มู่หรงอวี้ดันจอกชาไปยังตำแหน่งข้างๆ พูดเสียงทุ้ม “เตี้ยนเซี่ย ลองชิมชาที่เปิ่นหวางนำมาสักหน่อย”
มู่หรงฉือสะบัดแขนเสื้อหย่อนตัวนั่งลง ก่อนจะยกชาขึ้นจิบนิดๆ แล้วเอ่ยชมว่าชาดี ในใจกลับบ่นพึมพำ นี่เป็ชาที่เพิ่งจะส่งเข้าวังมาเมื่อไม่กี่วันก่อนชัดๆ
แม้แต่ของดีในวังก็ตกอยู่ในเงื้อมมือของเขาเสียแล้ว
“ชานี้เตี้ยนเซี่ยยังไม่เคยดื่มมาก่อนหรือ? หรือว่าเตี้ยนเซี่ยมีเื่อะไรในใจจนกลายเป็คนความรู้สึกช้าไปเสียแล้ว?” นิ้วเรียวยาวของเขาหยิบจอกหยกขึ้นมา เมื่อรวมกับริมฝีปากบางแดง สีทั้งสามสีอย่างสีขาว สีเขียวและสีแดง ทำให้คนนึกถึงความงามทั้งหมดในใต้หล้า
“เปิ่นกงกำลังคิดเื่ฝิ่นอยู่ ยิ่งคิดมากเท่าไรกลับยิ่งคิดไม่ออก ไม่เหมือนท่านอ๋องที่วางแผนการมากมาย แต่ยังมีเวลาว่างมาทานอาหารรสเลิศ” น้ำเสียงเรียบเรื่อยเจือความเสียดสีอยู่หลายส่วน
“เตี้ยนเซี่ยกำลังตำหนิเปิ่นหวางที่เอาแต่เล่นจนลืมหน้าที่การงานหรือ?”
“เปิ่นกงจะกล้าทำเช่นนั้นได้อย่างไร? เป็เปิ่นกงที่โง่เขลา หลายวันมานี้ไม่มีความคืบหน้าอะไร แต่ท่านอ๋องไม่เหมือนกัน ทั้งๆ ที่ทั้งวันมีกิจธุระมากมายให้สะสาง แต่ยังมีเวลาว่างมาทานอาหาร”
“วันนี้ปากของเตี้ยนเซี่ยทาน้ำมันหรือดื่มน้ำผึ้งมาหรือ?”
“ที่เปิ่นกงพูดมาเป็คำที่ออกมาจากใจจริง”
มู่หรงฉือดื่มชาไปสองจอกติดกัน นี่เป็ชาจากในวัง แน่นอนว่าจะต้องดื่มหลายๆ จอก จะปล่อยให้เขาได้ประโยชน์ผู้เดียวไม่ได้
แต่ครั้นมองใบหน้าหล่อเหลาฟ้าประทาน ในใจนางก็ไม่สบอารมณ์นัก
นางคลี่ยิ้มแล้วพูด “นี่ก็มืดแล้ว เปิ่นกงควรจะกลับตำหนักสักที”
มู่หรงอวี้กะพริบตาอย่างมีความนัย “เตี้ยนเซี่ยไม่อยากรู้หรือว่าเปิ่นหวางเชิญเ้ามาทำอะไร?”
นางยิ้มเสแสร้งต่อ “ท่านอ๋องอยากจะบอกก็บอกมาเถิด เปิ่นกงจะรับฟังด้วยความยินดี”
เขาพูดเสียงเย็น “เก็บรอยยิ้มจอมปลอมนั้นลงไปเสีย ไม่เช่นนั้นเปิ่นหวางจะไม่บอกแล้ว”
เ้าไม่อยากบอก เปิ่นกงก็ไม่ได้อยากจะฟังเสียหน่อย
นางหงุดหงิดอยู่ในใจ แต่ก็เก็บรอยยิ้มจอมปลอมที่แทบจะทำให้กล้ามเนื้อบนหน้าของนางกระตุกอยู่รอมร่อ ก่อนจะดื่มชาไปเงียบๆ
สำหรับใบหน้าเล็กที่เต็มไปด้วยอารมณ์ของนาง เขาถือว่าน่าพึงพอใจ “เปิ่นหวางตรวจสอบได้ความมาว่า ทั้งราชสำนักในเมืองหลวงมียี่สิบสองคนที่สูบฝิ่น”
“เยอะขนาดนี้เชียวหรือ!” มู่หรงฉือตกตะลึง ก่อนจะโมโหขึ้นมา “หากไม่หยุด จะต้องมีคนสูบฝิ่นเพิ่มขึ้นอีกไม่น้อย”
“ตอนนี้ยังไม่รู้ว่าคนเหล่านี้ไปซื้อฝิ่นมาจากไหน แพร่กระจายออกไปอย่างไร”
“ท่านอ๋องวางแผนจะจัดการกับพวกเขาอย่างไร?”
