คุณหนูลูกขุนนางทั้งหลายต่างก็แอบมองมาทางนี้ ถึงแม้องค์ชายสามจะทั้งตาบอด ทั้งพิการ ไม่มีใครยินดีจะแต่งกับเขา แต่เื่นี้ก็ไม่ได้มีผลกับคุณหนูที่อายุเพิ่งจะพ้นวัยบรรลุนิติภาวะมาและหลงใหลรูปลักษณ์ของเขา
ซูิเยว่เดาะลิ้น ช่างเป็คนที่หน้าตาดีมากจริงๆ มองดูแล้วสะดุดตามากๆ
สายตาของหลิงชวนมองไปรอบๆ เหมือนกำลังหาอะไรอยู่ เพียงครู่เดียวก็มองมาทางซูิเยว่ ต่อมาก็โน้มตัวลงไปพูดกับจี๋โม่หาน ก่อนที่เขาจะหันมามองทางนี้
ซูิเยว่พยักหน้าเล็กน้อยไปทางหลิงชวน ซึ่งหลิงชวนเองก็พยักหน้ารับ
ต่อมาทุกคนก็เริ่มนั่งบนเสลี่ยงมุ่งหน้าเข้าไปร่วมงานเลี้ยงวันเกิดที่จัดอยู่ที่วังหลัง
งานวันเกิดไทเฮาในวันนี้จัดอยู่ที่ตำหนักเหยาไถ คนที่รับผิดชอบภายในวังเป็คนนำทางอยู่ด้านหน้า ซูิเยว่นั่งอยู่บนเสลี่ยงรู้สึกเบื่อจึงมองพิจารณาไปรอบๆ
ไม่รู้ว่างานวันเกิดของไทเฮาจะนานแค่ไหน ถ้าหากเป็ไปได้ นางก็อยากจะสอบถามสถานการณ์ของเวินเยว่ในตอนนี้
เพียงครู่เดียวเสลี่ยงก็มาถึงเหยาไถ สถานที่ถูกจัดเอาไว้อย่างดี ตรงกลางเว้นที่ว่างเอาไว้โดยเฉพาะ ดูแล้วอีกเดี๋ยวคงมีการร้องรำทำเพลง
ซูิเยว่ไม่สนใจเื่พวกนี้ นางรู้ว่าสถานที่แบบนี้ปกติแล้วจะเป็่เวลาที่บุตรสาวของทุกคนออกมาแสดงตัว พวกนางเ่าั้จะต้องแย่งกันขึ้นไปแสดงแน่นอน
สถานที่ใหญ่มาก สามารถรองรับคนได้เป็ร้อยโดยไม่มีปัญหา
ไทเฮายังไม่มา ฮ่องเต้ก็ยังไม่มา มีแค่นางกำนัลไม่กี่คนคอยเฝ้าอยู่ที่นั่น
คนในราชสำนักมารวมตัวกันจนครบแล้ว พวกเขาเข้าไปนั่งประจำที่ตามที่นางกำนัลนำทางไป
ตำแหน่งที่นั่งนี้ยึดตามลำดับน้อยใหญ่ในราชสำนัก ดังนั้นตำแหน่งที่นั่งของจวนสกุลซูจึงอยู่ในลำดับถัดจากตำแหน่งแรกเท่านั้น ถัดจากตำแหน่งของพวกเขาเว้นหนึ่งแถวห่างไปอีกสองที่ก็เป็ตำแหน่งของเจิ้นหนานโหว แน่นอนว่าซูิเยว่เห็นจ้าวอวี้ถิงแล้ว วันนี้นางยังคงสวมชุดลายดอกไม้ แต่งตัวงดงามสะกดใจ
ถึงแม้นางจะเห็นแล้วแต่ก็ทำเป็ไม่เห็น ไม่ได้เข้าไปทักทายอะไร
ซูิเยว่นั่งข้างซูโม่ บนโต๊ะวางขนมและสุรา นางไม่ได้ทานอาหารเช้ามา ตอนนี้จึงรู้สึกไม่สบายท้องมาก นางจึงหยิบขนมขึ้นมากัดช้าๆ
หลังจากที่ขุนนางมารวมกันครบแล้วก็ต่างพูดคุยกันเสียงไม่ดังมาก
มีขุนนางหลายคนเข้ามาทักทายซูโม่ มีคุณหนูของครอบครัวขุนนางกับบุตรชายชนชั้นสูงเข้ามาทักทายซูิเยว่ นางไม่สนิทกับพวกเขา แต่เพราะอยู่ในงานเลี้ยงจึงต้องตอบกลับไป
