ท้องฟ้าสีอึมครึมในยามราตรี หลี่ซื่อจุดตะเกียงน้ำมัน ครอบครัวสี่คนที่งานยุ่งมาทั้งวันได้เวลาเพลิดเพลินกับอาหารเย็นที่แตกต่างจากแต่ก่อนอย่างสิ้นเชิงเสียที
ไส้หมูปรุงรสน้ำแดง ไส้เล็กเผ็ดหอม น้ำแกงผักไส้หมู น้ำแกงปอดหมูและหัวไชเท้า อาหารสี่อย่างล้วนเป็การทำมาจากเครื่องในหมูที่ในยามปกติไม่เคยเหลือบมองเลยทั้งสิ่น
ผิงอันคีบไส้หมูปรุงรสน้ำแดงด้วยตะเกียบใส่เข้าไปในปาก ความประหลาดใจในดวงตายิ่งชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ หูฉางกุ้ยที่เดิมทีมิได้เป็คนช่างเลือกรับประทานอาหาร ถือโอกาสคีบปอดหมูขึ้นมาหนึ่งชิ้น คาดไม่ถึงเลยว่ารสชาติไม่เลวเลย อดไม่ได้ที่จะคีบมากขึ้นอีกสองสามชิ้น เดิมหลี่ซื่อยังมีความกังวลเล็กน้อย แต่เห็นสามคนทานเสียจนวางตะเกียบไม่ลง นางจึงลองชิมดูหนึ่งคำ อื้ม รสชาติไม่เลวเลยจริงๆ ด้วย
หลี่ซื่อหันไปทางบุตรสาวแล้วยกนิ้วหัวแม่มือขึ้นตั้งตรง รอยยิ้มในตาของเจินจูยิ่งเข้มข้นมากขึ้น
“ท่านพี่ ไส้หมูปรุงรสน้ำแดงนี้อร่อยจริงๆ ทั้งหอมทั้งนุ่มหยุ่น อื้ม อร่อย!” ในปากผิงอันยังเคี้ยวไส้หมูอยู่ ในมืออีกข้างก็คีบอีกหนึ่งตะเกียบเตรียมไว้ ครอบครัวหูตลอดทั้งปีทานเนื้อได้ไม่กี่ครั้ง ดังนั้นทุกครั้งที่มีอาหารประเภทเนื้อ ผิงอันจะเลือกทานอันที่มีแต่ไขมัน ครั้งนี้ก็ไม่ได้เป็ข้อยกเว้น แก้มที่นูนขึ้นยังขยับไม่หยุด ริมฝีปากที่มันแผล็บเด่นเสียจนหน้าตาของเด็กน้อยดูตลกเป็อย่างมาก
“ช้าหน่อย ไม่มีคนแย่งเ้าหรอก” เจินจูโน้มน้าวด้วยการยิ้มตาหยี และยังกล่าวกับหลี่ซื่อที่ค่อยๆ เคี้ยวกลืนอย่างช้าๆ ว่า “ท่านแม่ นี่เป็น้ำแกงปอดหมูหัวไชเท้า ทานแล้วลื่นคอเป็ที่สุด อีกเดี๋ยวท่านต้องซดน้ำแกงให้มากหน่อยนะเ้าคะ”
หลี่ซื่อยิ้มพลางพยักหน้า แล้วหันไปยกนิ้วหัวแม่มือตั้งตรงให้นางอีกครั้ง
“นี่มิใช่ข้าทำหรอก คนครัวใหญ่เป็พี่รอง ข้าเพียงบอกขั้นตอนให้แก่นางคร่าวๆ นางก็ทำได้อร่อยเช่นนี้เลย ฝีมือพี่รองยอดเยี่ยมนัก ล้วนไล่ตามฝีมือของท่านย่าได้แล้ว ข้าแค่เป็ผู้ช่วยเอง” เจินจูยิ้มพลางอธิบาย
