“นี่ เหตุใดยังเอาของมากมายเช่นนี้มาด้วย ยัยหนูเอ๋ย แค่กๆ ย่ารู้ว่าเ้าหวังดี แต่ย่าจะรับไว้ได้อย่างไร รีบเอากลับไป” อู๋ซื่อส่ายหน้าทันทีทันใด ข้างในนางซาบซึ้งใจมาก นับั้แ่บุตรชายตกลงไปได้รับาเ็ ผู้ที่มาบ้านมีเพียงคนทวงหนี้้าเงินเ่าั้ สหายบริเวณใกล้เคียงที่พอจะนับได้ว่าไปมาหาสู่กันอย่างชิดใกล้ กลับไม่มีสักคนที่มาเยี่ยมเยือน ส่วนสกุลหูที่เพิ่งพบหน้ากันครั้งเดียว กลับมาตั้งไกลเพื่อเอาข้าวของมากมายมาเยี่ยม นางจะไม่ซาบซึ้งได้อย่างไร
“แหะๆ… ท่านย่าสกุลหลู่ สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็ของที่ทำไว้อยู่แล้วของที่บ้าน ไม่ได้มีค่ามีราคาอะไร กระดูกพวกนี้กับเครื่องในหมูล้วนเป็ที่บ้านข้าเชือดหมูแล้วเหลือ ท่านอย่าได้รังเกียจเลยเ้าค่ะ” เจินจูหัวเราะ
“อ่า จะรังเกียจได้อย่างไร แค่… แค่กๆ…” อู๋ซื่อโบกไม้โบกมือทันที โรคคนแก่ที่นางไออยู่ตลอดไม่ดีขึ้นเลย
“ไม่รังเกียจก็ดีแล้วเ้าค่ะ” เจินจูยิ้มแล้วเอ่ยขัดคำพูดของอู๋ซื่อ เปลี่ยนประเด็นและหันมากล่าวกับหลู่โหย่วมู่ “ท่านอาหลู่ ในเมื่อฝีมือของท่านไม่ได้ตกลง เช่นนั้นเครื่องเรือนของบ้านใหม่ข้าก็ต้องไหว้วานท่านแล้ว เอาเช่นนี้ ข้าจะสั่งเตียง ตู้ โต๊ะและเก้าอี้ที่ต้องใช้ก่อน ท่านดูว่ามีรูปแบบที่เหมาะสมจะแนะนำสักหน่อยหรือไม่เ้าคะ?”
พอหลู่โหย่วมู่ได้ฟังก็ตื่นเต้นขึ้นพักหนึ่ง “มีสิๆ อามีเล่มตัวอย่างสินค้าอยู่ เ้ามาดูที่ห้องนี้หน่อย” ขณะกล่าวก็ก้าวเร่งรีบเข้าไปยังห้องฝั่งตะวันออก
เจินจูหันมายิ้มให้อู๋ซื่อ แล้วจึงตามไป
การเปลี่ยนเื่เช่นนี้ อู๋ซื่อไม่มีเวลาโต้เถียงกับสิ่งของที่เจินจูนำมามอบให้ และเครื่องเรือนครบชุดก็ได้ทำการสั่งซื้อ นั่นเป็ใบรายการชิ้นใหญ่เลย มีการเริ่มต้นเช่นนี้ ความเป็อยู่วันข้างหน้าก็มีความหวังแล้ว นางกดความปีติยินดีในใจไว้ไม่ไหว รอยยิ้มที่เต็มไปด้วยริ้วรอยก็กางขึ้นบนใบหน้า
เจินจูเลือกรูปแบบแต่ละอย่างของเครื่องเรือนไวมาก ล้วนเป็รูปแบบที่ชาวบ้านทั่วไปส่วนใหญ่ใช้กัน เน้นความเรียบง่ายและดูดีเป็สำคัญ เสริมด้วยลายภาพที่ปีติยินดีและเป็มงคล พวกเขาเป็ครอบครัวชาวไร่ชาวนา เน้นใช้ทนทานและสะดวกสบายจึงเป็สิ่งที่ถูกต้อง