ความสัมพันธ์ของขุนนางพวกนี้นางรู้ดี พวกบุตรีและบุตรชายของขุนนางพวกนั้นมาทักทายนางคาดว่าเป็เพราะผู้ใหญ่ในครอบครัวสั่งให้มาผูกมิตรกับซูิเยว่ อย่างไรฐานะของซูโม่ก็อยู่ระดับสูง คนที่อยากจะมาเลียแข้งเลียขาก็เยอะ
ซูิเยว่สนใจทางเข้าออกงานอยู่ตลอด แต่จี๋โม่หานยังไม่เข้ามา
หลังจากรอมาได้ครู่หนึ่ง ทางเข้าประตูเหยาไถก็ปรากฏร่างหนึ่งขึ้น ในงานเลี้ยงเดิมทีเสียงดังล้งเล้งก็เงียบลงทันตา ทุกคนต่างหันหน้าไปมอง สายตาจ้องไปยังจี๋โม่หานที่ถูกเข็นเข้ามา
เขาหลับตา บรรยายกาศรอบกายดูสูงส่ง หลิงชวนเข็นรถเข็นมาหยุดอยู่ตรงหน้าซูิเยว่ เดิมทีตำแหน่งตรงข้ามที่ว่างมาตลอดก็คือที่นั่งของจี๋โม่หาน
เมื่อซูิเยว่เงยหน้าขึ้นมาก็เห็นจี๋โม่หานที่นั่งอยู่ตรงข้ามกัน เขาเองก็เหมือนจะรู้ตัวจึงหันมาทางนี้เช่นกัน
จนกระทั่งแขกมากันครบแล้วก็ยังไม่เห็นเงาขององค์ชายห้า คาดว่างานเลี้ยงวันเกิดของไทเฮาเขาก็คงจะไม่มาเสียแล้ว
แต่ไม่มาก็ดี องค์ชายห้าจะได้ไม่มาหาเื่นาง
ทุกคนรอมาได้เกือบครึ่งเค่อ [1] ถึงจะเห็นไทเฮาเหนียงเหนียงออกมาโดยมีเหล่านางกำนัลพยุง ไทเฮาอายุหกสิบกว่าปีแล้ว แต่รักษาตัวเองได้ดีมาก ดูแล้วหน้าตาอายุประมาณสี่สิบกว่าปี
นางสวมชุดหรูหรา ก่อนจะนั่งลงที่เก้าอี้เฟิ่งด้านข้างตำแหน่งประธานโดยมีนางกำนัลพยุงมาส่ง ไทเฮาในตอนที่ฮ่องเต้พระองค์ก่อนยังมีชีวิตอยู่เป็เฟยจื่อที่ได้รับความรักที่สุดรองจากฮองเฮา
หลังจากไทเฮานั่งลง ฮ่องเต้ถึงได้ถูกกงกงพยุงมา
เื่เมื่อไม่กี่วันก่อนที่ฮ่องเต้ถูกวางยาพิษ ถึงแม้จะปิดเื่ไปแล้ว แต่บรรดาขุนนางก็พอจะรู้เื่ไม่มากก็น้อย โชคดีที่พบทันเวลา ฮ่องเต้จึงไม่เป็อะไรมาก พักผ่อนสองวันอาการก็ดีขึ้นไม่น้อยแล้ว
เพียงแต่สีหน้าดูไม่ค่อยดีเท่าไร ใต้ตายังมีรอยคล้ำ เขานั่งลงที่ตำแหน่งประธานโดยมีกงกงช่วยพยุง
ขุนนางทุกคนต่างคุกเข่าลงพูดเสียงดัง “ฝ่าาทรงพระเจริญหมื่นปี ไทเฮาเหนียงเหนียงทรงพระเจริญหมื่นปี”
สีหน้าของฮ่องเต้ไม่ค่อยดีเท่าไร เวลาพูดก็ไม่ค่อยมีเรี่ยวแรง เขายกมือขึ้นน้อยๆ “ทุกคนลุกขึ้นมาเถิด”
ในงานเช่นนี้ไม่เห็นเงาของฮองเฮาเวินเยว่ เหล่าขุนนางที่รู้เื่ภายในก็ไม่ใกันเลยสักนิด ทุกคนต่างกำลังประเมิน สกุลเวินคาดว่าอีกไม่นานก็คงจะล่มสลาย พอต้นไม้ล้มพวกลิงค่างก็กระจายแยกย้ายกันไป [2] พวกตระกูลที่ติดต่อกับสกุลเวินั้แ่เมื่อก่อน ในตอนนี้นั้นคาดว่าคงจะอยากตัดความสัมพันธ์แล้ว
