เป็ไปตามที่หลินเฟิงได้คาดการณ์ไว้ น่าหลันเฟิงสามารถเอาชนะเหวินเจียงได้อย่างง่ายดาย ถึงแม้ว่าเหวินเจียงจะเป็ผู้ฝึกยุทธ์ระดับขอบเขตแห่งจิติญญาขั้นที่ 2 ซึ่งเหนือกว่าน่าหลันเฟิงหนึ่งขั้น แต่สุดท้ายก็ไม่อาจเอาชนะน่าหลันเฟิงได้
และั้แ่ต้นจนจบน่าหลันเฟิงก็ใช้เพียงเคล็ดวิชากำปั้นพระเ้า ซึ่งทรงพลังกว่าตอนที่น่าหลันเฉินใช้ไม่รู้กี่เท่า ทรงพลังราวกับสายฟ้า ทำลายล้างทุกสรรพสิ่ง เป็กำปั้นที่สมกับชื่อของมัน กำปั้นพระเ้า
ทุกหมัดที่น่าหลันเฟิงชกออกไปสามารถกดดันให้เหวินเจียงถอยหลังทุกก้าว อวัยวะภายในของเขาได้รับาเ็มากขึ้น ไม่สามารถที่จะสู้ต่อได้จำเป็ต้องยอมแพ้
“น่าหลันเฟิงเก่งกาจมาก บุตรสาวของท่านเ้าเมืองนี่ไม่ธรรมดาเลยจริงๆ ไม่มีใครสามารถต้านทานนางได้แล้ว”
เมื่อเห็นความสามารถที่ทรงพลังของน่าหลันเฟิง ในใจของทุกคนล้วนหดหู่และเต็มไปด้วยความปรารถนา น่าหลันเฟิงไม่เพียงแค่งดงาม แต่ความแข็งแกร่งของนางก็โดดเด่นเช่นกัน ถ้าหากโชคดีได้... มันจะดีแค่ไหนกันนะ เมื่อคิดถึงเื่นี้ก็ทำให้พวกเขารู้สึกตื่นเต้นขึ้นมา
การประลองรอบที่ 2 เป็รอบที่หลินเฟิงต้องเจอกับชิวหลัน ทำให้ทุกคนรู้สึกตื่นเต้นขึ้นมาอีกครั้ง ถึงแม้ว่าการประลองในรอบนี้อาจจะไม่น่าตื่นตาตื่นใจเหมือนรอบที่แล้ว แต่ก็น่าเร้าใจพอสมควร
อีกอย่างไม่มีใครรู้ว่าตั๋วมิ่งแข็งแกร่งขนาดไหน? เขาจะสามารถเอาชนะชิวหลันได้หรือไม่?!
หลินเฟิงและชิวหลันสบตากัน ในดวงตาของชิวหลันเผยรอยยิ้มขึ้นมา
“ไม่จำเป็ต้องสู้ ข้าขอยอมแพ้”
เมื่อฝูงชนได้ยินประโยคนี้ก็พากันตกตะลึง ยอมแพ้? ชิวหลันเป็เหมือนผู้นำของหลินเฟิงและคนอื่นๆ ที่ไม่ได้มาจากตระกูลใหญ่ นางนำพวกเขามาเข้าร่วมงานชุมนุมในครั้งนี้ แต่ทว่าเมื่อเผชิญหน้ากับตั๋วมิ่ง นางกลับเลือกที่จะยอมแพ้?
