บทที่ 5 บ้าระห่ำ
“พวกเ้ามองอะไรกัน ไม่เคยเห็นศิษย์รับใช้ทำภารกิจหรือยังไง” ก่อนจะออกจากหอคุณูปการ ฉินชูหันกลับมาถลึงตาใส่พวกลูกศิษย์ที่อยู่ในหอ ก่อนจะพาไป๋อวี้จากไป
เมื่อฉินชูกับไป๋อวี้จากไป เหล่าลูกศิษย์ภายในหอคุณูปการก็เริ่มส่งเสียงซุบซิบกัน
“ไม่รู้จะดุอะไรนักหนา ก็ข้าไม่เคยเห็นศิษย์รับใช้ทำภารกิจน่ะสิ ถึงได้มอง” ลูกศิษย์ผู้หญิงคนนี้รู้สึกละเหี่ยใจที่ถูกถลึงตาตวาดใส่
ศิษย์ผู้ชายอีกคนหนึ่งส่ายหน้าและพูดขึ้น “อย่าไปสนใจพวกเขาเลย ขืนพวกเขาทำแบบนี้ต่อไป ไม่นานคงต้องเจอดีแน่ ไม่เคยฝึกบำเพ็ญตน อีกทั้งยังไร้ตบะพลังปราณเช่นนี้ หากเจอสัตว์อสูรที่เก่งๆ หน่อย คงไม่รอดกลับมาหรอก”
หลังจากฉินชูกับไป๋อวี้ออกจากหอคุณูปการ ทั้งสองก็พากันลงจากยอดเขาชิงจู๋และรุดหน้าเข้าไปในป่ารกร้าง
“ไป๋อวี้ เ้าเห็นอะไรหรือไม่ พวกศิษย์สำนักชิงหยุนพวกนั้นมองพวกเราด้วยสายตาดูถูก อีกทั้งยังสบประมาทอีก ดังนั้นพวกเราจำเป็ต้องลุกผงาดและแข็งแกร่งขึ้น เป็ศิษย์รับใช้แล้วมันทำไมกัน พวกเราจะต้องทำให้พวกนั้นตกตะลึงและหวั่นสะพรึงให้จงได้” ฉินชูหันมาพูดกับไป๋อวี้
ไป๋อวี้ปลดผ้าปิดตาออก “ใครดูถูกใครกันแน่ ข้านี่แหละที่จะเป็ฝ่ายดูถูกพวกนั้น”
ฉินชูพาไป๋อวี้มุ่งหน้าเข้าไปในป่ารกร้างพลางพินิจใบภารกิจ
“แบ่งภารกิจมาให้ข้า เ้าทำของเ้า ข้าทำของข้า แบ่งกันทำ” เมื่อเห็นฉินชูอ่านภารกิจ ไป๋อวี้ก็เอ่ยปาก
ฉินชูมองหน้าไป๋อวี้พลางยื่นใบภารกิจให้ปึกหนึ่ง “ก่อนหน้านี้ข้าคิดว่าพวกเราควรทำด้วยกันแล้วแบ่งแต้มคุณูปการเท่าๆ กัน แต่ดูเหมือนเ้าจะมั่นใจกว่าที่ข้าคิดไว้”
หลังจากนั้นฉินชูกกับไป๋อวี้จึงแยกย้ายกันออกไปทำภารกิจของตัวเอง โดยทั้งสองห้ามออกห่างจากเส้นทางที่กำหนด เพราะถ้าหากเกิดเหตุไม่คาดฝันจะได้ช่วยเหลือกันได้ทันท่วงที
หลังจากรักษาระยะห่างกับไป๋อวี้ ฉินชูก็เริ่มตามหาสมุนไพร ซึ่งเขาชำนาญเื่นี้ยิ่งนัก ผู้เฒ่ามักจะปรุงโอสถชุบชีวิตให้เขาแช่เพื่อฟื้นฟูร่างกาย ทั้งยังสอนเขาจำแนกสมุนไพรต่างๆ และตัวเขาก็เองเคยเก็บสมุนไพรให้ผู้เฒ่ามาหลายต่อหลายครั้ง
