ในที่สุดปัญหารอยรั่วของท่อน้ำอุ่นก็ได้รับการแก้ไขแล้ว! ไม่ต้องใช้เตียงอุ่นอีกต่อไป! ที่จริงเตียงอุ่นในบ้านก็เพิ่งเลิกใช้ไปไม่นานนี้เอง การนอนบนนั้นทำให้อวิ๋นเจียวรู้สึกร้อนตลอดเวลา
หากทำระบบทำความร้อนใต้พื้นสำเร็จ ฤดูหนาวปีนี้คงผ่านไปอย่างอบอุ่น ต่อไปก็คือการทดลองควบคุมอุณหภูมิ ซึ่งเื่นี้ไม่จำเป็ต้องให้อวิ๋นเจียวกังวลใจ ปล่อยให้เป็หน้าที่ของอวิ๋นฉี่ซาน
โชคดีที่ไม่ซับซ้อนนัก เนื่องจากข้อจำกัดทางเทคโนโลยีและวัสดุ แม้จะสร้างระบบทำความร้อนใต้พื้นได้ ก็ทำได้เพียงควบคุมด้วยแรงงานคน ไม่เหมือนกับในยุคปัจจุบันที่สามารถใช้เครื่องทำน้ำอุ่นอัตโนมัติขนาดใหญ่ได้ แค่เครื่องเดียวก็เอาอยู่
วิธีการควบคุมอุณหภูมิ เพียงลองผิดลองถูกสักสองสามครั้ง ทดลองหาปริมาณฟืนที่เหมาะสมกับอุณหภูมิของน้ำก็เรียบร้อย ต่อไปผู้รับผิดชอบการก่อไฟทำความร้อนใต้พื้น ก็แค่เติมฟืนตามปริมาณที่กำหนด ไม่ต้องใช้สมองคิดอะไรมาก
อย่างไรเสียอวิ๋นเจียวก็แค่เอ่ยปากบอกความ้าของตนเอง ส่วนการวิจัยและพัฒนาเป็เื่ของอวิ๋นฉี่ซาน อาจารย์เฒ่าทั้งสอง รวมถึงเหล่าช่างฝีมือ
ตอนที่ฉู่อี้มาถึง อวิ๋นฉี่ซานก็รีบร้อนออกไปยังสถานที่ก่อสร้างทันทีหลังจากทักทายเสร็จ
“เหตุใดสีหน้าของท่านดูเหนื่อยล้าเช่นนี้” แล้วยังดูผอมลงไปอีก ใต้ตาก็มีเงาคล้ำจางๆ ฉู่อี้สวมชุดลำลองสีขาวนวล ใบหน้าหล่อเหลาแลดูซูบผอมลงไปบ้าง แต่ดวงตายังคงเป็ประกายดุจดวงดาว
เมื่อได้รับความห่วงใยจากอวิ๋นเจียว หัวใจของฉู่อี้พลันอบอุ่นขึ้นอย่างห้ามไม่อยู่ “ไม่มีอะไร แค่่นี้พักผ่อนไม่เพียงพอ แล้วก็ข้านำสิ่งของมาฝากเ้าด้วย”
เขาโบกมือส่งสัญญาณ บ่าวรับใช้ก็ช่วยกันขนหีบหลายใบลงมาจากรถม้า
ฟางซื่อที่ออกมาต้อนรับก็เอ่ยอย่างยิ้มแย้ม “เด็กคนนี้ อยากมาเยี่ยมก็มา เหตุใดต้องได้นำสิ่งของมามากมายเช่นนี้ หากคราวหน้ายังเป็เช่นนี้อีก ป้าไม่ให้เ้าเข้าบ้านแล้ว”
หากไม่ส่งผลกระทบต่อความปลอดภัยของบุตรสาว ฟางซื่อและอวิ๋นโส่วจงก็ถือว่าฉู่อี้เป็บุตรหลานคนหนึ่ง