ท่าทีของเจินจูที่ไม่ยอมรับว่าเป็ความดีความชอบของตนทำให้หลี่ซื่อปลื้มอกปลื้มใจเป็อย่างมาก รอยยิ้มบนใบหน้าลึกซึ้งขึ้น
“ท่านแม่ นี่ให้ท่าน อันนี้อร่อย ท่านทานเยอะๆ หน่อย” จู่ๆ ผิงอันก็คีบไส้หมูให้แก่หลี่ซื่อ หลังจากนั้นมุมปากก็ยกยิ้มแล้วมองนางด้วยความคาดหวังเต็มใบหน้า
หลี่ซื่อหันศีรษะมามองบุตรชายคนเล็กที่มีความคาดหวังเต็มเปี่ยม จึงยกหัวแม่มือตั้งตรงให้เขาด้วย
ผิงอันจึงทานอาหารต่อได้ด้วยความพอใจเป็อย่างยิ่ง
เมื่อเจินจูถูกผิงอันแสดงอาการเด็กน้อยใส่ จึงหัวเราะเสียเสียงดัง เ้าเด็กนี่โตขนาดนี้คาดไม่ถึงเลยว่ายังใช้เล่ห์เพทุบายให้ได้รับคำชมเช่นนี้อีก ยังเป็เด็กน้อยจริงๆ ด้วย
หูฉางกุ้ยทานข้าวคำใหญ่ปิดปากไม่พูดไม่จา แต่หูกลับฟังพวกนางอยู่ตลอด บรรยากาศปรองดองบนโต๊ะอาหาร ในใจเขาอบอุ่นอยู่พักหนึ่ง
บนโต๊ะที่บ้านเก่า ครอบครัวเดียวกันกำลังทานได้อย่างสบายอกสบายใจเช่นกัน หลังหวังซื่อชิมอาหารไม่กี่อย่างหนึ่งรอบก็อุทานออกมา “เครื่องในนี่สามารถทำได้อร่อยมากขนาดนี้เลยหรือ หาได้ยากจริง โดยเฉพาะไส้ใหญ่นี่ เมื่อก่อนล้วนรังเกียจกลิ่นแรงจึงไม่ชอบทาน แต่ทำเช่นนี้แล้วอร่อยขึ้นมากเลย กรอบแล้วยังมีความยืดหยุ่นอีก”
“ท่านย่า เจินจูบอกว่า เครื่องในนี้ต้องใช้ขี้เถ้าถูอยู่หลายครั้ง หลังจากนั้นกลิ่นก็จะหายไปเอง ปอดหมูนี่ราดน้ำหลายทีหน่อยแล้วค่อยเทออก ทั้งยังต้องหั่นแล้วเอาไปลวกน้ำเททิ้งอีก ข้าล้วนจดจำเอาไว้แล้ว ต่อไปบ้านเราซื้อกลับมาทำเองสักครั้งเถิด รับรองเลยว่าจะทำออกมาให้ดี” ชุ่ยจูกล่าวด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม แล้วสอบถามวิธีต้มกับหวังซื่อไม่หยุด
เหลียงซื่อไม่สามารถทานเผ็ดได้มาก นางดื่มน้ำแกงในถ้วยช้าๆ เห็นว่าผิงซุ่นกำลังทานไส้เล็กที่ทั้งเผ็ดและหอมจนส่งเสียงซี๊ดปากดัง “ฮู่ว ฮู่ว” ตะเกียบในมือจึงเอื้อมไปทางกับข้าวถาดนั้นอย่างอดไม่ได้ นางคีบหนึ่งชิ้นเข้ามาในปากอย่างระมัดระวัง รสชาติเผ็ดร้อนนุ่มหยุ่นแพร่กระจายออกมา ดวงตาของนางจ้องมองเขม็งแล้วถามอย่างตรงไปตรงมา “ชุ่ยจู เหตุใดกับข้าวนี่ถึงได้ชาลิ้นเช่นนี้?”