“หรือว่าชิวหลันกับตั๋วมิ่งจะเคยสู้กันมาก่อน ดังนั้นชิวหลันจึงรู้ตัวว่าไม่ใช่คู่มือของตั๋วมิ่ง?” ฝูงชนอดไม่ได้ที่จะจินตนาการกันไปเอง ในใจของพวกเขาได้แต่คาดเดาไปต่างๆ นานา
“เมื่อเป็แบบนี้ก็เริ่มการประลองในรอบตัดสินกันเถอะ” ผู้าุโที่เป็ผู้ตัดสินก็พูดขึ้นมา
“การประลองในรอบสุดท้าย ขอให้ทั้งสามคนขึ้นมาบนเวทีประลองหลัก ใครที่สามารถยืนหยัดอยู่บนเวทีเป็คนสุดท้าย คนคนนั้นคือผู้ชนะ”
“หืม?” ดวงตาของหลินเฟิงฉายแววประหลาดใจขึ้นมา เขายังคิดว่าผู้าุโจะเลือกให้หลินเชียนประลองกับเขา เพื่อให้น่าหลันเฟิงได้มีโอกาสพัก แต่กลับคาดไม่ถึงเลยว่ากฎการประลองในรอบสุดท้ายจะให้ผู้เข้าแข่งขันทั้งสามคนตะลุมบอนกันเพื่อหาผู้ชนะ
หลินเฟิงก้าวเท้าขึ้นไปบนเวที ในอีกสองทิศทาง น่าหลันเฟิงและหลินเชียนก็พากันเดินมาถึงเวทีประลองหลัก
“จุ๊ๆ การประลองในรอบตัดสิน พวกเ้าคิดว่าใครจะเป็ผู้ชนะ”
“ก็ต้องเป็น่าหลันเฟิงนะสิ นางแข็งแกร่งมากและยังมีจิติญญาแขนเทวะสีทองอีก ไม่มีทางที่หลินเชียนกับตั๋วมิ่งจะต้านทานได้หรอก”
“แต่ข้าไม่เห็นด้วย จนถึงตอนนี้หลินเชียนยังไม่ได้ใช้ความแข็งแกร่งทั้งหมด นางไม่ได้ปลดปล่อยจิติญญาออกมาเลยด้วยซ้ำ เ้ารู้ไหมว่าหลินเชียนมีจิติญญาอะไร? จิติญญาเพลิงน้ำแข็งเชียวนะ เป็จิติญญาที่ไร้เทียมทานมาก ข้าคิดว่าผู้ที่ชนะจะต้องเป็หลินเชียน”
ทุกคนต่างแสดงความคิดเห็นของตัวเองออกมา ซึ่งส่วนใหญ่แล้วล้วนคิดว่าผู้ที่ชนะอาจจะเป็น่าหลันเฟิงหรือไม่ก็หลินเชียน แต่ไม่มีใครคิดว่าจะเป็หลินเฟิง
ถึงแม้ว่าความสามารถที่หลินเฟิงแสดงก่อนหน้านี้จะน่าทึ่งจนทำให้ทุกคนตกตะลึง แต่สุดท้ายทุกคนก็คิดว่าตัวเอกของเวทีนี้มีแค่สองคน นั่นก็คือน่าหลันเฟิงกับหลินเชียน สองสาวผู้เย่อหยิ่งของเมืองหยางโจว ส่วนเด็กหนุ่มลึกลับที่สวมหน้ากากสีเงินเป็ได้แค่ตัวประกอบเท่านั้น
เมื่อทั้งสามคนเดินขึ้นมาบนเวที ก็เดินไปอยู่กันคนละมุม ดวงตาของน่าหลันเฟิงจ้องมองไปที่ร่างของหลินเชียนและดวงตาของหลินเชียนจ้องไปที่น่าหลันเฟิง
ในดวงตาของทั้งสองคนปรากฏภาพของอีกฝ่าย กระทั่งหลินเฟิงก็ดูเหมือนกับว่าจะถูกพวกนางลืมไปแล้ว
หลินเฟิงมองไปยังหญิงสาวทั้งสองคน ในใจก็แสยะยิ้มอย่างเ็า พวกนางทั้งคู่ล้วน้าชีวิตของเขา แต่ตอนนี้เขามายืนอยู่ตรงหน้าทว่าพวกนางกลับไม่รู้
“น่าหลันเฟิง เ้าจะต้องเสียใจที่ทำกับข้าในคืนนั้น ส่วนเ้าหลินเชียน เ้าทำให้ข้าและบิดาถูกขับไล่ออกจากตระกูลหลิน และยังคิดที่จะสังหารบิดาของข้า บัญชีแค้นนี้ จะต้องชำระ!!!” หลินเฟิงคิดในใจ บนโลกที่แสนเ็านี่ ความรู้สึกรักใคร่หรืออาฆาตแค้นล้วนต้องจดจำ
ทุกสิ่งทุกอย่างในโลกนี้ล้วนต้องพึ่งพาตัวเองเท่านั้น
ผ่านไปได้สักพักใหญ่ๆ น่าหลันเฟิงก็ละสายตาจากหลินเชียนและหันไปมองหลินเฟิง มุมปากของนางเผยรอยยิ้มเย่อหยิ่งออกมา
“พลังของเ้าก็ไม่เลวเลยนี่ ถ้าหากเ้ายอมเข้าร่วมกับตระกูลน่าหลัน สิ่งที่เ้าทำลงไป ข้าก็จะไม่เอาเื่ และบางครั้งข้าอาจจะชี้แนะเื่การบ่มเพาะให้เ้าด้วยตัวเอง”
ั้แ่ต้นจนจบ รอยยิ้มบนใบหน้าของน่าหลันเฟิงยังคงเต็มไปด้วยความเย่อหยิ่งอย่างปิดไม่มิด และจากสิ่งที่นางพูดเห็นได้ชัดว่าจะไม่เอาผิดหลินเฟิงที่เป็คนสังหารน่าหลันเฉิน
“เ้าจะชี้แนะการบ่มเพาะให้ข้า?” หลินเฟิงทวนประโยคช้าๆ นี่นางคิดว่าตัวเองเป็ใครถึงได้เย่อหยิ่งเสียขนาดนี้ ช่างหลงตัวเองยิ่งนัก
“ใช่ ข้าจะชี้แนะเ้าเป็การส่วนตัว” น่าหลันเฟิงไม่รู้ว่าหลินเฟิงกำลังคิดอะไร แต่ก็หลงนึกเข้าข้างตัวเองว่าอีกฝ่ายคงรู้สึกเป็เกียรติอยู่ นางยิ้มออกมาแล้วพูดอีกว่า “เ้าต้องรู้นะ โอกาสดีๆ เช่นนี้มีไม่มาก ตระกูลน่าหลันของข้าไม่เคยขาดคน”
ต้องบอกว่าสำหรับคนอื่นๆ แล้ว ข้อเสนอของน่าหลันเฟิงนั้นน่าสนใจมาก และยิ่งได้เห็นรอยยิ้มอันทรงเสน่ห์ด้วยแล้ว ไม่ว่าใครก็แทบจะมอบกายถวายิญญาให้กับนาง
“ถ้าข้าได้รับโอกาสดีๆ แบบนี้ ข้าคงหลับฝันดีแน่ๆ”
“องค์หญิงน่าหลันเฟิงจะชี้แนะเป็การส่วนตัว...”