มีเตียงสี่หลังหนึ่งหลังสำหรับสองคน และอีกสามหลังสำหรับคนเดียว ตู้เสื้อผ้าสี่ตู้ ตู้เสื้อผ้าใหญ่หนึ่งตู้ ตู้เสื้อผ้าเล็กสามตู้ โต๊ะหนังสือสี่ตัวรวมกับเก้าอี้มีพนักผิงหลังสี่ตัว โต๊ะทรงสี่เหลี่ยมจัตุรัสที่ใช้ทานข้าวสองชุด โต๊ะทานข้าวทั้งสองตัวรวมกับเก้าอี้ไม่มีพนักพิงแปดตัว ประเพณีโต๊ะอาหารต้อนรับแขกของที่นี่ ล้วนเป็การแยกกันนั่งของบุรุษและสตรี เป็ธรรมดาที่โต๊ะอาหารต้องเตรียมไว้สองชุด เตรียมไว้ล่วงหน้าจะได้ไม่กังวล
ก่อนที่จะตัดสินใจซื้อเครื่องเรือนแบบไหน เจินจูได้ปรึกษาหารือกับหูฉางกุ้ยและหลี่ซื่อทั้งหมดดีแล้วเมื่อคืน
อันที่จริงจะบอกว่าปรึกษาหารือกันก็ไม่ถูกนัก หูฉางกุ้ยแค่นั่งหัวเราะอยู่ด้านข้างเท่านั้น พอถามความเห็นกับเขาก็เอาแต่ยิ้มซื่อๆ แล้วกล่าวว่า ได้! ได้หมดเลย! ตามใจท่านแม่ของเ้า! เ้าคิดว่าดีก็ตกลง!
เจินจูแอบถอนหายใจ ดีที่ไม่มีข้าวของชั้นดีเ่าั้อยู่ในบ้าน ไม่เช่นนั้น ด้วยอุปนิสัยเช่นนี้ของเขา หากไม่โดนผู้อื่นรังแกเข้า คนผู้นั้นคงรู้สึกผิดกับตัวเองเป็แน่
หลู่โหย่วมู่ข่มความตื่นเต้นสั่นเทาไปทั้งตัวไว้ ถึงได้ยั้งสติอยู่
เครื่องเรือนมากมายเช่นนี้ แม้หลู่โหย่วมู่จะลดราคาลงไปสองในสิบส่วนเป็พิเศษ ก็ยังได้กำไรอยู่ไม่น้อย
“เจินจูเอ๋ย เ้าวางใจได้ อาจะเลือกไม้ดีๆ ให้ครอบครัวของเ้า รับประกันว่าจะไม่พังไปอีกหลายปีเลย หากว่าเสียหายล่ะก็ครอบครัวของเ้ามาคิดบัญชีกับข้าได้เลย” พูดคุยกันไปพักหนึ่ง หลู่โหย่วมู่ก็สนิทสนมกับเจินจูมากขึ้น หลังได้รับาเ็ทำให้บรรยากาศที่ห่อเหี่ยวไม่มีชีวิตชีวาเกือบจะหายไปจนหมดสิ้น ขณะพูดคุยจึงสดชื่นร่าเริงขึ้นมาก
คำนวณจำนวนเงินรวมอย่างละเอียดเรียบร้อยแล้ว จึงจ่ายเงินมัดจำไปสองเหลียง หลู่โหย่วมู่เขียนสัญญาเงินมัดจำเสร็จสิ้น เจินจูจึงไม่ได้สนใจคำรั้งให้อยู่ซ้ำแล้วซ้ำเล่าของอู๋ซื่อ อำลาครอบครัวสกุลหลู่ เพราะหูฉางหลินยังรอนางอยู่ที่ตลาด
หูฉางหลินซื้อของเสร็จสรรพ กำลังนั่งอยู่ร้านเกี๊ยวน้ำตรงปากทางตลาด งานยุ่งมาครึ่งวันเขาหิวจนทนไม่ไหวแล้ว เห็นเจินจูยังมาไม่ถึงจึงสั่งเกี๊ยวน้ำสักชามเติมลงท้องไปก่อน
หูฉางหลินสายตาแหลมคม เมื่อเห็นหลานสาวตัวน้อยเดินมาแต่ไกล จึงสั่งเกี๊ยวน้ำอีกหนึ่งชามเดี๋ยวนั้น
พอเจินจูนั่งลงเกี๊ยวน้ำมาวางที่โต๊ะทันที