“นั่นเป็ฮวาเจียวที่เจินจูซื้อมาน่ะเ้าค่ะ ตอนทำอาหารเผ็ดใส่มันเข้าไปเล็กน้อย รสชาติจะเปลี่ยนเสียจนทั้งชาทั้งเผ็ด อร่อยยิ่งนัก ท่านแม่ ท่านทานเผ็ดให้น้อยลงหน่อยนะเ้าคะ ท่านทานอันนี้เถิด นี่ก็อร่อย” ชุ่ยจูอธิบายจบ จึงคีบไส้หมูให้แก่เหลียงซื่อ
หลังจากหูฉางหลินได้เริ่มชิม ปากก็ไม่หยุดเคี้ยวอีกเลย เดิมเขายังมีท่าทีสงสัย แต่ตอนนี้กลับเปลี่ยนเป็ตื่นตะลึง สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็เครื่องในหมูเหม็นโฉ่ที่เขาเคยรังเกียจหรือ? ทำไมถึงทำได้อย่างเอร็ดอร่อยเช่นนี้ ใส่ฮวาเจียวเข้าไปในกับข้าวแม้จะเกิดอาการชาที่ปาก แต่รสชาติเผ็ดชาผสมกันขึ้นมากลับก่อเกิดเป็รสชาติเลิศล้ำอีกรสหนึ่ง หูฉางหลินยามนี้คิดเลื่อมใสเจินจูอย่างเป็จริงเป็จังไม่หยุด หลานสาวคนนี้ของเขาราวกับว่ารู้สิ่งต่างๆ ไปหมดเสียทุกอย่าง
ผู้สูงวัย ผู้อ่อนเยาว์ครอบครัวหนึ่งทานอาหารเย็นด้วยบรรยากาศคึกคักชื่นมื่น อาหารเป็สิ่งสำคัญของชีวิต เพียงทานอิ่มทานอร่อยจึงจะมีเรี่ยวแรงคิดเื่อื่นๆ
ก่อนที่หิมะจะตก คนสองครอบครัวเกือบจะทั้งหมดก็มาช่วยกันทำงาน จากเช้าจรดเย็น ในที่สุดกระท่อมฟางของบ้านหูฉางกุ้ยก็สร้างเสร็จ อากาศยามนี้มีเสียงหวีดร้องโหยหวนจากลมทางเหนือ ชายชราหูกล่าวว่า เกรงว่าหิมะคงจะมาในวันพรุ่งนี้หรือไม่ก็วันมะรืนแล้ว
กระท่อมฟางล้อมรอบด้วยม่านฟางสองรอบ คนที่ยืนอยู่ด้านในไม่รู้สึกถึงลมหนาวเลยสักนิด เจินจูพยักหน้าอย่างพึงพอใจ จึงบัญชาการทุกคนให้นำกระต่ายที่แออัดอยู่ในเล้าไก่แบ่งเป็กลุ่มยกออกมา กระต่ายตัวผู้โตเต็มวัยจำนวนหนึ่งที่เดิมทีใส่ไว้ในห้องฟืนก็ถูกนำออกมาเช่นกัน ห้องฟืนสี่ด้านลมโกรก แม้จะพยายามใช้แผ่นไม้ล้อมรอบไว้ แต่ลมหนาวเย็นก็ยังคงล้อมรอบ ดีที่ว่า ที่พักกระต่ายหลังใหม่สร้างได้ใหญ่ กรงกระต่ายทั้งหมดย้ายเข้าไปแล้ว ยังเหลือที่ว่างไม่น้อยเลย
เมื่อจัดการปัญหาเื่ย้ายที่อยู่เสร็จสิ้น เจินจูก็เสนอความเห็นว่าพรุ่งนี้เช้าให้นำกระต่ายตัวผู้สิบสี่ตัวที่ยังเหลืออยู่ขายทิ้งไปเสีย เพื่อประหยัดหญ้าที่จะไว้ใช้เลี้ยงสัตว์
หลังทุกคนปรึกษากันเสร็จสิ้นแล้ว ก็เตรียมแบกกระต่ายไปขาย ยังคงเป็สองพี่น้องสกุลหูรวมกับเจินจู แต่ครั้งนี้จะพาหวังซื่อไปด้วย เพราะขายกระต่ายเสร็จแล้ว จำเป็ต้องเลือกซื้อเข็ม ด้าย และผ้าสำหรับเอาไว้ใช้ข้ามหน้าหนาว สองพี่น้องสกุลหูไม่เข้าใจเื่ผ้านัก เจินจูยังเล็กเย็บปักได้ไม่คล่อง ยิ่งกว่านั้นคือเื่การวัดตัวที่ยุ่งยากเช่นนี้ เหลียงซื่อกับหลี่ซื่อล้วนไม่สันทัด หวังซื่อจึงต้องออกโรงด้วยตนเอง