ฉินชูรู้ว่าทางต้นตระกูลของไป๋อวี้จะต้องไม่ธรรมดาเป็แน่ โดยวิเคราะห์จากคำพูดคำจาของอีกฝ่าย แต่ฉินชูหาได้สนใจ ถ้ามีโอกาสได้เล่นสนุกด้วยกันก็จงดื่มด่ำไปกับความสนุกนั้น แต่ถ้าเข้ากันไม่ได้ก็ต้องแยกย้าย ในตอนนี้ฉินชู้าเร่งทำภารกิจเพื่อจะได้พัฒนาตัวเองขึ้นเรื่อยๆ และเมื่อเริ่มเป็ที่รู้จักในสำนักก็จะได้มีโอกาสเข้าใกล้ผู้เฒ่าโม่มากขึ้น เพราะเขาอยากรู้เื่ต้นกำเนิดของตัวเอง
ฉินชูไม่ใช่คนโง่ เขารู้ดีว่าคนในตระกูลไม่ได้ทอดทิ้งเขา เพราะขณะที่ถูกตามฆ่า พวกเขายังเจียดเวลามาทำป้ายหลุมศพให้เขาอีก นี่เป็การแสดงถึงความรักในรูปแบบหนึ่ง อีกอย่างที่เขารู้ก็คือตอนนี้เขามีศัตรูที่ต้องตามล้างแค้น แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น เขาจะต้องเข้าหาผู้เฒ่าโม่เพื่อตามหาเบาะแสของต้นตระกูลตัวเองเสียก่อน หากตามหาโดยใช้จี้หยกที่เป็เบาะแสเพียงหนึ่งเดียว เกรงว่าคงเป็เื่ที่ยากยิ่งกว่างมเข็มในมหาสมุทรเสียอีก
ขณะครุ่นคิดอยู่นั้น ฉินชูก็เก็บสมุนไพรใส่กระเป๋าเป้ที่อยู่ด้านหลังไปพลางๆ
ขณะที่ฉินชูกำลังขุดเก็บโสมหิมะอยู่ เขาก็ได้ยินเสียงคำรามของสัตว์อสูรเคล้าไปกับเสียงมนุษย์ ทันใดนั้นฉินชูก็รับรู้ได้ทันทีว่าไป๋อวี้กำลังตกอยู่ในอันตราย จึงรีบตามต้นเสียงไปอย่างรวดเร็ว
เมื่อถึงที่เกิดเหตุ ฉินชูก็เห็นไป๋อวี้ต่อสู้อยู่กับหมีป่าดุร้ายตัวหนึ่ง
“เ้ารีบหนีออกมา นี่เป็หมีป่าสัตว์อสูรขั้นสาม พวกเราโค่นมันไม่ได้” ไป๋อวี้ได้รับาเ็เข้าแล้ว หน้าอกของเขาถูกกรงเล็บหมีป่าถากเป็รอยแผลชุ่มเื
“จะหนีทำไม สู้กับมันสิ” ฉินชูชักกระบี่ออกมาก่อนจะพุ่งเข้าใส่หมีป่าที่กำลังคลุ้มคลั่งอยู่ทันที
ฉินชูกับไป๋อวี้สู้กับหมีป่าไปด้วยกัน มันคลุ้มคลั่งดุร้ายเป็ที่สุด รอบตัวของมันมีคลื่นพลังบางอย่างกระเพื่อมออกมาอยู่ตลอด แม้คมกระบี่ของฉินชูกับไป๋อวี้จะโจมตีมันได้ แต่ก็แค่ิัด้านนอก นอกจากนี้ กรงเล็บของมันก็คมกริบยิ่งนัก หากถูกตะปบเข้าตรงๆ เพียงครั้งเดียว มีหวังพวกเขาคงตายคาที่แน่
เมื่อการต่อสู้ผ่านไปสักพัก ไป๋อวี้ก็ถูกคลื่นพลังที่ะเิออกมาจากอุ้งมือหมีป่ากระแทกใส่จนกระเด็นออกไป
“ข้าต้องขอบใจเ้าที่มาช่วยข้า แต่เ้ารีบหนีไปเถอะ” ทั้งที่กำลังลอยอยู่กลางอากาศ ไป๋อวี้ยังไม่วายะโพูดกับฉินชู
“ให้ตายเถอะ ข้าไม่เคยวิ่งหนีสัตว์อสูรมาก่อน มีแต่ต้องโค่นมันเท่านั้น” ฉินชูเก็บกระบี่ไว้ข้างเอว จากนั้นก็กางแขนะโเข้าใส่หมีป่าในระยะประชิด สองหมัดกำแน่นและระรัวหมัดใส่หมีป่า
ตุบ! ตุบ!