“ยังไม่รีบ รอตรวจสอบหาคนขายฝิ่นจนครบแล้วค่อยจัดการก็ยังไม่สาย”
“ตอนนี้เบาะแสเดียวที่มีก็คือหลิงหลงเซวียน ซึ่งพวกเราก็ไปกันมาแล้ว กลับไม่พบว่ามีคนเสพฝิ่นที่นั่น”
“ความลับที่หลิงหลงเซวียนเก็บซ่อนเอาไว้ยังจำเป็ต้องตรวจสอบให้ลึกลงไปอีก” ดวงตาของมู่หรงอวี้ทอประกายเย็นเยียบ “ยังมีคุณชายชุดทอง เปิ่นหวางยังต้องคิดอีกสักหน่อย”
“ท่านอ๋องวางแผนจะไปวันไหน?” นางรู้สึกสนุก อยากจะไปด้วยเช่นกัน
“แทนที่จะเลือกวันอื่น มิสู้ไปวันนี้เสียเลย”
“เปิ่นกงเองก็จะไปด้วย”
“เตี้ยนเซี่ยรับปากว่าจะไม่เพิ่มความวุ่นวาย?”
“เปิ่นกงรับปาก!” มู่หรงฉือตบปากรับคำ
มู่หรงอวี้ยกจอกเขียวหยกอันงดงามขึ้นจิบ ดวงตามีประกายแปลกๆ แล่นผ่านไป
นางไม่มีทางรู้ ที่เขามาหานางในวันนี้ก็เพราะอยากจะให้นางไปที่หลิงหลงเซวียนด้วยกัน
เมื่อถึงเวลาอาหารเย็น เสี่ยวเอ้อก็ยกสำรับน่าอร่อยหลายอย่างเข้ามา นางกลับไม่รู้สึกหิว จึงทานไปเพียงเล็กน้อยเท่านั้น
หลังจากทานอาหารเสร็จแล้ว นางยืนอยู่ตรงหน้าต่าง มองออกไปยังรถม้า มองความวุ่นวายบนท้องถนน ความครึกครื้นยามค่ำคืนของเมืองหลวงได้เริ่มขึ้นแล้ว
มีคนเดินเข้ามา แต่นางไม่ได้หันกลับไปมอง คิดว่าเป็เสี่ยวเอ้อมาเก็บถ้วยชามออกไป
“ดูอะไรอยู่หรือ?”
เสียงอ่อนโยนดังขึ้นจากด้านหลัง กลิ่นน้ำหอมอบอุ่นลอยวนอยู่รอบๆ
มู่หรงฉือเบี่ยงตัวออกด้วยความระมัดระวัง พูดอย่างทำตัวไม่ถูก “ไม่มีอะไร แค่ยืนตากลมเท่านั้น”
น้ำเสียงของเขาทุ้มและเย็น “อีกเดี๋ยวค่อยไป ไปเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อน”
นางเห็นสองมือของเขาถืออาภรณ์สีเขียวหนึ่งตัว รู้ว่าเป็ชุดที่เตรียมไว้ให้ตน จึงยื่นมือออกไปรับแล้วกล่าวว่า “ท่านอ๋องเปลี่ยนก่อน เปิ่นกงออกไปรอข้างนอก”
“เตี้ยนเซี่ยกลัวอะไรหรือ” น้ำเสียงของมู่หรงอวี้แฝงความเสียดสีอยู่สามส่วน
“เปิ่นกง...เปิ่นกงกลัวอะไร?” นางรู้สึกเหมือนมีชนักติกหลัง แต่ก็ยังยืดอกพูด “เปิ่นกงแค่ไม่อยากจะอยู่ขวางท่านอ๋องเปลี่ยนเสื้อผ้า...”
