ท่านอาจารย์ ท่านเคยเห็นองค์หญิงหรือไม่ คนข้างล่างเล่ากันว่าองค์หญิงนั้นเก่งกาจนัก เก่งที่สุดเลย เก่งไปเสียทุกเื่ด้วย ทั้งยังบอกด้วยว่าองค์หญิงงดงามมาก งามที่สุด งามราวกับนางฟ้าลงมาจุติ แต่ว่านางฟ้าคืออะไรกันหรือ” บนถนนกระดูก เสียงเล็กๆ ค่อยๆ พูดดังขึ้นดังขึ้นทีละประโยค