ฉินชูกับหมีป่ายังคงผลัดกันโจมตีไม่หยุดหย่อน เสียงต่อสู้จึงดังขึ้นไม่หยุด
ทุกครั้งที่ถูกหมีป่าซัดกระเด็น ฉินชูก็พุ่งเข้าใส่มันทันที ทำเอาไป๋อวี้ตะลึงงัน เขาทำได้แต่คิดในใจว่า ฉินชูเป็ศิษย์รับใช้จริงๆ หรือ ท่าทางและการต่อสู่เช่นนี้มันสัตว์อสูรในร่างมนุษย์ชัดๆ
ส่วนตัวฉินชูเองก็คิดว่าตัวเขายังพอไหวและสู้ได้อยู่ เพียงแต่ปัญหาหลักๆ ก็คือกระบวนท่ากระบี่ของเขาไม่มีแรงเสริมจากพลังปราณ จึงทำให้อานุภาพทำลายล้างไม่รุนแรงพอ ในทางตรงกันข้าม เขากลับะเิพละในร่างกายของเขาออกมาผ่านหมัดได้รุนแรงกว่า
“มัวแต่ดูอะไรอยู่ เ้าอยากให้ข้าตายจริงๆ หรือไง รีบเด็ดหัวมันซะ” เห็นไป๋อวี้มัวแต่ยืนทื่อ ฉินชูก็ะโเรียกสติเขา
และแล้วไป๋อวี้ก็ได้สติกลับคืนมา จากนั้นก็ชักกระบี่ออกมาร่วมวงต่อสู้กับฉินชู
ไม่นานนักหมีป่าก็ได้รับาเ็สาหัสจากท่าตีลังกาม้วนตัวฟันกระบี่ของไป๋อวี้ ทำเอาเส้นเอ็นขาหลังข้างหนึ่งของมันขาด การเคลื่อนไหวของหมีป่าจึงลดลงในระดับหนึ่ง
หมีป่าที่ได้รับาเ็ร้องคำรามออกมา คลื่นพลังทั่วทั้งร่างก็แผ่ออกมารุนแรงยิ่งกว่าเดิม ดวงตาก็เริ่มแดงก่ำขึ้นมา
“มันกำลังเลื่อนขั้น...ตบะของมันกำลังจะเลื่อนขึ้นเป็สัตว์อสูรขั้นสี่ พวกเราจะทำอย่างไรดี” ไป๋อวี้ร้อนใจ เพราะสัตว์อสูรขั้นสามกับขั้นสี่มันคนละเื่กันเลย หากเป็สัตว์อสูรขั้นสาม พวกเขายังพอมีโอกาสโค่นมัน แต่ถ้าเป็สัตว์อสูรขั้นสี่ มันสามารถฆ่าพวกเขาทั้งสองคนได้อย่างง่ายดาย
“ข้าเห็นใบภารกิจที่หอคุณูปการมีภารกิจเก็บผลึกพลังของสัตว์อสูรขั้นสี่อยู่ แต่ไม่ได้หยิบมา ถ้าพวกเราฆ่ามันตอนนี้ ก็สามารถแลกแต้มคุณูปการกับภารกิจอันนั้นได้” ฉินชูไม่มีความคิดที่จะหนี พูดจบก็หายวับไปโผล่ด้านหลังหมีป่าทันที เขาะโลอยตัวขึ้นขี่คอมัน เค้นพลังทั้งหมดไปที่หมัดขวาก่อนซัดเข้าไปที่ท้ายทอยเต็มแรง
หมีป่าคลุ้มคลั่งกว่าเดิม อุ้งมือตะเกียกตะกายในอากาศ ฉินชูเกี่ยวขายึดตัวเองอยู่บนร่างของมันอย่างมั่นคง
ไป๋อวี้เริ่มเคลื่อนไหวเช่นกัน เขาหาจังหวะและแทงกระบี่เข้าไปบนร่างหมีป่าทันที
เมื่อได้รับาเ็ คลื่นพลังทั่วร่างก็ปะทุขึ้นมาอย่างรุนแรง พลังชีวิตทั่วร่างของมันเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง และแล้วมันก็เลื่อนตบะเป็สัตว์อสูรขั้นสี่
แต่ต่อให้ตบะเลื่อนขั้นแล้ว มันก็ยังสลัดฉินชูไม่หลุด จึงกระแทกตัวเองเข้ากับต้นไม้ด้านหลัง
แกรก!