ฉู่อี้กล่าว “ท่านป้า สิ่งของเหล่านี้ล้วนเป็ของที่ผู้อื่นให้มา หากเก็บไว้ที่ข้าก็เกรงว่าจะผุพังเปล่าประโยชน์ ท่านก็ทราบ ข้าไม่มีพี่น้อง...” ตอนนี้เขาคิดจะไม่นับญาติกับผู้ที่อาศัยอยู่ในจวนโหว
เมื่อฉู่อี้กล่าวเช่นนี้ ฟางซื่อก็ไม่อาจปฏิเสธได้ รู้สึกเพียงว่าเมื่อเทียบกับบุตรชายของตนแล้ว ฉู่อี้แม้มีฐานะสูงส่ง แต่ชะตากรรมกลับน่าสงสารยิ่งกว่าบุตรชายของตนเอง
“บ้านของเรามีพื้นที่คับแคบ ยาบำรุงที่เ้าส่งมาเมื่อคราก่อนก็กินพื้นที่ไปมากแล้ว ตอนนี้ก็ยังเอาของมาอีก หากต่อไปยังนำมาอีกเรื่อยๆ เช่นนี้ ห้องโถงบ้านเราก็คงไม่มีที่ให้เดินแล้ว”
ฟางซื่อพูดติดตลกพลางสั่งให้คนรับใช้ขนหีบเข้าไปในห้องโถง
“เจียวเอ๋อร์ เ้าอยู่เป็เพื่อนเซ่าชิงก่อน แม่จะไปเตรียมอาหาร เซ่าชิงเ้าอยากกินอะไรไหม?”
ฉู่อี้ก็ไม่เกรงใจ “ข้าอยากกินหม้อไฟ”
“ได้ งั้นเที่ยงนี้เรากินหม้อไฟกัน”
ฟางซื่อรับคำแล้วเดินออกไป อวิ๋นเจียวจึงจ้องมองฉู่อี้ “ท่านนี่ช่างไม่เกรงใจจริงๆ กล้าออกคำสั่งมารดาข้าเชียว”
ฉู่อี้กล่าว “นั่นเพราะท่านป้าเอ็นดูข้า ข้าก็ไม่อาจปฏิเสธความหวังดีของท่านป้าได้”
จากนั้นเขาก็เปิดหีบสองใบด้วยตนเองให้อวิ๋นเจียวดู “นี่คือผ้าแพรเมฆา ผ้าแพรแคว้นสู่ ผ้าขนนก ผ้าไหมปี้หลัว ผ้าต้วนเนื้อละเอียด ผ้าแพรปักลายดอกไม้ ทั้งสีสันและเนื้อผ้าล้วนเหมาะสำหรับสตรี หากเก็บไว้กับข้าก็เปล่าประโยชน์ เ้าใช้เหมาะสมที่สุดแล้ว”
“เ้ามาลองดูว่าวกระดาษพวกนี้สิ เ้าชอบหรือไม่”
ผ้าทุกผืนล้วนเป็ผ้าชั้นดี สีสันสดสวย บนโลกนี้มีสตรีใดไม่ชอบสิ่งสวยงามบ้างเล่า ว่าวกระดาษเองก็ประณีตงดงาม แม้อวิ๋นเจียวจะไม่มีความรู้เื่ภาพวาดแม้แต่น้อย แต่นางก็รู้ว่าฝีมือการวาดภาพบนว่าวนี้ไม่ธรรมดา
“อืม ชอบทุกอันเลยเ้าค่ะ!”
ชอบก็ดีแล้ว การเดินทางอย่างเร่งรีบระหว่างเมืองหลวงกับหมู่บ้านไหวซู่ครั้งนี้ของเขาก็ไม่เสียเปล่าแล้ว
“งั้นตอนนี้เราไปปล่อยว่าวกันเถิด เ้าอยากปล่อยอันไหน”
อวิ๋นเจียวเลือกอยู่นาน รู้สึกว่าสวยหมดทุกอันจนนางเลือกไม่ถูกสักที
ฉู่อี้จึงกล่าว “งั้นเราปล่อยทุกอันเลย!”