ทำไมลิ้นถึงพันกันเช่นนี้? เหตุใดถึงต้องติดอ่างด้วย?
เขาพูดออกมาอย่างหน้าไม่อายด้วยสีหน้าจริงจัง “ที่นี่ไม่มีคนปรนนิบัติ คงต้องรบกวนเตี้ยนเซี่ยผลัดเปลี่ยนอาภรณ์ให้เปิ่นหวางแล้ว”
“ด้านนอกมีคนดูแลอยู่...เปิ่นกงจะไปเรียกคนมาเปลี่ยนชุดให้ท่านอ๋อง...” มู่หรงฉือรีบเดินออกจากห้องไป แต่กลับถูกเขาคว้าแขนเอาไว้จนไม่สามารถขยับได้
“คนดูแลคนนั้นทำงานไม่ค่อยดีเท่าไหร่...เปิ่นหวางไม่คุ้น”
“เปิ่นกงเองก็ฝีมือไม่ค่อยดี...เปิ่นกงไม่เคยปรนนิบัติผู้ใดมาก่อน...”
“เปิ่นหวางจำได้ว่าเตี้ยนเซี่ยมีมือที่อ่อนนุ่ม งดงามกว่าสตรี”
นางดึงมือออกมาทันที โมโหจนอกกระเพื่อมขึ้นลงเร็วแรง แต่ก่อนตอนที่เขาอยู่ชายแดนมีนางกำนัลคอยดูแลเขาหรืออย่างไร?
เขากำลังจงใจทำให้นางลำบากใจ! จงใจทำให้นางอับอาย!
ทว่านางจะทำอย่างไรก็ดึงมือไม่ออก อีกทั้งยังถูกเขาจับมือขึ้น พลางนวดไปมาเป็การแหย่เล่น
ฝ่ามือใหญ่หนาหยาบนวดไปที่มือเรียวนุ่มนิ่มของนาง จนเกิดเป็ความรู้สึกแปลกประหลาด ทั้งยังรู้สึกเจ็บเล็กน้อย
มู่หรงฉือมองค้อนอย่างโมโห ก่อนจะออกแรงดึงมือกลับมา
มู่หรงอวี้ดึงนางกลับเข้าไปในห้อง นางก็โมโหพุ่งออกมานอกห้อง ทันใดนั้นแผ่นหลังก็ชาจากนั้นก็ไม่สามารถขยับตัวได้อีก
“ท่านคิดจะทำอะไร?” นางตะคอกด้วยความโมโห
“เปิ่นหวางจะให้เตี้ยนเซี่ยปรนนิบัติเปิ่นหวางได้อย่างไร? หรือว่าให้เปิ่นหวางช่วยเตี้ยนเซี่ยเปลี่ยนชุดแทน?” ดวงตาดำของเขาทอประกายร้ายกาจออกมา
“ท่าน!” นางโกรธจัดจนสติแทบหลุด “เปิ่นกงไม่้าให้ใครมาดูแล! รีบคลายจุดให้เปิ่นกงเดี๋ยวนี้!”
เขาทำเป็ไม่ได้ยิน นิ้วเรียวยาวแกะที่คาดเอวของนางออกเบาๆ ช้าๆ ราวกับคู่รักที่เพิ่งจะแต่งงานกัน ตั้งใจจะปั่นป่วนความคิดของนาง
ฉับพลันนั้นเองใบหน้าของนางพลันแดงก่ำ ไฟโทสะปะทุขึ้นสู่ศีรษะของนางก่อนนางจะตวาดออกมา “ท่านจะทำเช่นนี้ไม่ได้!”
เขาเอาจริง! จะทำอย่างไรดี?
ฉินรั่วที่อยู่ด้านนอกได้ยินเสียงแหลมของเตี้ยนเซี่ยดังออกมาจากในห้อง เดาได้ว่าเตี้ยนเซี่ยคงจะมีอันตรายจึงอยากจะบุกเข้าไปช่วยเตี้ยนเซี่ย แต่ว่าผู้ติดตามของอวี้หวางที่อยู่ตรงข้ามจ้องมองอยู่
นางเชื่อว่าขอเพียงนางเคลื่อนไหว ผู้ติดตามใบหน้าไร้อารมณ์คนนั้นจะต้องลงมือขัดขวางแน่
ภายในห้อง ริมฝีปากแดงของมู่หรงอวี้ยกยิ้มร้ายกาจ “เปิ่นหวางแค่จะเปลี่ยนชุดให้เตี้ยนเซี่ยเท่านั้น”
ร้ายกาจจนทำให้คนโมโห!
