เหยียนเฟิงเกอเปลี่ยนชุดอย่างรวดเร็ว อ๋าวหรานกับชิงโย้วคุยกันได้ไม่กี่คำเขาก็ออกมาแล้ว อาหารเย็นถูกยกเข้ามาแล้วพอดี “ท่านไม่ได้กินอะไรมาทั้งวันแล้ว เรากินไปคุยไปเถิด”
เหยียนเฟิงเกอพยักหน้า อ๋าวหรานพูดต่อว่า “วันก่อนตอนกลางคืนที่ฮวาเล่อทิง ข้าเห็นศิษย์พี่แล้ว แต่ว่าตอนนั้นเห็นแค่ด้านหลัง จำไม่ได้ชัดนัก”
เหยียนเฟิงเกอเงยหน้าขึ้นทันใด อ๋าวหราน “ตอนนั้นศิษย์น้องกำลังกินข้าวอยู่”
เหยียนเฟิงเกอเหมือนกำลังย้อนความคิดอยู่นิดหน่อย “เหมือนจะได้ยินเสียงฝีเท้าทางด้านหลัง ตอนนั้นกำลังคิดเื่บางอย่างอยู่ หากสังเกตเห็น คงจะได้เจอกันเร็วขึ้นแล้ว”
“นี่ก็ไม่ช้าเท่าไรหรอก” อ๋าวหรานตอบ
“ได้ยินมาว่าฮวานเล่อทิงเป็ร้านของตระกูลจิ่ง เดิมทีอยากจะสืบข่าวเื่เ้าหน่อย แต่พวกเขาปิดปากสนิทมาก” หยุดไปนิด เหยียนเฟิงเกอพูดอีกว่า “เ้ายังอยู่ดี พ่อบุญธรรมจะต้องดีใจมากเป็แน่”
ความโศกเศร้าและข่มกลั้นในน้ำเสียงผสมปนเปกัน ทำให้คนปวดใจ อ๋าวหรานพูดขึ้นประโยคหนึ่งว่า “ท่านก็ด้วย ยังอยู่ดี พ่อก็ต้องดีใจมากเช่นเดียวกัน”
เมื่อได้ยิน เหยียนเฟิงเกอเงยหน้า จ้องมองอ๋าวหราน ดวงตาแดงก่ำ
อ๋าวหรานยิ้ม “รีบกินเถิด ข้าจะเล่าเื่ตระกูลทางให้ท่านฟัง”
เหยียนเฟิงเกอปกติเป็คนสงบเยือกเย็น ตอนนี้เสียงกลับสูงขึ้นแล้วพูดว่า “ตระกูลทาง? ไม่ใช่ตระกูลเฉิน? ตระกูลทางไหนหรือ? เหตุใดจึงไม่เคยได้ยินมาก่อน?”
อ๋าวหรานส่ายศีรษะ “เื่ตระกูลเฉินนั้นเป็ข้าที่ตั้งใจหลอกผู้อื่น เื่นี้ค่อนข้างซับซ้อน จึงทำได้แค่ผลักภาระไปที่พวกเขา”
เหยียนเฟิงเกอวางตะเกียบลง ฟังอย่างตั้งใจ ราวกับว่าไม่อยากพลาดสักรายละเอียดเดียว
“ท่านกลับไปที่ตระกูลอ๋าวมาแล้วใช่หรือไม่?” อ๋าวหรานรินเหล้าถ้วยหนึ่ง แล้วถาม
เหยียนเฟิงเกอพยักหน้า “กลับไปแล้ว”
อ๋าวหราน “ค้นพบอะไรบ้างไหม?”
