พลบค่ำมาเยือนแล้ว ท้องฟ้าด้านนอกเริ่มมืด ทว่าเสี่ยวอวี้ยังคงไม่รู้สึกตัว ร่างของนางถูกย้ายไปวางไว้ห้องครัวเนื่องจากภายในเรือนมีเพียงหนึ่งห้อง เสี่ยวถังจึงขอตัวไปดูแลอีกฝ่ายถึงอย่างไรก็เป็เหมือนพี่น้องกัน
เมื่ออากาศเริ่มเย็นซูจินก็อาสาออกไปหาฟืนมาก่อไฟ จากนั้นนางก็นำเตาถ่านมาวางไว้มุมห้องเพื่อคลายหนาวให้จ้าวเหม่ยหลิน
“คุณหนูง่วงหรือยังเ้าคะ” ซูจินเอ่ย ก่อนเดินเข้าไปเตรียมที่นอนให้คุณหนูจ้าว
“ง่วงแล้ว” จ้าวเหม่ยหลินกลัวว่าอีกฟากหนึ่งพ่อกับแม่อาจจะกำลังเฝ้ารอลูกสาวคนเดียวของพวกเขากลับบ้านด้วยความรักและความคิดถึง นางจึงเข้านอนเร็วกว่าเวลาปกติ
“เ้าค่ะ” ซูจินมองนายสาวของตนด้วยสายตาอ่อนโยน นางรู้สึกเวลานี้จ้าวเหม่ยหลินดูมีความสุขมากกว่าที่ผ่านมา นางจึงอดยิ้มไม่ได้
จ้าวเหม่ยหลินเข้านอนแล้ว ซูจินก็นอนลงบนเสื่อผืนบางข้างผู้เป็นาย นางคอยลุกขึ้นเป็ระยะเพื่อเติมฟืนลงในเตาให้ความอบอุ่นคงอยู่ตลอด คุณหนูจ้าวต้องหลับอย่างสงบปราศจากความหนาวและความหวาดกลัว
เช้าวันใหม่มาถึงแล้ว จ้าวเหม่ยหลินลืมตาตื่นขึ้นพร้อมความหวัง ทว่าสิ่งที่พบกลับไม่ใช่เตียงนุ่มสีขาวในห้องนอนของนาง แต่ยังคงเป็เรือนเก่าทรุดโทรมในเมืองโบราณ
นางแทบอยากจะกรีดร้องเต็มเสียงระบายอารมณ์แล้วอาละวาดต่อ์ให้สมกับความคับแค้น แต่เมื่อนั่งคิดดูแล้วก็เปล่าประโยชน์นั่นไม่สามารถพานางกลับบ้านได้ คงต้องทิ้งชื่อหลินหลินเสียแล้ว
“หรือจะหลับไม่สนิท?” จ้าวเหม่ยหลินพึมพำกับตัวเอง
“เมื่อคืนหลับไม่สนิทหรือเ้าคะ?” ซูจินเอ่ยถามอย่างห่วงใย ขณะยื่นอ่างน้ำล้างหน้าให้จ้าวเหม่ยหลิน
“ไม่เป็ไร ข้าโอเค เ้าออกไปช่วยเสี่ยวอวี้กับเสี่ยวถังทำความสะอาดด้านนอกเถอะ” น้ำเสียงของจ้าวเหม่ยหลินราบเรียบ ดูเหมือนว่าสองสาวใช้จะเริ่มเชื่อฟังนางมากขึ้นแล้ว
“เ้าค่ะ” ซูจินรับคำอย่างนอบน้อม ก่อนจะเดินออกไป
“หรือจะเป็อย่างที่ข้าคิด” จ้าวเหม่ยหลินจำได้ว่าก่อนลงมือเขียนนิยายทุกครั้ง นางมักจะดื่มเพียงเล็กน้อยเพื่อให้ผ่อนคลาย ครั้งนี้ก็คงไม่ต่างกันอาจต้องพึ่งสุราหลายไหให้หลับลึกเสียก่อน
เมื่อคิดได้เช่นนั้น จ้าวเหม่ยหลินจึงสั่งให้สาวรับใช้ทั้งสามมาคุกเข่าเรียงหน้ากระดานอยู่ตรงหน้า พร้อมใบหน้าปรากฏรอยยิ้มเ้าเล่ห์ ร่างนี้เป็ถึงลูกขุนนางคงมีเงินส่งมาไม่น้อย