ตอนนี้สองมือของมู่หรงฉือกำหากันแน่นจนเส้นเืปูดโปน นางกัดฟันจนแทบจะแตก
ชุดตัวนอกสีขาวร่วงหล่นลงพื้น ประหนึ่งก้อนเมฆที่ร่วงหล่นจากท้องฟ้าลงมาคลุมที่เท้าของพวกเขาทั้งสอง
นางอยากจะให้สายตาของตนเป็ดังกระบี่แหลมคมจะได้แทงเขาให้เป็รูเสีย
เขาปลดเสื้อตัวกลางสีขาวของนางออก สายตาจับจ้องอยู่ที่ใบหน้าเล็กของนาง
ดวงหน้าเล็กในตอนนี้แดงก่ำจนแทบจะมีเืหยด กระทั่งหูกับคอก็แดงฉานราวดอกกุหลาบ ลำคออ่อนนุ่มแดงก่ำจนทำให้คนอยากจะก้มลงไปกัดสักที
ช่างเป็ขั้นตอนที่แสนยาวนานเสียเหลือเกิน เขาร้อนรุ่มทรมาน เทียบกับการรับโทษทรมานทางใจทั้งยังท้าทายปณิธานของตน
นางถลึงตาใส่เขาไม่กระพริบ ในดวงตามีลูกไฟแห่งโทสะปรากฏอยู่
ทว่าเขาทำเป็มองไม่เห็น
เสื้อตัวกลางถูกแหวกออก เผยให้เห็นเสื้อตัวในสีขาว แต่กลับไม่ใช่ชุดอย่างที่หญิงสาวสวมใส่กัน
ในใจของนางเต็มไปด้วยความอับอาย ความโกรธแล่นปราดไปทั่วร่าง ริมฝีปากล่างถูกกัดจนแตกก็ยังไม่รู้ตัว นางรู้เจตนาของเขาเป็ที่แน่นอนแล้ว ก็อยากจะ ‘พิสูจน์ด้วยตาตัวเองเท่านั้นไม่ใช่หรือ?’
เสื้อสีขาวดุจก้อนเมฆที่ปกคลุมร่างกาย กระดูกไหปลาร้าสวยราวหยก เพียงเท่านี้มู่หรงอวี้ก็ปากคอแห้งผาก เืลมพลุ่งพล่าน ในหัวเต็มไปด้วยความคิดมากมาย
นิ้วเรียวขยับเบาๆ เสื้อตัวในก็เผยผ้าที่พันหน้าอกอย่างแ่าหลายรอบ
มู่หรงฉือหลับตาแน่น โทสะมากมายไม่ได้ระบายออกมา นางอยากจะสับบุรุษตรงหน้านี้ให้เป็ชิ้นๆ เสีย!
“อ้อ...” เขาทำหน้าเหมือนจะยิ้มแต่ก็ไม่ยิ้ม มุมปากยกขึ้นด้วยเจตนาที่ไม่ชัดเจน “ที่แท้ก็เป็เช่นนี้นี่เอง”
“พอใจแล้วหรือไม่?” ใบหน้าแดงเรื่อหายไปกลายเป็สีเขียวปั๊ด ไฟโทสะปะทุ “รู้แล้วเหตุใดยังไม่ฆ่าเปิ่นกงเสียเล่า?”
“ฮ่องเต้ทรงล้อเล่นครั้งใหญ่กับเหล่าขุนนางและประชาชนเสียแล้ว”
เขาสวมเสื้อตัวใน ตัวกลาง ตามด้วยชุดตัวนอกสีเขียวให้นางอย่างอ่อนโยน
ความจริงแล้วเขามั่นใจนานแล้วว่านางคือสตรี เพียงแต่เขาอยากจะเห็นด้วยตาของตัวเองเท่านั้น
ร่างกายของมู่หรงฉือเย็นเยียบ แต่ภายในกลับเต็มไปด้วยไฟโทสะ ความร้อนเย็นในร่างประสานเข้าหากันแล้วรุมโจมตีร่างกายอันบอบบางของนางจนแทบหมดเรี่ยวแรง ร่างกายสั่นเทาเล็กน้อย
มู่หรงอวี้ผูกสายรัดเอวให้นาง สองมือจับอยู่ที่เอวนุ่มอย่างเต็มมือจนทำให้คนคิดไปมากมาย
นางกัดฟันกรอด ใบหน้าเล็กแดงขึ้นมาอีกครั้ง “ปล่อยมือ!”