ปลายนิ้วของเหยียนเฟิงเกอสั่นเทา ลำคอขยับขึ้นลงอยู่นานถึงพูดว่า “ดูระเกะระกะ ถูกไฟเผาจนวอดวาย ไม่พบอะไรเลย”
อ๋าวหรานพยักหน้า “ใช่แล้ว นอกจากเผาแล้วยังขโมยของอีก แม้แต่ร่างของบิดามารดาก็ยังหาไม่เจอ แม้กระทั้ง เสื้อผ้าสักชุดก็ยังไม่เหลือไว้”
เหยียนเฟิงเกอใ “ข้า...คิดว่าเ้าฝังไปแล้ว”
อ๋าวหรานส่ายหน้า “ตอนที่ข้าถูกจิ่งเซียงช่วยไว้ ก็ขอร้องให้นางช่วยไปสืบดูให้หน่อย ดูว่ายังเหลือผู้รอดชีวิตหรือไม่ ตอนนั้นก็เป็สามวันให้หลังไปแล้ว ตอนที่ไปไม่มีอะไรเหลืออยู่อีกแล้ว มีแต่เศษซาก ตอนหลังจิ่งฝานยังส่งคนไปหาอย่างละเอียดอีกครั้ง แต่แม้แต่เส้นพบสักเส้นก็ยังไม่มีเหลือไว้”
เหยียนเฟิงเกอกำหมัดแน่น โต๊ะยังสั่นะเืน้อยๆ ในใจพอเดาอะไรได้แล้ว “พวกนั้นกำลังหาของบางอย่างใช่หรือไม่?”
อ๋าวหรานพยักหน้า “ใช่ กำลังหาคัมภีร์ลับเล่มหนึ่งอยู่”
ต่อให้ปกติจะเป็คนนิ่งเงียบพูดน้อยแค่ไหน ทว่าตอนนี้กลับถามออกมาไม่หยุด “คัมภีร์ลับอันใด? เพลงกระบี่ตระกูลอ๋าว? เพื่อเพลงกระบี่เล่มเดียวต้องฆ่าล้างตระกูลผู้อื่นเลยหรือ? พวกนั้นมีความสามารถขนาดนี้ จะ้าเพลงกระบี่ไปเพื่ออะไร?”
อ๋าวหราน “ จี๋ต้าว”
เหยียนเฟิงเกออึ้ง “จี๋ต้าว? มันคืออะไร? เหตุใดข้าจึงไม่เคยได้ยินพ่อบุญธรรมพูดถึงมาก่อน?”
อ๋าวหรานส่ายหน้า “บิดาข้าก็ไม่รู้”
เหยียนเฟิงเกอมองอ๋าวหรานอย่างสงสัย
อ๋าวหรานพูดต่อไปว่า “คัมภีร์ลับนี้อยู่ที่เขาจือเหยา จิ่งฝานส่งคนไปหาแล้ว แต่ก็ยังหาไม่พบ”
เหยียนเฟิงเกอไม่มีความสนใจต่อคัมภีร์ลับ เขาแค่อยากรู้ว่าตระกูลคู่แค้นคือใคร “ฆาตกรก็คือตระกูลทางที่เ้าพูดถึงหรือ?”
อ๋าวหราน “ใช่”
ขาโต๊ะใต้มือเหยียนเฟิงเกอ ถูกมือของเขาบีบจนส่งเสียงร้อง
อ๋าวหรานแกะมือเขาออก “ข้ารู้ว่าท่านอยากล้างแค้น แต่พวกเราทำอะไรตระกูลทางไม่ได้ ต่อให้เป็ตระกูลจิ่งที่ยิ่งใหญ่เองก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของตระกูลทาง”
เหยียนเฟิงเกอตะลึง “จะเป็ไปได้อย่างไร ตระกูลทางนี้ ข้าไม่เคยได้ยินมาก่อน”
อ๋าวหราน “เป็หนอนที่เร้นกายอยู่ในความมืด ขุนตัวเองให้อ้วนมาโดยตลอด แล้วก็อ้วนจริงๆ เสียด้วย เพราะในมือของพวกนั้นมี คัมภีร์ ‘จี๋ต้าว’ บางส่วนอยู่ มันสร้างยอดฝีมือขึ้นมากมาย อีกทั้งพวกนั้นเอาคัมภีร์ลับเล่มนี้เป็ตัวล่อ ดึงดูดหลายตระกูลให้แลกชีวิตเพื่อพวกเขาได้ ถึงแม้ตระกูลพวกนี้จะไม่ใช่ตระกูลอันดับหนึ่งอันดับสองบนแผ่นดินใหญ่ แต่ถ้ามีจำนวนมาก ก็กัดช้างตายได้เช่นกัน”
เหยียนเฟิงเกอสองตาแดงก่ำ จ้องอ๋าวหรานอย่างเอาเป็เอาตาย “แค้นนี้ เ้าไม่คิดจะล้างหรือ ข้าไป...”
