ฮูหยินผู้เฒ่ามองซูซานหลางอย่างไม่อยากเชื่อ ทวนถามอีกครั้ง "ที่เ้าพูดมา... เป็ความจริงหรือ?"
ซูซานหลางคอตก เฉียวเยว่จูงน้องชายออกไปแล้ว แม้กระทั่งบ่าวไพร่คนอื่นๆ ก็ไล่ออกไปหมด เหลือเพียงพวกเขาสองแม่ลูก
"ท่านแม่เรียกท่านหมอมาตรวจข้าก็ได้ เื่ใหญ่เช่นนี้ ข้าจะโกหกได้อย่างไร"
สีหน้าของซูซานหลางเผยแววทุกข์ระทมออกมาแวบหนึ่ง ก่อนจะซ่อนงำไว้อย่างรวดเร็ว "แท้จริงแล้วอาอิ่งคิดจะปิดบังเื่นี้ด้วยการรับเื่นี้เอาไว้เอง แต่ลูกยังคงต้องบอกเื่นี้กับพี่ชายของนาง เขาไม่แนะนำให้ข้าปิดบังท่านกับท่านพ่อ"
ฮูหยินผู้เฒ่าไม่พูด
ซูซานหลางเงยหน้าขึ้น "หาใช่ว่ากลัวอาอิ่งต้องมาแบกหม้อ [1] แทน เขารู้จักคนของครอบครัวเราดี เพียงแต่วิตกว่าผู้บงการอยู่เื้ัจะมีแผนการสำรองอื่นหลังจากนี้"
ฮูหยินผู้เฒ่าหลุดออกจากภวังค์ ค่อยๆ เอ่ยว่า "เ้าพูดมีเหตุผล"
ซูซานหลางหัวเราะอย่างเยียบเย็น "ไม่รู้ว่าข้าไปขวางทางของใครเข้า ถึงเกิดเื่กับคนในครอบครัวของพวกเราไม่หยุดหย่อน ด้วยเหตุนี้ เมื่อวานเฉียวเยว่กลับมาถึงก็ร้องไห้ไม่หยุด หลายวันมานี้ เด็กๆ ต่างขวัญหนีดีฝ่อ"
ฮูหยินผู้เฒ่ารักและเป็ห่วงหลานสาวมาก "แม่หนูเฉียวเยว่แต่ไหนแต่ไรมาไม่เคยร้องไห้"
ั้แ่สามารถพูดได้เป็ต้นมา นางก็แทบจะไม่เคยร้องไห้เลย ขนาดหกล้มหรือชนกระแทกก็น้อยมากที่จะเห็นนางร้องไห้
"เ้าวางใจเถอะ ข้าจะคุยกับบิดาของเ้าเอง ส่วนเื่ในจวน ต่อไปข้าจะเข้มงวดให้มากขึ้น จะไม่ให้คนชั่วสบโอกาสลงมืออีกเด็ดขาด"
ซูซานหลางผงกศีรษะ "ท่านแม่ออกโรงเอง ข้าย่อมจะหมดห่วง"
ฮูหยินผู้เฒ่าครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งถึงเอ่ยว่า "อิ้งเยว่เกิดเื่ครานี้ ข้ากลับรู้สึกว่าอาจจะไม่เกี่ยวข้องกับเื่ของพวกเ้าสองสามีภรรยา อิ้งเยว่ฉลาดเฉลียวเกินไป ทั้งยังอายุรุ่นราวคราวเดียวกับรัชทายาท อาจทำให้ผู้อื่นเกิดความคิดบางอย่าง เื่เหล่านี้ยากจะพูดได้"
นางหยุดเว้นจังหวะ ก่อนที่จะพูดต่อ "ได้ยินว่าวันนี้คนจากกรมอาญาเรียกคนจากสำนักศึกษาสตรีไปสอบสวนเป็จำนวนมาก"
คนอุปนิสัยอย่างฉีจือโจว หาได้ยากจริงๆ