คนส่วนใหญ่ต่างมองไปที่หลินเฟิงด้วยสายตาริษยา ไอ้หมอนี่ช่างโชคดีจริงๆ
แต่... หลินเฟิงจำเป็ต้องให้น่าหลันเฟิงมาช่วยชี้แนะการบ่มเพาะด้วยเหรอ?
“นี่ข้าควรจะซาบซึ้งอย่างนั้นหรือ?” หลินเฟิงมองไปที่น่าหลันเฟิงด้วยสายตายั่วยุ และเนื่องจากว่าหลินเฟิงสวมหน้ากากสีเงินบดบัง ทำให้น่าหลันเฟิงไม่สามารถมองเห็นท่าทีของเขาได้ แต่เมื่อได้ยินน้ำเสียงแปลกๆ ของหลินเฟิง นางก็พลันรู้สึกตงิดใจขึ้นมา
“หรือเ้าคิดว่ามันไม่ใช่แบบนั้นล่ะ?” น่าหลันเฟิงย้อนถามกลับด้วยน้ำเสียงห้วนๆ รอยยิ้มบนใบหน้าเริ่มหุบลง
หลินเฟิงพูดไม่ออก นี่จะเรียกว่ามั่นใจหรือว่าหยิ่งผยองในตัวเองดีล่ะ?
“ฮ่าๆ น่าหลันเฟิง คาดไม่ถึงจริงๆ ว่าเ้าจะงี่เง่าได้ขนาดนี้ ด้วยระดับการบ่มเพาะของเ้า มีคุณสมบัติอะไรมาชี้แนะข้า”
ทันใดนั้นก็มีเสียงหัวเราะดังมาจากฝูงชน
เมื่อทุกคนหันไปมองก็พบว่ามีเงาร่างหนึ่งทะยานออกมาจากกลุ่มคน เงาร่างนี้ดูคล้ายกับนกั์ที่กำลังสยายปีกโผบิน ไม่ช้าร่างนั้นก็ร่อนลงบนเวทีประลอง ด้วยท่าทางยโสโอหัง
คนคนนี้เป็เด็กหนุ่มที่มีอายุรุ่นราวคราวเดียวกับพวกเขา ดวงตาเป็ประกายสดใส ใบหน้าผอมและทั่วทั้งร่างล้วนเปี่ยมไปด้วยความอวดดี
“ป๋ายหยวนฮ่าว” สีหน้าของน่าหลันเฟิงแข็งทื่อไปชั่วครู่ ดวงตาพลันแข็งกร้าวขึ้นมา นางคิดไม่ถึงเลยว่าคนคนนี้จะมาปรากฏตัวอยู่ที่นี่
“ใช่ ข้าเอง” เด็กหนุ่มคนนั้นจ้องมองไปที่น่าหลันเฟิงด้วยสายตาเหยียดหยาม “น่าหลันเฟิง ปกติแล้วตอนที่เ้าอยู่ในเมืองหลวง ก็เป็แค่คนชั้นต่ำธรรมดาเท่านั้นเอง แต่คาดไม่ถึงว่าพอมาที่เมืองหยางโจวจะวางตัวเป็องค์หญิงขึ้นมา ท่าทางจองหองแบบนี้ คงอิ่มใจล่ะสิท่า”
“หุบปากนะ” น่าหลันเฟิงตวาดขึ้นมา น้ำเสียงของนางดูเ็า
“ทำไม หรือว่าพอเรียกว่าคนชั้นต่ำแล้วรู้สึกปวดใจจี๊ดๆ ทั้งที่คิดว่าตัวเองเป็องค์หญิง!” เด็กหนุ่มคนนั้นพูดดูถูกออกมาอย่างไม่ไว้หน้า มิหนำซ้ำมุมปากยังยกยิ้มขึ้นมา ราวกับสะใจนักหนา
“เหอะ ตัวเ้าก็ไม่ต่างอะไรกับสุนัขเช่นกัน” น่าหลันเฟิงกล่าวดูแคลนออกมา ด้วยสีหน้าอึมครึม
“พูดแบบนี้แสดงว่าเ้ายอมรับที่ตัวเองเป็แค่คนชั้นต่ำอย่างนั้นสิ?” เด็กหนุ่มคนนั้นฉีกยิ้มกว้างขณะที่กล่าวออกมา ทำให้สีหน้าของน่าหลันเฟิงบิดเบี้ยวขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด
“หุบปากนะ!” น่าหลันเฟิงรู้สึกอับอายจนกลายเป็โมโห นางตวาดเสียงสูงทันที
เมื่อได้ฟังบทสนทนาของทั้งสองคน ทุกคนก็พลันทำสีหน้าโง่เขลาขึ้นมา องค์หญิงผู้สูงส่งของเมืองหยางโจวถูกเรียกว่าคนชั้นต่ำ?