อ๋าวหรานถอนหายใจ สิ่งที่ทำให้เยียนเฟิงเกอสูญเสียท่าทีได้ก็คงมีแค่เื่แก้แค้นนี่แหละ “ต้องล้างแค้นแน่อยู่แล้ว”
อ๋าวรานจิบสุราในจอก “ต่อให้พวกเราไม่ล้างแค้น พวกนั้นก็ไม่มีทางปล่อยเราไป”
เหยียนเฟิงเกอตะลึง อ๋าวหรานรินเหล้าให้เหยียนเฟิงเกอเพิ่ม
ตระกูลจิ่งมีเหล้าเยอะ หมักจากดอกไม้ หมักจากข้าว แม้กระทั่งหมักจากสมุนไพร มีมากมายหลายชนิด ชาติที่แล้วอ๋าวหรานไม่ใช่คนชอบดื่ม แค่ดื่มบ้างบางครั้ง เมื่อมายังโลกใบนี้ ส่วนใหญ่ก็เอาแต่ดื่มชา ตอนหลังดื่มกับพวกจิ่งฝานไปครั้งหนึ่ง ก็รู้สึกว่าเหล้าของตระกูลจิ่งไม่เลวเลย โดยเฉพาะเหล้าที่หมักจากดอกไม้ รสละมุน ทำให้คนมิอาจลืมเลือน ที่สำคัญคือสุราที่หมักจากดอกไม้นี้ระดับแอลกอฮอร์ไม่สูง ไม่ทำให้คนเมา อ๋าวหรานมักใช้ดื่มแทนน้ำ
“ครั้งนี้ไปบริเวณรอบตระกูลจิ่งมาครั้งหนึ่ง ลูกสาวบุญธรรมตระกูลทาง หลางฉา หวางฮวายเหล่ยจากตระกูลหวาง ล้วนมากันหมดแล้ว ทุกคนล้วนแต่อยากมากสืบข่าวคราวจากข้า เื่โกหกที่ข้าสร้างขึ้นมานั้น ก็แค่ทำให้พวกเขาคิดว่าข้าไม่รู้เื่ ส่วนคำโกหกนี้จะหลอกไปได้นานแค่ไหนก็ยังไม่รู้” ดื่มติดต่อกันหลายแก้ว อ๋าวหรานหน้าแดงเล็กน้อย “แผ่นดินใหญ่นี้ดูแล้วเหมือนสงบสุข แต่อีกเดี๋ยวก็จะเกิดการนองเืขึ้น ถ้าหากข้าตายไปพร้อมพ่อแม่ข้าก็ช่างเถอะ แต่ข้าดันมีชีวิตอยู่ จึงต้องใช้ชีวิตอยู่บนเกลียวคลื่นปากพายุ เป็เป้าหมายให้ทุกคนโจมตี”
เหยียนเฟิงเกอพูดไม่ออกอยู่เป็นาน
คำพูดพวกนี้อ๋าวหรานไม่เคยบอกกับพวกจิ่งฝาน แต่คาดว่าพวกจิ่งฝานเองก็คงคิดได้ หากคนทั้งใต้หล้ารับรู้ถึงการมีอยู่ของ คัมภีร์ ‘จี๋ต้าว’ แล้ว เช่นนั้นเขาก็คงเป็ที่จดจ้องไปทั่ว
อ๋าวหรานมองเขายิ้มๆ “ศิษย์พี่ หากท่านไม่กลับมาก็ช่างมันเถอะ ทว่าตอนนี้กลับมาแล้ว ก็ต้องถูกข้าลากลงน้ำไปรับเคราะห์ด้วยกันแล้ว ถึงตอนนั้นต้องปกป้องข้าด้วยนะ”
เมื่อได้ยิน เหยียนเฟิงเกอพยักหน้าอย่างหนักแน่น อ๋าวหรานรู้ ต่อให้เขาไม่พูด เหยียนเฟิงเกอก็จะทำเช่นนั้นอยู่ดี ไม่สู้พูดออกมาเสียเลย เขาจะได้ไม่ต้องเอาแต่เก็บกดเอาไว้ในใจจนเกินไป
เหยียนเฟิงเกอลังเลอยู่พักหนึ่ง ถามว่า “เ้าจะรั้งอยู่ที่ตระกูลจิ่งนี่ตลอดไปหรือ? แล้วพวกเขา...”