ซูซานหลางพยักหน้า เขากลับไม่รู้สึกว่าแปลกแต่อย่างใด "ข้าเป็บัณฑิตคนหนึ่ง สถานการณ์เช่นนี้ให้พี่ภรรยารับหน้าที่ดีที่สุด ยิ่งไปกว่านั้น จวนซู่เฉิงโหวของเราก็เป็ดั่งรากไม้พันเกี่ยวซับซ้อนในเมืองหลวง มักมีบางเื่ที่พูดลำบาก แต่พี่ภรรยาไม่เหมือนกัน เขาอยู่เจียงหนานมาหลายปี และเพิ่งกลับมาถึง ประกอบกับกรมอาญาก็รับผิดชอบคดีเช่นนี้อยู่แล้วด้วย"
ผู้ว่าการกว่างโจวและกว่างซีโเี้อำมหิต ทำสิ่งใดไม่เคยปรานี มีข่าวลือมากมายเช่นนี้ในเมืองหลวง
บัดนี้ฉีจือโจวจะแสดงความเกรี้ยวกราดเพื่อหลานสาวของตนเอง ไยจะเป็ไปไม่ได้
"ต้องให้เขาแบกรับชื่อเสียงที่ไม่ดี สร้างความลำบากให้เขาแล้ว" พูดจบ ฮูหยินผู้เฒ่าก็ถอนหายใจ
ชื่อเสียงของฉีจือโจว เลวอย่างแท้จริง
หากกล่าวว่าผู้าุโฉีเป็มหาปราชญ์ผู้เลื่องชื่อของต้าฉี พระอาจารย์ของฮ่องเต้ คือคนที่ควรค่าแก่การยกย่องนับถือ
เช่นนั้นฉีจือโจวก็เป็ขุนนางโฉด แต่คนผู้นี้กลับได้รับความสำคัญจากฮ่องเต้อย่างล้ำลึก ไม่ว่าผู้อื่นจะพูดถึงเขาอย่างไร ฮ่องเต้ก็ไม่เคยหวั่นไหวสักนิด
"อิ้งเยว่เป็หลานสาวของเขา การค้นหาผู้ที่คิดสังหารหลานสาวของตนเองก็สมควรแล้วมิใช่หรือ ท่านแม่อย่าคิดมากเกินไป อีกอย่างหลายปีมานี้ เขาเคยสนใจเื่ชื่อเสียงเสียที่ไหน" ซูซานหลางเอ่ยอย่างมีเหตุผล
ฮูหยินผู้เฒ่ากลอกตาใส่บุตรชาย "ถึงแม้ข้าจะว่าเขาอย่างนั้นอย่างนี้ แต่ในใจก็เป็ห่วงเด็กคนนี้ แม้ว่าตอนนั้นเขาจะไม่ยอมแต่งกับน้องสาวของเ้า ทำให้ข้าเสียใจอยู่บ้าง แต่ในที่สุดน้องสาวของเ้าก็ได้ออกเรือนไปกับคนที่ดียิ่งกว่า ส่วนเขากลับต้องเป็ม่ายมาตลอดหลายปี ตอนนี้มานึกดูแล้ว เขาไม่ตบแต่งน้องสาวเ้าเป็ภรรยาก็เป็บุญของน้องสาวเ้าแล้ว บุรุษเช่นเขา ไม่เหมาะกับสตรีที่นุ่มนวลอ่อนโยนเกินไป อีกอย่างหากน้องสาวเ้าแต่งออกไปก็เป็เพียงภรรยาคนที่สอง ดูจะไม่สมเกียรตินัก บัดนี้มานึกดูแล้ว การตัดสินใจของเขาดีต่อพวกเรา ข้าไม่กินแหนงแคลงใจอันใดกับเขาเลย กลับเป็เ้าเสียอีก หลายปีมานี้มีเื่อันใดก็ต้องรบกวนเขาตลอด ต่อให้เขาชื่อเสียงไม่ดีอยู่แล้ว แต่เ้าก็ไม่ควรใช้งานแต่ผู้อื่น"
ฮูหยินผู้เฒ่าจี้บุตรชาย "เหตุผลอันสมควรของเ้านับวันก็ยิ่งมาก"
ซูซานหลางแสร้งทำไขสือ "ท่านแม่กล่าวอันใด ข้ากลัวเขาจะตาย"
ฮูหยินผู้เฒ่าแค่นเสียงเยาะ "ไปเลยไป"
บรรยากาศระหว่างสองแม่ลูกเริ่มผ่อนคลายลงมาบ้าง แต่ไม่ช้านางก็พูดขึ้นอีก "ข้าจะหาหมอหลวงที่พึ่งพาได้มาตรวจอาการให้เ้า ดูว่ายังพอมีหนทางเยียวยาหรือไม่"