“ส่งเงินมา” ร่างเล็กกล่าวเสียงเรียบ ในมือมีท่อนไม้ นางใช้มันเคาะลงบนโต๊ะเป็จังหวะ
เพียงไม่นานเงินทั้งหมดก็อยู่ในมือของจ้าวเหม่ยหลิน
“คุณหนูเ้าคะ ฮูหยินรองส่งเงินมาให้แค่บางครั้งบางคราว หากคุณหนูนำเงินทั้งหมดนี้ไปเที่ยวเล่น พวกเราจะไม่มีข้าวกินนะเ้าคะ” เสี่ยวอวี้รีบอธิบายด้วยน้ำเสียงที่สั่น
จ้าวเหม่ยหลินเพียงยิ้มบาง ก่อนเอ่ยเบาๆ “อย่าห่วง ข้าจะใช้มันอย่างคุ้มค่าแน่นอน” กล่าวจบก็หันไปถามซูจินด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น “ว่าแต่…ที่นี่มีร้านที่ผู้ชายเยอะๆ ไหม? อย่างเช่นบาร์โฮสต์อะไรทำนองนั้นน่ะ”
ซูจินทำหน้าฉงนอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะตอบเสียงแ่ “เอ่อ…มีเพียงหอบุปผาเ้าค่ะ”
“อย่างนั้นหรือ? บอกทางให้ข้าได้ไหม?”
ซูจินลังเลเล็กน้อยก่อนตอบ “ที่นั่นมีแต่บุรุษนะเ้าคะ”
จ้าวเหม่ยหลินใช้เวลากว่าชั่วโมงในการเค้นเส้นทางจากปากซูจิน เพราะแม้จะได้แผนที่มาแต่ด้วยความที่นางจำเส้นทางไม่เก่งนัก จึงต้องเดินตามลายเส้นคดเคี้ยวที่ซูจินวาดให้ทีละก้าวอย่างระมัดระวัง
เมื่อมาถึงจุดหมายนางพบว่าที่นี่คือหอนางโลมอย่างไม่ผิดเพี้ยน เสียงหัวเราะหวานแว่ว เสียงพิณเจื้อยแจ้ว และกลิ่นน้ำหอมลอยตลบอบอวลไปทั่ว
แน่นอนว่าหญิงสาวไม่อาจเข้าไปในสภาพนี้ได้ หากมาในฐานะหญิงย่อมไม่มีผู้ใดมาปรนนิบัติ นางจึงแวะร้านเสื้อผ้าใกล้ๆแล้วเลือกชุดบุรุษมาเปลี่ยน ก่อนจัดทรงผมให้ดูเรียบร้อย
เมื่อแต่งองค์ทรงเครื่องเสร็จ จ้าวเหม่ยหลินในคราบชายหนุ่มดูหล่อเหลาราวกับคุณชายจากตระกูลขุนนางที่เพิ่งสอบได้ตำแหน่งจอหงวนมา ใบหน้าหวานแฝงรอยยิ้มเ้าชู้ ยิ่งทำให้บรรดานางโลมทั้งหลายต่างพากันกรี๊ดเสียงแ่หวานแย่งกันเข้ามาดึงแขนนาง
“คุณชายมีนามว่าอะไรเ้าคะ?” หญิงสาวคนหนึ่งในชุดสีแดงสดเอ่ยถาม น้ำเสียงออดอ้อนเย้ายวน ดวงตาโฉบเฉี่ยวประหนึ่งจะแย่งิญญาไปครอง
จ้าวเหม่ยหลินหัวเราะเบา ๆ พร้อมโอบเอวสาวน้อยเอาไว้ “เรียกข้าว่าอาหลินก็แล้วกัน”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น พวกนางก็เริ่มแนะนำสุราประจำหอที่เลื่องชื่อให้คุณชายหน้าใหม่ได้ลิ้มลอง จ้าวเหม่ยหลินได้ยินชื่อสุราแต่ละชนิดก็ตาเป็ประกาย รีบบอกให้พวกนางนำมาให้หมด แล้วสั่งเปิดห้องส่วนตัวทันที