อ๋าวหรานไม่รอจนเขาพูดจบ ก็พูดต่อว่า “จิ่งฝานสองพี่น้องและจิ่งจื่อรู้เื่ทั้งหมด พรุ่งนี้จะแนะนำให้ท่านรู้จัก เดิมทีเคยคิดว่าไม่อยากเป็ภาระพวกเขา แต่ต่อมาก็เจอเื่ที่ต้องทำให้อยู่ต่อ เภทภัยครั้งนี้ดูเหมือนว่าพวกเขาคงต้องร่วมรับไปกับข้าแล้วล่ะ”
เหยียนเฟิงเกอ “เชื่อถือได้หรือไม่?”
อ๋าวหรานนึกถึงจิ่งฝาน มองสุราในจอก สุดท้ายก็ค่อยๆ พยักหน้า
คนทั้งสองเงียบไปนาน จู่ๆ เหยียนเฟิงเกอก็พูดขึ้น “เ้าคิดจะเอาอย่างไรกับนายน้อยตระกูลจิ่งคนนี้?”
“ข้าอยากให้เขาหา คัมภีร์ ‘จี๋ต้าว’ ให้เจอ อย่างน้อยให้ของอยู่ในมือเราจะได้มีหลักประกัน ส่วนตระกูลทางตอนนี้เรายังทำอะไรไม่ได้ ต่อให้คนทั้งตระกูลจิ่งออกโรงพร้อมกันก็ยังไม่ใช่คู่มือของคนพวกนั้น สุดท้ายก็คงทำลายศัตรูได้แปดร้อย ตัวเองเสียหายเป็พัน ยิ่งไปกว่านั้นตระกูลจิ่งบางคนก็ไม่อยู่ในการควบคุมของจิ่งฝาน” อ๋าวหรานถอนหายใจ “ดังนั้นตอนนี้จึงทำได้เพียงค่อยๆ จัดการพวกตัวเล็กๆ ไปก่อน เวลาก็มีไม่มากแล้ว ไม่รู้ว่าตระกูลทางจะโจมตีเร็วๆ นี้หรือไม่ ต้องหาวิธีรั้งพวกนั้นไว้ก่อน”
เหยียนเฟิงเกอ “เื่คัมภีร์ลับนั่นเ้ารู้ได้อย่างไร? มอบให้ตระกูลจิ่งจะปลอดภัยหรือ?”
อ๋าวหรานชะงักไปนิดหนึ่ง “คัมภีร์ลับนั้นมอบให้ได้แค่จิ่งฝานเท่านั้น” คำถามแรกอ๋าวหรานไม่ได้ตอบ ด้วยนิสัยของเหยียนเฟิงเกอแล้วจะไม่ถามซ้ำอีก เขาก็จะได้ไม่ต้องอธิบาย
และเป็ไปตามคาด เหยียนเฟิงเกอก็แค่พยักหน้าไปอย่างเงียบๆ ไม่ถามอะไรต่อ ตอนหลังก็ถามเื่อื่นอีกบ้าง สุดท้ายแล้วทั้งสองคนก็เงียบไป
อ๋าวหรานคิดว่าคนคนนี้คืนนี้ได้พูดคำที่ปกติคงต้องใช้เวลาครึ่งชีวิตพูดถึงจะได้ออกมาจนหมดแล้ว หากไม่ได้เกี่ยวกับการล้างแค้น เกรงว่าเขาคงไม่อยากพูดแม้ประโยคเดียว อีกทั้งถึงแม้เหยียนเฟิงเกอกับอ๋าวหรานจะเติบโตมาด้วยกัน แต่ทั้งสองไม่ได้ติดต่อกันมากนัก ทุกครั้งที่อ๋าวหรานเจอเขาก็เอาแต่เยาะเย้ยถากถาง ถึงแม้เหยียนเฟิงเกอจะเห็นแก่หน้าของบิดาอ๋าวหรานจึงพยายามผ่อนคลายความสัมพันธ์ระหว่างคนทั้งสอง แต่จะทำอย่างไรได้เขาเป็เหมือนก้อนน้ำแข็ง เมื่อเจอหน้าแล้วก็ไม่รู้จะพูดอะไร นานไป ทั้งสองก็ยิ่งห่างเหินกัน