“ขอบพระทัยฝ่าา”
เหล่าขุนนางต่างพากันนั่งที่ตำแหน่งของตัวเองให้เรียบร้อย งานเลี้ยงจึงเริ่มขึ้นอย่างเป็ทางการ
ฮ่องเต้เริ่มกล่าวสุนทรพจน์ ความหมายก็คือให้ทุกคนไม่ต้องเกร็งหรือสงวนท่าที
ต่อมาก็เป็นางรำที่ในวังจัดหามาขึ้นเวทีเพื่อร้องรำเปิดงานเพิ่มความสนุกสนาน บรรยากาศภายในงานก็ครึกครื้นขึ้นมา เหล่าขุนนางเริ่มยกแก้วขึ้นมาชนและแลกเปลี่ยนพูดคุย มีขุนนางหลายคนต่างเข้ามาขอซูโม่ชนแก้ว
ซูิเยว่ที่นั่งอยู่ด้านข้างก็ไม่มีอะไรทำ นางจึงทานขนมกินเล่นไป บางครั้งก็เงยหน้ามองจี๋โม่หานที่อยู่ตรงข้าม
ส่วนจี๋โม่หานเองก็หยิบจอกสุราขึ้นมาจิบ นางไม่เคยเห็นเขาดื่มสุรามาก่อน ถึงแม้จี๋โม่หานจะดื่มสุราเข้าไป ทว่าผิวขาวๆ ของเขากลับไม่มีสีแดงเืฝาดขึ้นมา
ในตอนนี้เอง จ้าวอวี้ถิงที่อยู่โต๊ะถัดไปอีกสองแถวก็ยกจอกสุราเข้ามาและเดินมาหยุดตรงหน้าซูิเยว่ จากนั้นก็เอ่ยเรียกอย่างสนิทสนม “ิเยว่ ไม่เจอกันนานเลยนะ”
ทั้งสองคนทักทายพูดคุยกันไม่กี่ประโยค ซูิเยว่ก็เริ่มทำท่าทางไม่ค่อยสนใจ จ้าวอวี้ถิงเองก็จนใจ ทำได้แค่ถอยกลับไปนั่ง
หนึ่งเพลงจบไป บรรยากาศในงานเลี้ยงก็ครึกครื้นตามไปด้วย
ต่อมาก็เป็่มอบของขวัญให้กับไทเฮา ใน่นี้มักเป็่เวลาที่เหล่าขุนนางจะแสดงความร่ำรวยของครอบครัวตัวเองให้เห็น ใครกันจะไม่อยากให้ของขวัญของตัวเองดึงดูดสายตาคน ใครเล่าไม่อยากจะได้รับการยอมรับจากฮ่องเต้
เหล่าขุนนางต่างพากันทยอยเข้าไปมอบของขวัญจนเต็มไปหมด ของแต่ละอย่างราคาแพงหูฉี่จนไม่อาจประเมินค่าได้
ใบหน้าของไทเฮาประดับด้วยรอยยิ้มอยู่ตลอด ดูแล้วอารมณ์ดีไม่เลวเลย นางให้นางกำนัลข้างกายเก็บของขวัญเข้าไป
ทว่าของขวัญพวกนี้ แพงมันก็แพงอยู่หรอก แต่ก็ไม่มีอะไรแปลกใหม่ อย่างไรในวังก็มีทุกอย่าง ดังนั้นไทเฮาจึงไม่รู้สึกมีอะไรที่ชอบมากเป็พิเศษจนต้องมองหลายที
ั้แ่ต้นจนตอนนี้ฮ่องเต้ก็นั่งพิงเก้าอี้ัด้วยใบหน้าเบื่อหน่าย เขามองเหล่าขุนนางที่มามอบของขวัญด้วยแววตาเรียบนิ่ง
เชิงอรรถ
[1] 1 刻钟 = ประมาณ 15 นาที
[2] 树倒猢狲散 ภาษาไทย คือ เมื่อต้นไม้ล่ม พวกลิงค่างชะนีก็แยกย้ายกันไปคนละทิศละทาง อุปมาว่าเมื่อผู้มีอำนาจล้มเหลวหรือหมดอำนาจไป พวกลูกน้องก็จะตีตัวออกห่างไป