หลังจากทุกคนในคณะงิ้วเข้าไปแล้ว หนีเจียเอ๋อร์ก็ก้มหน้าก้มตาทำตัวเสมือนผู้ติดตาม เดินตรงดิ่งไปที่จวนอย่างหน้าตาเฉย
ยามเฝ้าประตูคิดว่านางเป็คนของคณะงิ้ว จึงปล่อยให้เข้าไปโดยไม่ไถ่ถาม
ทันทีที่หนีเจียเอ๋อร์ผ่านประตูเข้ามา นางก็แสร้งย่อตัวลงนั่ง ทำเป็ยุ่งอยู่กับรองเท้าถุงเท้าตัวเองอยู่นาน จนกระทั่งทุกคนในคณะงิ้วเดินทิ้ง่ไปไกล จึงลุกขึ้น แล้วเดินเลี่ยงไปอีกทาง
วันนี้เป็วันที่เว่ยฉีหรานและผู้ติดตามจะมาเยือน ดังนั้นทั้งบริเวณรอบนอกและภายในจวน จึงคลาคล่ำไปด้วยผู้คน บรรดาบ่าวรับใช้และผู้คนจากที่ต่างๆ พากันเดินขวักไขว่ หนีเจียเอ๋อร์จึงไม่เป็ที่ผิดสังเกตแต่อย่างใด
เพียงแต่ ‘บุรุษ’ ผู้นี้มีใบหน้างดงามเกินไป ทั้งยังรูปร่างสะโอดสะองบอบบาง ดูไม่ต่างจากสตรีผู้หนึ่ง แต่โดยรวมแล้วก็ดูดีมาก จนผู้คนอดมิได้ที่จะเหลียวมองสักครา
หนีเจียเอ๋อร์แฝงตัวเข้าไปพร้อมคนจากคณะงิ้ว และฉวยโอกาสเดินลัดเลาะไปที่จุดอื่นๆ เมื่อมาถึงห้องครัว ก็โปรยบางอย่างซึ่งไร้สีไร้กลิ่นลงไปในบ่อน้ำ พอเดินไปยังสวนหลังบ้าน ก็ตะล่อมถามสาวใช้ตัวน้อย ว่าประตูหลังของจวนจวิ้นโส่วอยู่ที่ใด
จากนั้น ระหว่างที่คนของคณะงิ้วกำลังจัดเตรียมเวที หญิงสาวก็จุดเพลิงกองเล็กๆ ไว้ในห้องด้านข้าง เป็การดึงดูดความสนใจของผู้คน เพื่อซื้อเวลาให้ตนได้เข้าไปหลบอยู่ใต้เวที ซึ่งถือเป็ที่ซ่อนตัวชั้นดี ด้วยความที่เวทียกสูงพอสมควร จึงต้องใช้บันไดเดินขึ้นลง ทั้งยังมีม่านผ้าสีแดงห้อยปิดลงมาโดยรอบ สามารถพรางสายตาผู้คนภายนอก มิให้มองเห็นสิ่งที่อยู่ด้านในได้
ขณะเดียวกัน จวิ้นโส่วพร้อมคนในครอบครัว ก็ไปรวมตัวกันที่หน้าจวนอยู่นานแล้ว เพื่อรอการมาถึงของเว่ยฉีหราน
กระทั่งคณะของเว่ยฉีหรานมาถึง จึงเห็นได้ชัด ว่าสีหน้าของจวิ้นโส่วนั้นมิได้เต็มใจจะต้อนรับอีกฝ่ายนัก เพียงทำตามธรรมเนียมอย่างลวกๆ พอเป็พิธีเท่านั้น
แต่ไม่ว่าจะเป็ขุนนางในราชสำนัก หรือพระญาติฝ่ายต่างๆ มีใครบ้างที่ไม่เกรงกลัวเว่ยฉีหราน... แล้วใครเล่า จะเอาชีวิตไปเสี่ยงโดยการเป็ศัตรูกับเขา?