"บุตรชายของข้า..." นางปวดใจเหลือเกิน
"ท่านแม่ ข้ามีพวกเขาสามคนแล้ว ถึงแม้ไม่อาจมีบุตรได้อีกก็ไม่เสียหายอันใด" ซูซานหลางปลอบประโลม
ฮูหยินผู้เฒ่ารักบุตรชายคนเล็กเป็ทุนเดิมอยู่แล้ว เขาฉลาดปราดเปรื่องช่างเอาอกเอาใจที่สุด พอนึกว่ามีคนลงมือกับเขา นางก็รู้สึกทรมานใจ "อยู่ดีๆ เ้าไปกินถูกยาพิษได้อย่างไร"
"อาจเป็เพราะชะตาฟ้า ไม่ว่าพิษนี้คิดจะวางใส่ผู้ใด ผลลัพธ์ก็ออกมาเป็เช่นนี้ไปแล้ว" ซูซานหลางกล่าวเสียงเบา
เขากุมมือมารดา "เื่แบบนี้ข้าไม่กล้าพูดกับท่านพ่อ จึงต้องแจ้งกับท่านแม่ ข้า..." เขาเว้นจังหวะ ก่อนพูดต่อ "ข้ามีบุตรครบถ้วนทั้งชายหญิง จึงไม่้าสิ่งใดอีกแล้ว"
ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานแค่ไหน หลังจากซูซานหลางออกจากเรือนของฮูหยินผู้เฒ่า เห็นท้องฟ้ายังคงสดใส เขาแหงนหน้ามองท้องฟ้าสีคราม และปุยเมฆขาวที่ลอยละล่องอยู่บนนั้น
"ท่านแม่ ข้ามิได้ตั้งใจจะโกหกท่าน" เขาค่อยๆ เอ่ยปาก
ใช่ว่าเขา้าหลอกลวงมารดา เพียงแต่เื่นี้จะต้องเป็เขาที่ให้กำเนิดบุตรอีกไม่ได้ ไม่ใช่อาอิ่ง
เขาไม่อาจให้นางต้องลำบากใจแม้แต่น้อย
ปีที่แต่งอาอิ่งเข้ามา เขาเคยให้คำสัญญาว่าจะปกป้องคุ้มครองนางชั่วชีวิต เขาลำบากยิ่งนักกว่าจะได้สิ่งที่หัวใจปรารถนา จึงไม่อาจให้นางต้องได้รับความไม่เป็ธรรมแม้แต่น้อย
ซูซานหลางกลับไปถึงเรือนหลัก ทุกอย่างเรียบร้อยเป็ปรกติ
มีเสียงหัวเราะออกมาจากในห้อง
ยามนี้เฉียวเยว่กำลังแสดงบทบาทเป็กบน้อย
นางสวมชุดกระโปรงสีเขียว ทำแก้มป่อง ร้อง "อ๊บ อ๊บ อ๊บ" ไม่หยุด
บอกให้นางกลับมาก่อนเพียงครู่เดียว ขาสั้นๆ ของนางกลับว่องไวยิ่ง แม้กระทั่งเสื้อผ้าก็เปลี่ยนแล้ว ส่วนไท่ไท่สามกับอิ้งเยว่ซึ่งนอนอยู่บนเตียงต่างก็หัวเราะขบขันอย่างยั้งไม่อยู่
"ข้าจะจับกบแล้วนะ" ฉีอันทำท่าทางดุร้าย ก่อนจะกระโจนเข้าไป
เฉียวเยว่กลอกตา "คนโง่เขลาเยี่ยงเ้า คิดจะ... ท่านพ่อ!"
เสียงเรียกดังกังวาน "ท่านกลับมาแล้วหรือ ท่านคุยอะไรกับท่านย่าถึงต้องไล่พวกเราออกมา"
"จริงด้วย บอกมา บอกมา พวกท่านซุบซิบอะไรกัน?" ฉีอันร่วมผสมโรงทันที
ซูซานหลางเดินมาถึงข้างกายอิ้งเยว่ ถามว่า "ปวดหรือไม่?"