เจินจูก็ไม่เกรงใจอีก ข้าวกลางวันยังไม่ได้ทานเลย นางหิวแล้วจริงๆ
ท้องที่ถูกเติมเต็มจนอิ่ม เหลือเพียงเครื่องเทศที่ยังไม่ได้ซื้อ โชคดีที่ร้านสมุนไพรเฉินจี้อยู่ใกล้มากสองคนเดินไม่กี่ก้าวก็ถึง
เปลือกส้ม โป๊ยกั๊ก ฮวาเจียว อบเชย เปราะหอม กานพลู เทียนขาว ผักชีล้อม… ขอเพียงให้เจินจูสามารถนึกขึ้นได้นางล้วนซื้อมาไม่น้อย ขณะนี้ความจำของนางดีมาก เมื่อก่อนมีสิ่งของที่จำได้เลือนลางเล็กน้อย ตอนนี้ย้อนกลับไปคิดให้ละเอียดอีกครั้ง สุดท้ายก็สามารถนึกขึ้นได้มากมาย นี่ทำให้นางดีใจไม่น้อยเลยทีเดียว มีความรู้ก็มีความสามารถ จำได้มากหน่อยก็มีประโยชน์ต่อความเป็อยู่ขณะนี้อย่างมาก
เครื่องเทศทุกชนิดกองซ้อนกันจนตะกร้าไผ่สานของเจินจูใส่ไม่ลงแล้ว นางจึงยัดลงไปทางตะกร้าของหูฉางหลิน
หูฉางหลินมองเครื่องปรุงยาจีนทีละห่อที่ยัดลงในตะกร้าไผ่สานของตนเองจนเต็ม มุมปากอดกระตุกขึ้นไม่ได้ หากไม่ใช่ว่ารู้อยู่แล้วว่านี่เป็เครื่องเทศที่ใช้ทำอาหารหมักแล้วล่ะก็ ผู้ใดเห็นต้องล้วนคิดว่าบ้านของเขามีคนเจ็บป่วยหนักแน่นอน
สิ่งของตามจำนวนที่คิดไว้ล้วนซื้อจนครบ หูฉางหลินจึงเร่งเกวียนวัวกลับไป
เลยเวลา่เที่ยงมาแล้ว ที่นัดแนะคนว่าจะไปรับหมูตอนเที่ยง ยามนี้จึงล่าช้าไปเล็กน้อย
หูฉางหลินเร่งรีบนิดหน่อย การเร่งเกวียนวัวยิ่งหนักขึ้น ลูกวัวที่บ้านขณะนี้ได้เติบโตจนสูงใหญ่แข็งแรงบึกบึน จังหวะก้าวมีแรงและพละกำลัง ลากสองคนด้วยความเร็วสูงรีบควบไปบนถนนทางการอย่างสั่นะเื
คนสัญจรข้างถนนมองเกวียนวัวที่ควบไปอย่างรวดเร็วก็ตกตะลึงพูดไม่ออกเล็กน้อย ความเร็วเช่นนี้สามารถเร่งเกวียนวัวได้ด้วยหรือ
หมู่บ้านหม่าซานเป็แหล่งที่อยู่ของชาวบ้านเลี้ยงหมู เป็หมู่บ้านที่อยู่ข้างหมู่บ้านเหลียงผิง ห่างจากหมู่บ้านวั้งหลินไม่นับว่าไกล
หูฉางหลินไปอย่างเร่งรีบ เมื่อไปถึงก็เลยเวลาไปเล็กน้อย จึงกล่าวขออภัยกับครอบครัวที่เลี้ยงหมู แล้วถึงจับหมูขึ้นตาชั่ง ชั่งน้ำหนักเสร็จก็มอบเงินไป หลังจากนั้นมัดหมูไว้บนเกวียนวัว
เจินจูฟังเสียงหมูร้องมาตลอดทาง จนกลับถึงบ้าน
ทั้งคนชราและเด็กสกุลหู นอกจากเหลียงซื่อที่เดินไม่สะดวกกับหูเฉวียนฝูที่ไปคุมงานอยู่สถานที่ก่อสร้าง ที่เหลือล้วนรอการกลับมาของสองคนอยู่ท้ายหมู่บ้านนานแล้ว