อย่างไรเสียคนก็มีมากพอ
อวิ๋นเจียวรู้สึกว่าเป็ความคิดที่ดี จึงตอบตกลง “เ้าค่ะ! ปล่อยทุกอันเลย”
องครักษ์ข้างกายฉู่อี้ล้วนเป็คนมีไหวพริบ พอได้ยินคำสั่งก็รีบขนหีบใส่ว่าวเดินตามหลังทั้งสองออกไป ส่วนฉู่อี้ก็จูงมืออวิ๋นเจียวอย่างเป็ธรรมชาติ
“เจียวเอ๋อร์ เ้าอยากปล่อยอันไหนก่อน?”
เดิมทีอวิ๋นเจียวอยากจะดึงมือกลับ แต่ความคิดของนางก็ถูกฉู่อี้เบี่ยงเบนไปได้สำเร็จ นางคิดอยู่ครู่หนึ่งจึงเอ่ยว่า “ปล่อยลายนกนางแอ่นก่อนแล้วกันเ้าค่ะ”
องครักษ์ของฉู่อี้ขยับทันที นำว่าวรูปนกนางแอ่นออกมา
“เราไปที่เนินเขาลูกนั้นดีหรือไม่เ้าคะ?” อวิ๋นเจียวถามพลางชี้นิ้วไปยังเนินเขาเตี้ยๆ ไม่ไกลนัก
ตอนนี้บ้านของนางอยู่ติดเชิงเขาค่อนข้างเงียบสงบ ไม่ไกลจากบ้านมีเนินเขาที่ไม่ลาดชันมากนัก เหมาะแก่การปล่อยว่าวเป็อย่างยิ่ง บนเนินเขามีวัวและแกะประปรายกำลังกินหญ้าอย่างสบายใจ อวิ๋นเจียวชี้ตำแหน่งให้ดู องครักษ์ของฉู่อี้ก็กำลังจะเข้าไปไล่ต้อนฝูงวัวและแกะ
แต่ฉู่อี้สั่งว่า “ให้เด็กๆ ที่เลี้ยงวัวเลี้ยงแกะผูกพวกมันไว้กับต้นไม้ด้านข้างก็พอ ไม่ต้องไล่พวกเขาหรอก อย่างไรเสียว่าวเราก็มีมาก หากพวกเขาอยากเล่นด้วย ก็แบ่งให้พวกเขาไปเล่นสักสองสามอัน”
ว่าวกระดาษเหล่านี้ ซื้อมาเพื่อมอบความสุขให้อวิ๋นเจียว แม้ฉู่อี้จะขาด่เวลาในวัยเด็ก แต่เขาก็รู้ว่าการละเล่นเช่นนี้ต้องมีคนเยอะๆ ถึงจะสนุก ยิ่งไปกว่านั้นอวิ๋นเจียวก็ยังเด็กนัก เป็แค่เด็กคนหนึ่ง
อวิ๋นเจียวไม่รู้ว่าฉู่อี้มีความคิดเช่นนี้อยู่ หากรู้เข้าก็คงจะอดประชดไม่ได้ ิญญาของนางอายุเกือบจะสามสิบแล้วนะ!
“ความคิดนี้ดี มีคนเยอะๆ สนุกกว่า”
เด็กๆ ที่เลี้ยงวัวอยู่บนเนินเขาล้วนเป็เด็กในหมู่บ้าน มีทั้งเด็กโตและเด็กเล็ก เสื้อผ้าของพวกเขาเต็มไปด้วยรอยปะชุน
พวกเขารู้จักอวิ๋นเจียวกันหมด บุตรสาวที่นายท่านรองอวิ๋นผู้มั่งคั่งจากเมืองหลวงรักมากที่สุด
ตอนที่คนของฉู่อี้ไปบอก พวกเด็กๆ ก็ผูกวัวและแกะไว้ใต้ต้นไม้แต่โดยดี ทว่าพวกเขาเคยเห็นว่าวกระดาษที่สวยงามเช่นนี้เสียที่ไหนเล่า?