พอเว่ยฉีหรานมาถึง จวิ้นโส่วก็สงวนวาจาและท่าที แม้แต่กับศิษย์ผู้ติดตามเว่ยฉีหราน ก็ยังได้รับการปฏิบัติอย่างดีในฐานะแขก ด้วยเกรงว่าหากไม่รับรองให้ดี คงจะเป็การแกว่งเท้าไปหาเื่บรรดาเทพผู้ชั่วร้ายเ่าั้
หลังจากเชิญแขกไปร่วมจิบชาและพักผ่อนในห้องโถง จวิ้นโส่วก็เชิญเว่ยฉีหรานไปชมการแสดงที่ลานหน้าจวน
ที่พวกเขาจ้างคณะงิ้วสกุลเหมย ก็เพราะได้ยินมาว่า เว่ยฉีหรานโปรดปรานการแสดงของงิ้วคณะนี้มากจึงอยากจะเอาใจเขา
พอเว่ยฉีหรานมาถึงลานหน้าจวนและนั่งลงบนเก้าอี้ประธาน แขกคนอื่นจึงค่อยๆ นั่งลง
ทันทีที่ส่งสัญญาณให้เริ่มได้การแสดง ม่านก็ค่อยๆ เปิดออก บรรดานักแสดงทยอยกันขึ้นไปบนเวที ดนตรีเริ่มบรรเลงเพลงโหมโรง โดยมีเสียงกังวานใสของเหมยอี่เหลียนเปิดทาง จากนั้น เสียงปรบมือเกรียวกราวก็ดังตามมา
“ดี!” เว่ยฉีหรานปรบมือ ทั้งยังเอ่ยชื่นชมด้วยความพึงพอใจ
จวิ้นโส่วปาดเหงื่อเย็นๆ บนหน้าผากอย่างโล่งอก
ขณะที่แขกคนอื่นๆ ไม่กล้าพูดอันใด แต่เมื่อได้ยินเสียงคนปรบมือนำ พวกเขาก็ไม่อาจระงับความชื่นชมที่มีต่อเหมยอี่เหลียนได้อีก
แม้หนีเจียเอ๋อร์ที่อยู่ใต้เวที จะมองไม่เห็นสถานการณ์ภายนอก แต่ก็พอจะคาดเดาถึงตำแหน่งของเว่ยฉีหรานได้จากเสียง ดังนั้นจึงคว้ามีดขึ้นมากระชับไว้ในมือ
วันนี้ นางพร้อมที่จะเผชิญหน้ากับอีกฝ่ายแล้ว
ทันทีที่ได้ยินเสียงกลไกบนเวที หนีเจียเอ๋อร์ก็รู้ว่าเส้นเอ็นดึงม่านกำลังคลายตัว ทำให้ม่านสีแดงปิดลง จึงพุ่งร่างบอบบางออกไปโดยไม่ลังเล หมายจะแทงกระบี่ในมือเข้าไปที่อกของเว่ยฉีหราน
“ระวัง!” ผู้คนโพล่งออกมาพร้อมกัน
ด้วยระยะทางเพียงเจ็ดหรือแปดก้าว หนีเจียเอ๋อร์จึงทะยานไปถึงอย่างรวดเร็ว กำลังจะเข้าประชิดร่างเว่ยฉีหรานได้อยู่แล้ว ทว่าอีกฝ่ายกลับตบฝ่ามือลงบนโต๊ะ เพื่อส่งสัญญาณให้ผู้ติดตามร่อนตัวลงมาขวางหน้าเอาไว้เสียก่อน
ไป๋หาน อิ้นฮู่เว่ย และบรรดาศิษย์สำนักฝูเซิง ที่กำลังนั่งเรียงรายอยู่บนเก้าอี้ ต่างพากันลุกพรวดขึ้นมา
เห็นได้ชัด ว่างานเลี้ยงที่จวิ้นโส่วเชิญเว่ยฉีหรานมาร่วมดื่มชานั้น มิใช่จัดขึ้นอย่างไร้เป้าหมาย
หนีเจียเอ๋อร์รู้ดีว่าตนมิใช่คู่ต่อสู้ของเว่ยฉีหราน แม้ไม่อาจแตะได้แม้กระทั่งปลายผมเขา แต่ก็ยังดึงดันจะแทงมีดสั้นเล่มนั้นออกไป
เหมยอี่เหลียนไม่อาจทนเห็นอาหนีตายได้ จึงขว้างกระบี่ในมือไปที่เว่ยฉีหรานโดยไม่ลังเล