...ท่ามกลางงานที่ยุ่งวุ่นวายก็ถึงวันที่เด็กชายสกุลหูสองคนต้องเข้าเรียนอย่างเป็ทางการ
บ่ายเมื่อวานนี้หูฉางหลินได้พาสองพี่น้องไปเยี่ยมเยียนท่านอาจารย์หลิวที่โรงเรียนส่วนตัวมา ท่านอาจารย์ถามง่ายๆ อยู่สองสามประโยค เมื่อรู้ว่าทั้งสองคนล้วนเคยเรียนอยู่ที่บ้านเล็กน้อย ก็เป็ธรรมดาที่จะพยักหน้าติดๆ กัน สองคนจึงมอบค่าตอบแทนให้อาจารย์ที่สอนไปครึ่งปี อีกสองวันให้หลังก็จะเริ่มเข้าเรียน
สองสามหมู่บ้านบริเวณใกล้เคียงตัดใจให้เด็กน้อยเข้าเรียนโรงเรียนส่วนตัวไม่มาก ทั้งโรงเรียนส่วนตัวมีบัณฑิตแค่สิบเจ็ดคน รวมผิงอันและผิงซุ่นที่เข้ามาใหม่แล้ว ทั้งหมดมีสิบเก้าคน แบ่งเป็สองห้อง มีกลุ่มการเล่าเรียนขั้นต้นเป็การให้ความรู้ในระดับที่สูงขึ้น ส่วนใหญ่เป็เด็กชายที่อายุต่ำกว่าเก้าปี หลังจากท่านอาจารย์อบรมสั่งสอนได้สามปี มีความรู้ทางวิชาการล้ำเลิศหรือสอบผ่านมาตรฐานได้ ก็สามารถเข้าไปอยู่ในกลุ่มการเล่าเรียนธรรมดาทั่วไปอีกกลุ่มหนึ่ง กลุ่มนี้ล้วนเป็เด็กชายที่ค่อนข้างโตอายุประมาณสิบปี
เด็กชายในโรงเรียนส่วนตัวที่โตที่สุดคือจ้าวเจิ้งเจี๋ยอายุสิบสามปี เป็หลานชายคนที่สามของเ้าซาน ลูกพี่ลูกน้องของจ้าวเถี่ยฉุย การศึกษาเล่าเรียนนับได้ว่าไม่เลว เป็ที่โปรดปรานของท่านอาจารย์หลิวมาโดยตลอด เขากำลังเตรียมตัวสอบเข้าเรียนที่หอสมุดไท่ผิงในปีนี้ ในกรณีที่ผ่านมาตรฐานก็จะเหมือนจ้าวไป่ิของครอบครัวหัวหน้าหมู่บ้านที่อยู่หมู่บ้านวั้งหลิน การเข้าไปศึกษายังหอสมุดไท่ผิงจึงเป็เื่หนึ่งที่โดดเด่นยิ่งนัก
ไม่ว่าจะอยู่ในรัชสมัยใด คนชนบทล้วนเกรงใจและเทิดทูนคนเรียนหนังสือ สามารถเข้าหอสมุดที่ใหญ่ที่สุดในเมืองได้ เช่นนั้นต้องจุดธูปบูชากี่ชั่วอายุคนถึงจะแลกวาสนามาได้
จ้าวเจิ้งเจี๋ยผู้นี้เป็บัณฑิตที่มีความหวังที่สุด ว่าจะเข้าหอสมุดไท่ผิงได้ต่อจากจ้าวไป่ิ ทั้งครอบครัวเ้าซานก็หาเงินทุนมามากพอจะเลี้ยงดูจ้าวเจิ้งเจี๋ยให้ได้เล่าเรียน
ฐานะทางบ้านของจ้าวซานนับว่ายังร่ำรวยมั่งคั่ง เขาปัญญาฉลาดเฉียบแหลม มีใจส่งหลานชายไม่กี่คนในบ้านไปเข้าเรียนโรงเรียนส่วนตัว ทั้งนี้หวังจะได้เปลี่ยนแปลงฐานะวงศ์ตระกูล แต่น่าเสียดายหลานชายไม่กี่คนล้วนไม่มีพร์ในการเล่าเรียน มีเพียงจ้าวเจิ้งเจี๋ยที่เหลืออยู่คนสุดท้าย