เขายิ้มน้อยๆ อย่างมีเลศนัย ยกมือขึ้นจิ้มเอวนางแล้วปล่อยมือ
ร่างของนางพลันอ่อนยวบ ทั้งยังสั่นไหวเล็กน้อยจนเกือบจะล้มลงไปกับพื้น โชคดีที่เขามือไวตาไวคว้านางเอาไว้ได้ทัน
นางผลักเขาออกไปอย่างแรง เรียกได้ว่าแรงมาก ต่อมาก็ะโห่างออกไปสามก้าวก่อนจะถลึงตามองเขาอย่างเตรียมพร้อม
เขาได้ไม่คิดอะไรมาก แล้วถอดเสื้อตัวนอกออก
นางรีบเดินออกไปด้านนอก แล้วดื่มชาลงไปสองจอกติดๆ กัน ถึงจะสงบสติอารมณ์ลงได้
ไม่นานนัก มู่หรงอวี้ที่เปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จแล้วก็เดินออกมา ก็มองเห็นบุรุษแปลกหน้าตัวผอมคนหนึ่งนั่งอยู่ด้านนอก หน้าตาดาษดื่นไม่โดดเด่น มีเพียงดวงตาคู่นั้นที่ระยิบระยับเหมือนกับผลึกแก้ว
ที่แท้นางก็สวมหน้ากากหนังมนุษย์แล้ว
มู่หรงฉือเองก็มองไปที่เขา ไม่ว่าจะเป็ชุดขุนนางหรือว่าชุดลำลอง เสื้อผ้าส่วนใหญ่ที่เขาสวมมักเป็สีดำ ตอนนี้เปลี่ยนมาเป็ชุดสีขาวปราศจากลวดลาย ทำให้ภาพลักษณ์เปลี่ยนไป กลายเป็ดูสง่างาม บริสุทธิ์ปราศจากสิ่งมัวหมอง ราวกับเป็ดอกไม้น้ำแข็งบนูเาเซียนเผิงหลาย
“มีอะไรหรือ?” เขาสะบัดเสื้อคลุมก่อนจะนั่งลงพลางถามเสียงอ่อนโยน
“ไม่มี...” นางได้สติกลับมา แอบก่นด่าตัวเองที่เหม่อลอยไปเช่นนั้น
นางกดลงไปที่ขอบหน้ากากหนังมนุษย์แรงๆ อีกครั้ง มู่หรงอวี้เองก็ใส่หน้ากากหนังมนุษย์เช่นกัน เพียงพริบตาเดียว ใบหน้าหล่อเหลาทั้งสองดวงก็เปลี่ยนมาเป็บุรุษหน้าตาธรรมดา
มู่หรงฉือถาม “ท่านอ๋องมีวิธีเข้าไปในหลิงหลงเซวียนหรือไม่?”
เขาไม่ตอบ เพียงเปิดประตูห้องออกไป
ตอนที่ฉินรั่วเห็นบุรุษแปลกหน้าสองคนก็ชะงักไป จากนั้นก็มองเข้าไปข้างใน เตี้ยนเซี่ยเล่า?
มู่หรงฉือเชยคางฉินรั่ว ยกยิ้มร้ายกาจแล้วพูดออกมาอย่างคุณชายเ้าสำราญ “น้องชายผู้หล่อเหลา วันนี้มาดื่มสุราเป็เพื่อนข้าสักสองสามจอกสิ”
ครั้นได้ยินเสียง ฉินรั่วก็จำได้ว่าเด็กหนุ่มแปลกหน้าผู้นี้ก็คือเตี้ยนเซี่ย นางพูดอย่างรู้สึกผิด “หนูฉายจำเตี้ยนเซี่ยไม่ได้ หนูฉายสมควรตาย”
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้