เด็กหนุ่มที่ปรากฏตัวออกมากะทันหันเป็ใครกัน? ทำไมถึงได้กล้าพูดจาไม่กลัวตายเช่นนี้?
“บังอาจ! เ้ากล้าดียังไงมาดูถูกตระกูลน่าหลันของข้า ช่างรนหาที่ตาย!” น่าหลันซยงจ้องมองไปที่เด็กหนุ่มคนนั้นอย่างเ็า
“ใครให้เ้าพูด” เด็กหนุ่มคนนั้นหมุนตัวไปมองน่าหลันซยง แล้วตะคอกออกมาอย่างโมโหว่า “เป็แค่เ้าเมืองหยางโจวกล้าดียังไงมาพูดแทรกข้า แค่ข้าพูดคำเดียวก็สามารถบดขยี้คฤหาสน์ท่านเ้าเมืองของเ้าจนย่อยยับได้”
“เ้า...” ความโกรธแล่นพล่านไปทั่วร่าง น่าหลันซยงคาดไม่ถึงเลยว่าเ้าเด็กนี่จะอวดดีถึงขนาดนี้
ในใจของทุกคนล้วนเกิดความสงสัยขึ้นมา เด็กหนุ่มที่โผล่ขึ้นมากะทันหันคนนี้ เป็ใครกันแน่? ดูเหมือนจะหยิ่งผยองยิ่งกว่าน่าหลันเฟิงและหลินเชียนหลายเท่า แม้กระทั่งท่านเ้าเมืองก็ยังกล้าด่า
“ดี ดี ข้าน่าหลันซยง อยากจะเห็นนักว่าเด็กปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมอย่างเ้า จะทำลายคฤหาสน์ของข้าอย่างไร!” น่าหลันซยงหัวเราะออกมา นี่เป็ครั้งแรกที่มีคนกล้าพูดเช่นนี้กับเขาในเมืองหยางโจว ช่างจองหองยิ่งนัก
“ท่านพ่อ เื่นี้โปรดยกให้บุตรเป็คนจัดการเองเ้าค่ะ”
ทันใดนั้นน่าหลันเฟิงก็พูดขึ้นมา ทำให้น่าหลันซยงชะงักไปชั่วครู่ ในใจของเขาอดไม่ได้ที่จะตื่นตระหนก ความหมายของน่าหลันเฟิงก็คือ...
“ป๋ายหยวนฮ่าว เ้ามาทำอะไรที่เมืองหยางโจว ทำไมไม่อยู่ที่เมืองหลวง?”
“ข้ามาชำระแค้นไง” ป๋ายหยวนฮ่าวตอบพลางหันไปมองรอบๆ ก่อนจะไปหยุดอยู่ที่ร่างของหลินเฟิง แล้วพูดว่า “นี่ไม่ใช่เื่ของเ้า ลงไปซะ”
“หือ?” หลินเฟิงขมวดคิ้วเล็กน้อย ป๋ายหยวนฮ่าวใช้น้ำเสียงสั่งเขาราวกับว่าเป็ขี้ข้าของมัน
หลินเฟิงมองป๋ายหยวนฮ่าวนิ่งๆ โดยไม่ขยับ
ป๋ายหยวนฮ่าวคิ้วกระตุกเล็กน้อยแล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงเ็าว่า “ข้าบอกให้เ้าไสหัวลงไป!!!”