เช้าตรู่ผิงอันสวมเสื้อคลุมชายยาวสีน้ำเงินใหม่เอี่ยม แบกกระเป๋าหนังสือที่เจินจูทำขึ้นมาใหม่ ตามหูฉางกุ้ยที่นำทางไปบ้านเก่าเพื่อรวมตัวกับผิงซุ่น สองพี่น้องตัวเล็กจึงเริ่มใช้ชีวิตผจญกับการไปเรียนในโรงเรียนส่วนตัวขึ้น
ผิงอันปรับตัวได้ไม่เลว นิสัยเดิมของเขาเฉลียวฉลาดคิดรอบคอบ ตอนเรียนนั่งอย่างสุขุม แต่ผิงซุ่นไม่ค่อยร่าเริงเท่าไร เพราะนั่งเรียนเป็ครึ่งชั่วยาม เขาที่ชอบขยับเห็นแก่เล่นมาตลอด ต้องมานั่งอยู่ทั้งวัน พอกลับมาถึงบ้านใบหน้าก็เต็มไปด้วยความไม่เบิกบาน
แน่นอนว่าไม่เต็มใจก็ไม่เต็มใจ แต่เมื่อถึงเวลาต้องไปเรียนก็ยังต้องไปแต่โดยดี เพราะกำปั้นของบิดาเขาโหดร้ายนัก
โรงเรียนส่วนตัวไม่ได้ดูแลเื่อาหารการกิน อาหารกลางวันส่วนใหญ่เป็บัณฑิตที่เอาข้าวมาเอง มีเพียงเด็กที่อาศัยอยู่ใกล้จึงกลับไปทานข้าวที่บ้าน ผิงอันและผิงซุ่นเป็เพราะเดินทางไกล ล้วนพกกล่องอาหารมาเองั้แ่ตอนเช้า พอตอนกลางวันก็อุ่นในห้องครัวของโรงเรียนส่วนตัว หนึ่งมื้อพอถูๆ ไถๆ ไปได้
ขาดแรงงานคนไปสองคน ทุกคนในสกุลหูล้วนยิ่งยุ่งมากขึ้นอีก แม้แต่เหลียงซื่อที่ตั้งครรภ์อยู่บ้านเก่าล้วนต้องมาขูดลอกชะล้างไส้เล็กทุกวันหน้ากระถางไฟ
คนที่มีความสำคัญเป็พิเศษยังต้องนับว่าเป็หลัวจิ่ง
หลี่ซื่อเคยแอบถามกับเจินจูเป็การส่วนตัว นางคิดอยากให้หลัวจิ่งไปเล่าเรียนโรงเรียนส่วนตัวด้วย ตอนนี้ที่บ้านไม่ขาดแคลนค่าตอบแทนอาจารย์แล้ว ถึงอย่างไรเมื่อก่อนหลัวจิ่งก็เล่าเรียนหนังสือมาหลายปี คงจะไม่ดีถ้าโยนวิชาที่เล่าเรียนมาหลายปีทิ้งไป
เจินจูขอความคิดเห็นของหลัวจิ่ง เขากลับส่ายหน้าแสดงเจตตาว่าไม่ไปทันที
มองใบหน้าที่ไม่ลังเลนั่น เจินจูก็ยักไหล่ เอาเถิด บางทีคนเขาอาจจะไม่ได้มองโรงเรียนส่วนตัวของหมู่บ้านในเขตูเาเล็กๆ แห่งนี้อยู่ในสายตา ได้ยินว่าเด็กน้อยสูงศักดิ์ครอบครัวขุนนางส่วนใหญ่ พออายุสี่ปีห้าปีก็เริ่มเพิ่มพูนความรู้อ่านหนังสือกันแล้ว พอคิดได้เช่นนี้ หลัวจิ่งที่อายุสิบสามปีล้วนเล่าเรียนมาเกือบสิบปีแล้ว ความรู้น่าจะไม่อยู่ในระดับต่ำถึงจะถูก
หลี่ซื่อแอบเสียดายเขาอยู่ในใจ บุคลิกที่เฉลียวฉลาดเช่นนี้ เล่าเรียนมากอีกสองปี ไม่แน่ว่าจะสามารถเหมือนกับจ้าวไป่ิของครอบครัวหัวหน้าหมู่บ้านที่สอบบัณฑิตเด็กกลับมาได้ เช่นนั้นจะดีตั้งเท่าไรกันเล่า!