เสียงต้นไม้หักดังขึ้นอย่างชัดเจน ทำเอาฉินชูที่ถูกกระแทกเข้ากับต้นไม้ตาลายไปครู่หนึ่ง ครั้นแล้วเขาก็ชักกระบี่ของตัวเองออกมาอีกครั้ง
มือขวาถือกระบี่ค้ำพื้น กระบี่พลันตวัดและพุ่งเข้าแทงลำคอของหมีป่า “ไป๋อวี้ ตัดขามันซะ” ฉินชูไม่อยากปล่อยให้หมีป่าล้มสะเปะสะปะ จึงสั่งให้ไป๋อวี้ตัดขาเสีย
หมีป่าที่พยายามสลัดฉินชูอย่างสุดความสามารถไม่มีเวลามาสนใจไป๋อวี้ ทำให้ไป๋อวี้อาศัยจังหวะนั้นตัดขาของมันจนขาดสะบั้น
เมื่อขาทั้งสองข้างถูกฟัน หมีป่าก็ทำได้แค่ล้มลงบนพื้น จากนั้นฉินชูก็ง้างกระบี่และฟันไปที่คอของมันก่อนจะเลื่อยซ้ำแล้วซ้ำเล่า จนกระเืสีแดงเข้มพุ่งกระฉาดออกมาไม่หยุด
ไม่นาน คอของหมีป่าก็ถูกฉินชูเลื่อยจนขาด ร่างของมันจึงแน่นิ่งลงในที่สุด
“ถือว่าคลุ้มคลั่งไม่เบา” ฉินชูมองร่างตัวเองที่เปียกโชกไปด้วยคราบเื
“ลูกพี่ไม่เป็ไรใช่หรือไม่” ไป๋อวี้เข้ามายืนข้างๆ ฉินชู ตอนนี้เขายอมรับฉินชูเป็หัวหน้าแล้ว “ข้าไม่เป็ไร ต่อไปนี้เ้าอย่าหัวหดให้ข้าเห็นอีก ถึงเวลาสู้ก็ต้องสู้ เอาแต่คิดหนีอยู่ได้ ภารกิจเก็บเกี่ยวผลึกพลังของสัตว์อสูรขั้นสี่มีแต้มคุณูปการอยู่ที่สามพันแต้มเชียว” ฉินชูถลึงตาใส่ไป๋อวี้
“ลูกพี่ไม่เคยฝึกพลังปราณงั้นหรือ” ไป๋อวี้พบจุดบอดของฉินชูจึงถามขึ้นมา ฉินชูไม่เคยฝึกปราณมาก่อน ทำให้เขาเอาแต่ใช้ร่างกายต่อสู้มาโดยตลอด
ฉินชูเหลือบมองไป๋อวี้ “ก็ที่ข้าทำภารกิจอยู่นี่... ก็เพราะข้า้าเก็บแต้มเอาไปแลกตำรายุทธ์เพื่อฝึกตน เ้าคิดว่าข้าไม่อยากมีพลังปราณหรือไง”
ไป๋อวี้ขยี้ตาที่บวมช้ำของตัวเองพลางคิดในใจ นี่ขนาดเขาไม่มีพลังปราณยังบ้าระห่ำถึงขนาดนี้ แล้วถ้ามีพลังปราณจะบ้าระห่ำขนาดไหนกัน
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้