อิ้งเยว่พยักหน้า "ปวดเ้าค่ะ"
คำตอบเช่นนี้ทำให้ทุกคนต่างเครียดขึ้นมา อิ้งเยว่จึงรีบกล่าวเสริมอย่างรวดเร็ว "ปวดศีรษะ ถูกเฉียวเยว่ก่อกวน"
เฉียวเยว่สะดุ้งโหยงยกมือกุมหน้าอก ราวกับะเืใจอย่างรุนแรง "พี่สาว ท่านทำเยี่ยงนี้ได้อย่างไร ท่านทำท่ารังเกียจผู้อื่นลงคอได้อย่างไร"
นางทำประหนึ่งดวงใจแตกร้าว "ทะ...ทะ... ท่านยังหัวเราะเบิกบานใจอยู่มิใช่หรือ พี่สาว ไม่นึกเลยว่าท่านจะกลายเป็คนขี้ฟ้องกลับผิดเป็ถูก"
"ก็เรียนรู้มาจากเ้าไง" อิ้งเยว่พูดลอยๆ
"ท่านทำเช่นนี้ไม่ดีอย่างยิ่ง ท่านควรเรียนรู้แต่สิ่งที่ดี เช่นการมองโลกในแง่ดี ไม่ใช่สิ่งแย่ๆ ท่านจะทำตัวตกต่ำเช่นนี้ไม่ได้นะเ้าคะ"
"ชิ เ้าก็รู้ว่าการฟ้องแบบกลับผิดเป็ถูกไม่ใช่สิ่งที่ดี แต่เห็นเ้าก็ทำเช่นนี้ตลอดทั้งวัน" อิ้งเยว่ค่อนแคะ
เฉียวเยว่วิ่งไปซบบนตักของไท่ไท่สาม ดวงหน้าน้อยป่องออกมา "กบน้อยน่ารักอย่างข้าถูกพี่สาวยั่วโทสะจนจะกลายร่างเป็คางคกแล้ว นางไม่รู้จักแสวงหาความก้าวหน้าก็ช่างเถอะ ยังจะมาเหน็บแนมน้องสาวอีก เช่นนี้แย่มาก แย่มากๆ นาวาลำน้อยของความเป็พี่น้องบอกจะคว่ำก็คว่ำเสียแล้ว"
"ไอ้หยา คำพูดเหล่านี้เ้าไปเรียนรู้มาจากไหน" ไท่ไท่สามลูบใบหน้าเล็กจ้อยของเฉียวเยว่เบาๆ "ไหนให้แม่ดูหน่อยซิ คางคกน้อยมีลักษณะเป็อย่างไร"
เฉียวเยว่ส่ายก้นดุ๊กดิ๊ก "เยี่ยงนี้ เยี่ยงนี้"
อิ้งเยว่ยกผ้าขึ้นมาปิดหน้า สั่นโคลงไปทั้งตัวไม่หยุด
ขำจะตายอยู่แล้ว
อยู่ๆ เฉียวเยว่ก็เหมือนนึกอะไรขึ้นมาได้ "พวกท่านรอข้าก่อน ข้าจะบอกเล่าถึงความโคตรคูลของท่านลุงให้ฟัง"
หลังจากนั้นก็วิ่งหายไป
นางทิ้งถ้อยคำเช่นนี้เอาไว้ ไท่ไท่สามค่อนข้างจะมึนงงและสับสน หันไปมองซานหลาง "คำนี้หมายความอย่างไร?"
แม้ว่าเด็กน้อยมักจะพูดอะไรที่ไม่เข้าท่า แต่เ้าตัวน้อยของพวกเขาคนนี้ถึงขั้นไม่เข้าท่าอย่างรุนแรง
นอกจากนี้ โคตรคูล... มันคือคำดีประเภทไหน?
ซูซานหลางครุ่นคิด ก่อนตอบไปว่า "เ้ารอนางก่อน อย่าเพิ่งคาดเดามากนัก"
คิดไปก็ไร้ประโยชน์ ไม่แน่ว่าความหมายของพวกเขากับของนางอาจแตกต่างกันลิบลับ
เวลาผ่านไปไม่นานก็เห็นเฉียวเยว่หอบหนังสือภาพเล่มใหญ่วิ่งเข้ามา นางป่าวประกาศด้วยความภาคภูมิใจ "พี่สาว ข้าเห็นว่าท่านนอนอยู่อย่างนี้คงรู้สึกอึดอัดมาก ก็เลยยกสมบัติล้ำค่าของตนเองให้ท่านยืมอ่านชั่วคราว"
นางส่งหนังสือภาพให้อย่างลำพองใจ อิ้งเยว่รับมาเปิดดูด้วยความสงสัยใคร่รู้ ก็เห็นนิทานที่เฉียวเยว่มักเล่าจนติดปากกลายเป็ภาพเขียนซึ่งเต็มไปด้วยความมีชีวิตชีวา
เฉียวเยว่กล่าวด้วยสีหน้าจริงจัง "ท่านลุงหาคนมาวาดให้ ท่านว่าท่านลุงโคตรคูลเลยใช่หรือไม่ เก่งกาจสุดๆ ข้า..."