เจินจูกลับไม่ได้ออกความคิดเห็น ผู้สอบได้ตำแหน่งระดับท้องถิ่นอย่างซิ่วฉายไม่ใช่ทุกคนที่คิดอยากจะสอบ ดูท่าทางของหลัวจิ่งที่ไม่ยอมเดินบนหนทางชีวิตการเป็ขุนนางนี้ อาจเป็เพราะเขามีความอึดอัดใจอะไรที่กล่าวออกมาไม่ได้กระมัง
การที่หลัวจิ่งไม่ไปโรงเรียนส่วนตัว งานของที่บ้านกลับยิ่งทำยิ่งคล่องมือ เดิมทีหั่นเนื้อได้คดเคี้ยวเจ็ดบิดแปด [1] เล็กใหญ่ไม่เท่ากัน ตอนนี้กลับเป็ระเบียบเรียบร้อยขนาดเสมอกัน ระหว่างหั่นเนื้อขึ้นลง ชิ้นเนื้อที่หั่นเสร็จก็กองจนสูง คาดไม่ถึงเลยว่าความเร็วเกือบจะตามหวังซื่อที่มากฝีมือที่สุดได้แล้ว
ทุกคนประหลาดใจพากันอุทานด้วยความชื่นชม เอาแต่คุยโวว่าหลัวจิ่งไม่เพียงสมองปราดเปรื่อง การเคลื่อนไหวมือและเท้ายิ่งมีความสามารถอย่างมาก
เนื้อก็หั่นได้ดี ความเร็วในการกรอกไส้ก็ไว แม้แต่ให้อาหารกระต่ายเขาคนเดียวก็สามารถเลี้ยงได้ดีมาก ไม่นึกเลยว่าจะเอาภาระงานของผิงอันกับผิงซุ่นทำเสร็จลุล่วงจนหมด ทำให้ทุกคนทั้งแปลกใจและชื่นชมไปพร้อมกัน สำหรับคนครอบครัวเกษตรกรแล้วผู้ที่ขยันและมีความสามารถสูง มักทำให้คนชอบมากที่สุด เพราะหน้าตาหล่อเหลาไม่สามารถทานข้าวได้ [2]
แน่นอนว่าหน้าตาก็ดีแล้วยังมีความสามารถสูงเหมือนเช่นหลัวจิ่ง เช่นนั้นก็ยิ่งดีขึ้นไปอีก
ก็ไม่ใช่ว่าเป็เช่นนี้หรือ สายตาของหวังซื่อกับหลี่ซื่อที่มองหลัวจิ่งนับวันยิ่งอ่อนโยนขึ้นเรื่อยๆ รอยยิ้มและคำพูดที่มีต่อเขานับวันก็ยิ่งมากขึ้นไปอีก
แม้เวลาส่วนใหญ่หลัวจิ่งจะเงียบไม่ค่อยพูดจา แต่คนสกุลหูก็พยายามพูดคุยกับเขา ส่วนมากเขาก็จะเอ่ยเพียงสองสามประโยค หากเจอเข้ากับคำถามที่ไม่อยากตอบเขาก็เงียบไม่เอ่ยปาก ค่อยๆ เปลี่ยนแปลงไปทีละเล็กทีละน้อย ครอบครัวสกุลหูทุกคนรู้ดี มีบางคำถามที่เขาไม่อยากตอบ เช่นกล่าวถึงชีวิตที่ขมขื่นของเขา เื่ราวในชีวิตที่เขาประสบมา อดีตของเขา คนในครอบครัวของเขา…
ด้วยเหตุนี้ หัวข้อของทุกคนจึงล้วนหลีกเลี่ยงเื่เหล่านี้ทั้งหมด
เชิงอรรถ
[1] คดเคี้ยวเจ็ดบิดแปด หมายถึง บิดๆ เบี้ยวๆ
[2] ไม่สามารถทานข้าวได้ หมายถึง ไม่สามารถเลี้ยงปากท้องให้อิ่มได้