แต่ไหนแต่ไรมาร่างกายหวังซื่อก็ไม่แย่นัก ่ที่ผ่านมาเจินจูใช้น้ำแร่จิติญญาบำรุงร่างกายนางอย่างระมัดระวัง กำลังวังชาจึงยิ่งกระฉับกระเฉง ตนเองรู้สึกว่าสามารถหาบข้าวฟ่างร้อยกว่าชั่งย่อมไม่มีปัญหา
หลังกำหนดเลือกคนเสร็จแล้ว ต่างคนต่างก็ไปพักผ่อน
หลายวันก่อนหลี่ซื่อได้เริ่มเผาเตียงผิงไฟแล้ว บอกให้เจินจูย้ายเข้ามานอนที่ห้องหลักตลอด แต่ในใจเจินจูไม่ค่อยสบอารมณ์นัก นอนคนเดียวมาหลายปี จะยินยอมใช้เตียงเดียวกัน ใช้หมอนร่วมกันกับคนอื่นได้อย่างไร ถึงแม้จะเป็บิดามารดาพี่น้องครอบครัวเดียวกันก็ตาม ดังนั้นนางจึงหาข้ออ้างยืดเวลาออกไปตลอด อย่างไรเสียตอนกลางดึกนางก็ไม่รู้สึกหนาวอยู่แล้ว
เช้าวันรุ่งขึ้น ฟ้ายังไม่ทันสว่าง หวังซื่อกับหูฉางหลินก็มาถึงก่อนเวลาแล้ว เจินจูลุกจากเตียงด้วยความมึนเบลอ มองท้องฟ้านอกหน้าต่างที่ภาพยังคงมืดสลัวลางเลือน เจินจูมืดครึมไปทั้งหน้า นี่ต้องตื่นเช้าแค่ไหนกัน
หลังพลิกกายไปมาอยู่สักพัก ทั้งสี่คนก็ได้เวลาออกคลำทางมืดลัดสู่ทางถนนเส้นเล็กเข้าเมืองไป
วันนี้ถึงวันตลาดพอดี ตอนพวกเขามาถึงจึงเต็มไปด้วยผู้คนแออัดยิ่งนัก หมู่บ้านที่อยู่บริเวณรอบด้านต่างล้วนนำเอาสินค้าที่มีเฉพาะในท้องถิ่นของตนเข้ามาขายในเมือง
เจินจูกับคนหนึ่งกลุ่มที่มีประสบการณ์ครั้งหนึ่งก่อนหน้านี้ เดินเลี่ยงกลุ่มคนแล้วเลี้ยวเข้าซอย ประตูหลังร้านอาหารของสือหลี่เซียงกำลังเปิดอยู่ ลูกจ้างกำลังขนย้ายผักสดใหม่เข้าไปด้านใน เมื่อร้องทักทายลูกจ้างที่อยู่ในลาน เ้าของร้านจางก็รีบวิ่งพุ่งออกมา
ตลาดวันนี้ทำให้โต๊ะที่นั่งในร้านอาหารไม่ว่างเลย ตลอดทั้งเช้าเขายุ่งอยู่กับงานอย่างเป็อย่างยิ่ง แต่กระต่ายของสกุลหูก็ยังสามารถขายได้อย่างราบรื่นนัก แม้เ้าของร้านจางจะแปลกใจกับจำนวนกระต่ายที่มากมายอยู่เล็กน้อย แต่ก็ชั่งน้ำหนักแล้วให้ราคาตามครั้งก่อนอย่างใจกว้าง กระต่ายตัวผู้แข็งแรง 14 ตัวทั้งหมด 61 ชั่ง ดีดลูกคิดต๊อกแต๊กเป็ทั้งหมด 1,464 เหวิน
เ้าของร้านจางหมุนกายสั่งลูกจ้างให้ไปหยิบเหรียญทองแดงออกมา เจินจูกะพริบตา ในใจรู้สึกชอบใจเ้าของร้านจางร่างท้วม เขาพูดคล่อง ตรงไปตรงมาอยู่หลายส่วน จึงก้าวไปด้านหน้าสองก้าวแล้วกล่าวเสียงเบา “ท่านปู่เ้าของร้าน พวกท่านเข้าหน้าหนาวแล้วยัง้ากระต่ายอยู่หรือไม่? ที่บ้านข้ายังมีคอกเล็กอยู่อีกรุ่นหนึ่ง ผ่านไปสักพักเลี้ยงให้โตแล้วจึงจะขายได้”