ด้วยฝ่ามืออันทรงพลังของเขา กระบี่ที่พุ่งตรงเข้ามาพลันถูกบีบแตกออกเป็เสี่ยงๆ จนเศษเหล็กคมๆ กระเด็นไปทั่วสารทิศ
หนีเจียเอ๋อร์จึงฉวยโอกาสโปรยพิษออกจากแขนเสื้อ แล้วหนีไปทางด้านหลังจวนอย่างรวดเร็ว
คนเฝ้าประตูรีบผุดลุกขึ้นหมายจะไล่ตาม แต่ร่างกายกลับอ่อนแรงเพราะต้องพิษ จึงได้แค่มองตามหลังนางไปเท่านั้น
เว่ยฉีหรานก็ได้รับพิษเช่นกัน ทว่า ด้วยกำลังภายในอันล้ำเลิศยิ่งกว่าผู้ใด อาการจึงกำเริบช้ากว่าคนอื่นๆ แต่ก็ยังต้องนั่งลงบนเก้าอี้อย่างแข็งขืนอยู่ดี
คงเพราะหนีเจียเอ๋อร์ยังมีประสบการณ์น้อยเกินกว่าจะวางยาพิษใคร ผงยาที่มีฤทธิ์ทำให้กล้ามเนื้ออ่อนแรงจึงระเหยไปอย่างรวดเร็ว เพียงหนึ่งก้านธูป ผู้ที่ได้รับพิษก็กลับมาแข็งแกร่งเป็ปกติ
เว่ยฉีหรานรีบออกคำสั่ง “ไป๋หาน พาคนของเราไล่ตามไป”
หลังไป๋หานนำคนออกไป เว่ยฉีหรานก็ค่อยๆ ลุกขึ้น พลางเหลือบไปมองจวิ้นโส่วด้วยแววตาเยือกเย็น แม้แต่เศษกระบี่ที่ปักคาไหล่ ก็ยังไม่ทำให้เขารู้สึกเหมือนจะตายได้เท่ากับสบสายตาคู่นั้น
จวิ้นโส่วไม่คาดคิดมาก่อน ว่าจะมีใครกล้าลอบทำร้ายเว่ยฉีหราน ดังนั้นจึงใส่ใจต่อการหาความสำราญในงานเลี้ยง เน้นกินดื่มให้อิ่มหนำ และเสพสุขกับเื่รื่นเริง มากกว่าจะเข้มงวดกวดขันในด้านความปลอดภัย
“แม่ทัพเว่ย ข้าน้อยสมควรตาย!”
“เช่นนั้น ก็ไปตายเสีย!” เว่ยฉีหรานพูดเบาๆ
ได้ยินเช่นนั้น จวิ้นโส่วก็เบิกตากว้างด้วยความตื่นตระหนก
แขกที่มาร่วมเฉลิมฉลองวันเกิด รู้สึกคล้ายพาตัวเองมาประเคนใส่ปากเสือ ดังนั้นจึงไม่กล้าเสี่ยงบุ่มบ่ามทำการใด ได้แต่รอให้เว่ยฉีหรานเอ่ยปาก
สายตาของพวกเขาจับจ้องไปที่อีกฝ่าย แต่เว่ยฉีหรานกลับมองไปยังเหมยอี่เหลียนครู่หนึ่ง ก่อนเดินจากไป
ความคิดของเขา พลันล่องลอยกลับไปเมื่อห้าปีก่อน...
เมื่อนึกถึงครั้งสุดท้าย ที่เขากับศิษย์น้องหญิงนั่งอยู่หน้าเวที เพื่อฟังเสียงของเหมยอี่เหลียนขับขานบทเพลง ‘ชีวิตไม่จีรังเป็ดั่งเพียงฝัน’
หลังจากนั้น ศิษย์น้องหญิงก็กล่าวขึ้นด้วยรอยยิ้ม “ศิษย์พี่ ในอนาคต หากเราสองคนได้แต่งงานกัน ข้าจะเขียนเื่ราวของเราเป็บทเพลง แล้วขอให้เหมยอี่เหลียนขับร้องให้ผู้คนทั่วทั้งเมืองฉีหรานฟัง พวกเขาจะได้รับรู้เื่ราวความรักของพวกเรา ดีหรือไม่?”
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้