"แค่กๆ เฉียวเยว่" ซูซานหลางเอ่ยขึ้นอย่างช้าๆ "เ้าจะใช้คำส่งเดชเช่นนี้มิได้ มิเช่นนั้นฉีอันจะเอาเป็เยี่ยงอย่าง"
เฉียวเยว่เกาศีรษะ "ข้าใช้คำส่งเดชที่ไหนเล่า?"
ซูซานหลางอมยิ้ม "ยกตัวอย่างเช่น โคตรคูล นี่เป็คำประเภทไหนกัน แน่นอน พ่อรู้ว่าเ้าอยากบอกว่าท่านลุงของเ้าเก่งกาจมาก แต่เก่งกาจมากพูดตรงๆ ว่าเก่งกาจมากก็ดีอยู่แล้ว ไม่ต้องใช้คำว่าโคตรคูลอะไรนั่นเลย เ้าเข้าใจแล้วกระมัง?"
เฉียวเยว่นึกพลางตอบอ้อ แสดงให้เห็นว่าคนเองเข้าใจแล้ว
"เฉียวเยว่เป็เด็กฉลาด" ซูซานหลางกล่าวชม
แต่เฉียวเยว่กลับแล่นมาตรงหน้าอิ้งเยว่แล้วพูดว่า "บุรุษสูงวัยมักพูดมาก"
ซูซานหลาง "..."
คันไม้คันมือ อยากตีเด็ก
"ข้าดูบ้าง ข้าดูบ้าง"
ฉีอันวิ่งเข้าไป ดวงตาเบิกกว้างราวกับลูกกระพรวน "ดียิ่ง"
เขาเพียงยื่นมือน้อยๆ ไปจับด้วยความอิจฉา แต่กลับไม่บอกว่าตนเองก็อยากได้
อิ้งเยว่ไหนเลยจะไม่รู้ว่าน้องชายชอบ นางหัวเราะเบาๆ "เช่นนั้นเฉียวเยว่ให้พี่สาวยืมอ่านก่อน หลังจากข้าอ่านจบ ฉีอันค่อยยืมกับเฉียวเยว่ดีหรือไม่"
ฉีอันตอบเสียงดัง "ดี"
หากเป็เด็กของบ้านอื่นไม่ให้ก็คงร้องไห้แล้ว แต่ฉีอันได้รับการอบรมสั่งสอนจากซูซานหลาง เขารู้จักยอมให้กับเด็กผู้หญิงสองคนในบ้านมาโดยตลอด ซึ่งทั้งสองก็เป็พี่สาวของเขาเอง
เฉียวเยว่พลันนึกอะไรขึ้นได้ "ฉีอัน มิสู้พวกเรามาวาดกันเองดีกว่า"
ฉีอันถามอย่างตกตะลึง "วาดกันเองหรือ? แต่พวกเราวาดไม่เป็ทั้งคู่เลยนะ"
เฉียวเยว่หน้าดำ นางรู้อยู่หรอกว่าฝีมือของตนเองใช้ไม่ได้ แต่วาดไม่สวยก็มิได้หมายความว่าวาดไม่เป็สักหน่อย อีกอย่างไม่มีใครสามารถนึกภาพเป็รูปเป็ร่างในหัวสมองได้มากเกินไปกว่านางอีกแล้ว
เฉียวเยว่ปรบมือน้อยๆ พลางกล่าวว่า "พี่สาวอย่างข้าไม่มีสิ่งใดที่ไม่สามารถทำได้ ข้าเป็เทพธิดาจากเก้า์ชั้นฟ้าจุติลงมายังแดนมนุษย์ ไม่ว่าสิ่งใดข้าย่อมสามารถทำได้ หากพวกเราวาดไม่สวย ก็ให้ท่านพ่อกับท่านตาลงพู่กันให้สิ อย่าลืมว่าพวกเรายังมีกองหนุนอยู่นะ"
...
[1] สำนวนมาจากแบกหม้อดำ หมายถึงการต้องรับผิดแทนผู้อื่น
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้