เ้าของร้านจางก้มหน้ามองเด็กสาวตัวเล็กขาวนุ่มตรงหน้า แม้แต่หลานสาววัยห้าขวบบ้านของตนยังไม่กล้าให้เขาอุ้ม ดังนั้นเขาจึงพยายามยิ้มด้วยใบหน้าที่ตนคิดว่าสุภาพอ่อนโยนนุ่มนวลที่สุดขึ้นมาแล้วกล่าว “้าสิ หน้าหนาวสัตว์ในูเาต่างก็ซ่อนตัวกันทั้งนั้น อาหารในป่าจับยาก บ้านเ้ามีกระต่ายเท่าไหร่ก็เอามาได้เต็มที่ ล้วนรับตามราคาตลาด ไม่เอาเปรียบพวกเ้าอย่างแน่นอน พวกเ้าต่างเป็ญาติของพี่หวัง สามารถไถ่ถามการปฏิบัติตัวของข้า จางหย่งฝู กับเขาได้เลย ค้าขายกับเขามาหลายสิบปีไม่เคยลดเงินเขาแม้แต่หนึ่งเหวิน”
นายพรานของหมู่บ้านใกล้เคียงจับกระต่ายได้ไม่น้อย แต่ชาวไร่ชาวนาที่เลี้ยงกระต่ายมีน้อยนัก หากว่าเลี้ยงได้เป็อย่างดีเช่นนั้นก็สามารถเอามาทำสัญญาร่วมมือกันในระยะยาวได้ อาหารป่านี้บางครั้งก็ไม่มีจำนวนที่แน่นอน ตอนค้าขายดีก็จัดหามาไม่เพียงพอ หากมีแหล่งผลิตสินค้าที่มั่นคง นั่นย่อมเป็การดีเป็อย่างยิ่ง
“เอ่อ การปฏิบัติตัวของเ้าของร้านจางพวกเราย่อมเชื่อใจได้” หูฉางหลินตอบกลับอย่างตะกุกตะกัก เ้าของร้านจางท่าทางเหมือนวางอำนาจ แม้ใบหน้าจะประดับรอยยิ้ม แต่หูฉางหลินยังคงรู้สึกตึงเครียดอยู่เล็กน้อย
“ท่านปู่เ้าของร้าน เช่นนั้นรอให้กระต่ายบ้านข้าโตแล้วจะนำมาส่งให้ท่านนะเ้าคะ” บนใบหน้าของเจินจูประดับรอยยิ้มหวานแสดงตัวเป็เด็กสาวแสนน่ารักต่อไป
แม่นางตัวน้อยตาโตคิ้วบางรอยยิ้มแสนหวาน ในดวงตาของเ้าของร้านจางจึงมีรอยยิ้มประดับ “ตกลง ปู่จะรอเ้านะ” เ้าของร้านจางหมุนกายกลับไปรับเงินจากลูกจ้างแล้วส่งให้หูฉางหลิน
หลังรับเงินมาและนับอย่างละเอียดแล้ว คนหนึ่งกลุ่มจึงกล่าวลาออกมาจากลาน
“โอ้ เจินจู เมื่อครู่เ้าช่างกล้าหาญนัก เ้าของร้านจางนั่นท่าทางห้าใหญ่สามหนา [1] เ้ายังกล้าเข้าไปพูดคุยกับเขาใกล้ๆ ” หูฉางหลินทอดถอนใจ
“ฮ่า ฮ่า…” เจินจูหัวเราะเบาๆ ครู่หนึ่ง “ต้องกลัวอันใดกัน คนเขาเป็เ้าของร้านอาหารที่ใหญ่ถึงเพียงนั้น แม้หน้าตาจะค่อนข้างโเี้ แต่จิตใจดีนัก บ้านเรามีกระต่ายสิบกว่าตัว ทั้งหมดค่อนข้างตัวใหญ่อวบอ้วน เลี้ยงแล้วอีกประมาณหนึ่งเดือนก็น่าจะสามารถขายได้”
“ไอ๊หยา เด็กดีของข้า” ทันใดนั้นหวังซื่อก็กอดเจินจูอย่างตื่นเต้นดีใจนัก
ครั้งนี้ที่มากับพวกเขา ได้เห็นเหตุการณ์ขายกระต่ายด้วยตาตนเอง มีเงินหนักๆ หนึ่งถุงใส่เข้าไปในหน้าอกนาง นางยังรู้สึกว่าเป็เื่เพ้อฝันอยู่เล็กน้อย ไม่ต้องกล่าวถึงการขายได้อย่างราบรื่น แล้วยังมีการจองกระต่ายคอกต่อไปอีก นี่สกุลหูเลี้ยงกระปุกเงินไว้หรือ!