คืนนี้นางตั้งใจจะเมาแล้วหลับ เพื่อหาทางกลับบ้านอีกครั้ง
เวลาผ่านไปจนล่วงเข้ายามดึก สุราที่จ้าวเหม่ยหลินดื่มไปเริ่มแผลงฤทธิ์ ใบหน้าของนางแดงเรื่อด้วยฤทธิ์เมา แม้จะดื่มมากแต่นางก็คอแข็งพอตัวจึงลุกขึ้นจ่ายค่าสุราก่อนจะออกจากหอบุปผา
จ้าวเหม่ยหลินเดินตามทางเปลี่ยวมืดไม่มีแม้แต่เงาคน นางผ่านซอยเล็กซอยน้อยเริ่มรู้สึกระแวงขึ้นมา ไม่ทันที่จะคิดชายวัยกลางคนหนึ่งก็โผล่ออกมาจากมุมมืดแล้วชักดาบขึ้นมาจี้ที่ลำคอขาวของคนตัวเล็ก
“ส่งเงินทั้งหมดมา!” เสียงห้าวแหบเต็มไปด้วยความคุกคาม
จ้าวเหม่ยหลินสะดุ้งเล็กน้อย ก่อนจะถอนหายใจแรง นางเหลือเงินไม่มากอยู่แล้ว และก็ไม่แน่ใจว่าหอบุปผานั่นจะโกงค่าสุราหรือเปล่า
“ก็ได้ๆ เอาไปเถอะ” ร่างเล็กโยนเงินให้ แต่ยังไม่ทันที่ชายคนนั้นจะคว้าได้ ก็มีใครบางคนโผล่พรวดเข้ามา
“ปล่อยนาง” ชายหนุ่มตวัดดาบในมือปัดดาบของโจรตก แล้วกระชากคอเสื้อคนร้ายโยนออกไปจนกระเด็น
“เป็อะไรหรือเปล่า?” เขาหันมาถามเสียงนิ่ง
จ้าวเหม่ยหลินมองหน้าชายหนุ่ม แล้วต้องยอมรับว่าเขาหล่อมาก ถ้านี่คือโลกของนิยายชายผู้นี้ก็คงไม่น่าจะเป็ตัวประกอบ แถมยังฉลาดมองนางออกว่าเป็สตรีอีกด้วย
ทว่าสิ่งที่น่าใกว่าคือสายตาของเขากลับชะงัก เมื่อสบตากับจ้าวเหม่ยหลิน
“เ้ายังไม่ตาย?” เขาจำได้ว่าเป็นางที่นอนอยู่ในถุงผ้า แล้วเขาก็เป็คนสั่งให้นำนางมาทิ้งในหมู่บ้าน
จ้าวเหม่ยหลินเลิกคิ้ว คิดในใจว่าอาจจะเป็คนรู้จักของจ้าวเหม่ยหลินคนก่อน หรือไม่ก็อดีตคนรัก
“เ้าชื่ออะไร” ร่างเล็กเอ่ยถามด้วยความอยากรู้
ชายหนุ่มมองหน้านาง ก่อนจะตอบเสียงเรียบ “อาเจวี๋ย เป็ขอทาน”
“หืม? อายุเท่าไหร่” คนผู้นี้ต้องโกหกนางแน่ แต่ช่างเถอะคงไม่ได้พบกันอีกแล้ว
“ยี่สิบ”
จ้าวเหม่ยหลินพยักหน้าเบา ๆ ก่อนจะเอ่ยขอบคุณ แล้วหมุนตัวจะเดินกลับไปยังเรือนของตน ทว่าอีกฝ่ายกลับคว้าแขนนางไว้
“พรุ่งนี้…มาเจอกันอีกสักครั้งดีหรือไม่?”
นางหันไปมองเขา พลางเลิกคิ้ว “เ้าจะจีบข้าหรือ?”
ชายหนุ่มทำหน้างุนงง
“หมายถึง…เ้าจะเกี้ยวข้าหรือเปล่า?”
“เปล่า ตอนที่ช่วยเ้า ข้าลื่นรองเท้าของข้าขาด เ้าต้องรับผิดชอบ”
“…” จ้าวเหม่ยหลินเงียบไปนานสองนาน ก่อนชี้ไปที่ถุงเงิน “นั่นเงิน”
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้