แม้ว่าดวงตาทุกคู่ล้วนเปล่งประกาย แต่กลับไม่มีใครกล้าแตะต้องแม้แต่ปลายนิ้ว กลัวว่าหากทำเสียหาย แม้ขายตัวเป็ทาสก็ชดใช้ไม่ไหว ไม่ว่าพวกองครักษ์จะพูดอย่างไร พวกเด็กๆ ก็ยังคงไม่กล้าแตะต้อง พูดจนปากเปียกปากแฉะก็ไม่มีประโยชน์
เหล่าองครักษ์กำลังร้อนใจ หากทำตามคำสั่งของท่านโหวไม่ได้ พวกเขาจะทำอย่างไรดี?
ตอนนี้อวิ๋นเจียวและฉู่อี้ก็เดินมาถึงเนินเขาแล้ว เมื่อเห็นเหล่าองครักษ์จนปัญญาจะรับมือกับพวกเด็กๆ อวิ๋นเจียวจึงเอ่ยปากขึ้น “ข้าอยากจะปล่อยว่าวทั้งหมดนี้ขึ้นไปบนท้องฟ้า ทุกคนช่วยข้าหน่อยได้หรือไม่?”
“ข้าจะไม่ให้ทุกคนช่วยเปล่าๆ ใครช่วยข้าปล่อยว่าว ข้าจะให้ขนมหวานเป็รางวัล ใครปล่อยได้สูงและไกลที่สุด จะได้ขนมเปี๊ยะ!”
ชาติที่แล้วอวิ๋นเจียวเติบโตในสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า คอยช่วยดูแลเด็กเล็กๆ ดังนั้นนางจึงเชี่ยวชาญการหลอกล่อเด็กๆ เป็พิเศษ และแน่นอนพอได้ยินเช่นนี้ ดวงตาของเด็กๆ ก็เป็ประกาย
“ข้าเอง!”
“ข้าด้วย!”
เด็กโตที่รู้ความบ้างก็เอ่ยถาม “แต่ว่าหากพวกข้าทำว่าวเสียหายจะทำอย่างไร?”
อวิ๋นเจียวกล่าว “ไม่ต้องห่วง พวกเ้าไม่ต้องชดใช้หรอก”
อวิ๋นเจียวเอ่ยรับรองเช่นนี้ เหล่าเด็กๆ ก็เบาใจ แม้ตระกูลอวิ๋นจะเพิ่งมาตั้งรกรากที่หมู่บ้านไหวซู่ได้ไม่นาน แต่ก็มีชื่อเสียงที่ดีเยี่ยม
เด็กที่ใจกล้าหน่อยก็เดินเข้าไปรับว่าวกระดาษจากมือองครักษ์ของฉู่อี้ เมื่อได้ว่าวกระดาษมาแล้ว พวกเด็กๆ ก็พากันตื่นเต้นล้อมวงกัน บ้างก็จับกลุ่มกัน บ้างก็แลกเปลี่ยนว่าวในมือ
อวิ๋นเจียวเองก็ไม่ได้เล่นว่าวมานานหลายปีแล้ว ตอนนี้ก็รู้สึกคันไม้คันมือขึ้นมา นางจึงพูดกับฉู่อี้ “ท่านช่วยยกให้ข้าหน่อย ข้าจะเป็คนปล่อยเ้าค่ะ!”
ฉู่อี้พยักหน้าอย่างอ่อนโยน สายตาเอ็นดูและตามใจนั้น ทำให้จางหลิงที่อยู่ห่างๆ ทนดูไม่ได้
ท่านโหวผู้เ็าของเขาหายไปไหน? คนผู้นี้ต้องเป็ตัวปลอมแน่ๆ