หวังซื่อโดนความรู้สึกมีความสุขที่เกิดขึ้นอย่างไม่คาดคิดทุบเข้าจนมึนหัว นี่ล้วนต้องพึ่งพาอาศัยบุญวาสนาของเจินจูแล้ว คำกล่าวของหวังซื่อจึงเจือความตื่นเต้นปะปนมาด้วย “เจินจู เ้าเป็บุคคลที่นำโชคมาให้บ้านเราจริงๆ เลี้ยงกระต่ายออกมาทีละคอกๆ หนึ่งปีก็สามารถหารายได้ได้มากมายเลย หนทางเลี้ยงชีพของที่บ้านก็ไม่ต้องกลุ้มใจแล้ว”
“ท่านย่า นี่ล้วนเป็ความดีความชอบของทุกคนเ้าค่ะ ข้าแค่ออกความเห็นเท่านั้นเอง รอกระต่ายคอกนี้โตหน่อยก็ขายกระต่ายตัวผู้ทิ้ง เก็บกระต่ายตัวเมียไว้ออกลูก เช่นนี้ปีหน้ากระต่ายบ้านพวกเรานับวันก็ยิ่งมากขึ้นแล้ว” เจินจูหัวเราะ ฮิๆ ให้กับภาพแผนการเลี้ยงกระต่ายในอนาคต อย่างไรเสียนางก็รับผิดชอบเพียงออกความคิดเห็น แรงงานส่วนใหญ่ยังต้องพึ่งพาพวกเขา
“ดี ดี กระต่ายมากแล้วพวกเราทั้งครอบครัวก็จะไปช่วยด้วย ปีหน้าถือโอกาสเอาบ้านของพวกเราทั้งสองหลังรื้อแล้วทำใหม่เสียหน่อย ฝนตกหนักจะได้ไม่ต้องมีน้ำรั่วอีก” หวังซื่อเป็ห่วงปัญหาเื่รื้อและสร้างบ้านใหม่มาตลอด หากไม่ใช่สองปีมานี้ใช้ชีวิตได้อย่างลำบากยากแค้นแล้วล่ะก็ ควรจะรื้อและสร้างใหม่ตั้งนานแล้ว นี่พอถึงหน้าฝนก็ต้องมานั่งกังวลว่ากระเบื้องมุงหลังคาพอถูกลมแรงพัดหลังคาบ้านจะแตกลงมาหรือไม่
ขณะพูดคุยกันอยู่ คนทั้งกลุ่มก็เดินมาถึงถนนใหญ่ ถนนกว้างขวางเต็มไปด้วยแผงลอยและพ่อค้าหาบเร่ แม้สีท้องฟ้าจะครึ้มฝน ลมเย็นจะหนาวเหน็บเล็กน้อย แต่คนเดินตลาดก็ยังคงมากอยู่นัก
เชิงอรรถ
[1] ห้าใหญ่สามหนา ห้าใหญ่ คือ สองมือ สองเท้า และหนึ่งศีรษะที่มีขนาดใหญ่ ส่วนสามหนา คือ ขา เอว และคอที่หนา