ส่วนตอนนี้ อ่าวหรานในฐานะคนนอก ก็ยิ่งไม่สนิทกับเหยียนเฟิงเกอ หากพูดมากไป ก็กลัวเหยียนเฟิงเกอจะรู้สึกได้ว่าิญญาของเขามีอะไรแปลกไป
คนทั้งสองกินข้าวมื้อนี้อย่างเงียบๆ จนหมด เดิมทีอ๋าวหรานคิดจะให้เขาพักที่ห้องด้านใน แต่เหยียนเฟิงเกอดื้อดึงไม่ยอม อ๋าวหรานจึงทำได้เพียงเอาตั่งมาวางให้เขาที่ห้องด้านนอก ปูผ้าห่มปูเตียง ตอนที่เหยียนเฟิงเกอเห็นเขาทำเื่พวกนี้ ยังไม่ค่อยอยากจะเชื่ออยู่นิดหน่อย อ๋าวหรานก็แค่ยิ้มบางบอกให้เขารีบพักผ่อน
——
กลางดึกสงัด ด้านนอกมีแค่เสียงร้องของสัตว์ลอยเข้ามาบ้าง
อาจเป็เพราะดื่มสุราก่อนนอน อ๋าวหรานจึงรู้สึกตัวตื่นขึ้นมาเพราะหิวน้ำ ดวงจันทร์ด้านนอกส่องสว่างราวกับหยก แขวนอยู่บนฟ้า ก่อนหลับไปเขาเปิดหน้าต่างไว้ ตอนนี้ในห้องจึงมีอากาศเย็น อ๋าวหรานปิดหน้าต่าง กำลังจะรินน้ำ กลับพบว่าด้านนอกไม่มีเสียงอะไรเลย แม้แต่เสียงหายใจเบาๆ ก็ไม่มี จึงเดินออกไปข้างนอกเบาๆ บนตั่งไม่มีคนอยู่แล้วจริงเสียด้วย ผ้าห่มเองก็เย็นเฉียบ คิดว่าคงออกไปนานแล้ว
อ๋าวหรานออกมาจากห้อง เดินหาไปทั่ว ก็หาเหยียนเฟิงเกอไม่เจอ ตระกูลจิ่งเป็ตระกูลใหญ่ ผู้คุมกันลับๆ มีอยู่มาก อ๋าวหรานกลัวเขาจะถูกมองเป็โจรแล้วถูกทำร้ายเอา ในนิยายต้นฉบับ หลังจากที่เหยียนเฟิงเกอถูกอ๋าวหรานโจมตีด้วยคำพูดไป ก็นิ่งขรึมตั้งใจจะจากตระกูลจิ่งไปแก้แค้นคนเดียว เหตุเพราะตอนนั้นอ๋าวหรานไม่เป็ที่ชอบใจของคนตระกูลจิ่ง เหยียนเฟิงเกอจึงโดนลูกหลงไปด้วย ถูกผู้คุมกันลับของตระกูลจิ่งทำร้ายคิดว่าเป็โจร ถึงแม้วรยุทธ์ของเหยียนเฟิงเกอจะไม่เลว แต่เดิมทีก็าเ็ภายในอยู่ บวกกับคำพูดพวกนั้นของอ๋าวหราน ความร้อนรุ่มโจมตีหัวใจ ทำให้ชีพจรสับสน ปะทะกับพวกผู้คุมกันลับแค่ไม่กี่กระบวนก็กระอักเืไม่หยุด หากไม่ใช่เพราะตอนหลังจิ่งฝานปรากฏตัวออกมาช่วยเขาไว้ ก็ไม่รู้จริงๆ ว่าจุดจบจะเป็เช่นไร
หาไปรอบหนึ่ง ไม่เจอเขา อ๋าวหรานจึงทำได้เพียงกลับไป วันนี้ไม่ได้พูดจาทำร้ายจิตใจเขา แล้วยังกินยาที่จิ่งฝานจ่ายให้ไปแล้ว สู้กับพวกผู้คุ้มกันไม่กี่คนไม่ใช่ปัญหา คิดไปแล้วก็ก้าวเท้าเดินเข้าห้อง กลับถูกไหที่ถูกทิ้งลงมาจากบนหลังคาทำให้ใ อ๋าวหรานถอยหลังไปนิดหน่อย เงยหน้าขึ้นไปถึงเห็นว่าเหยียนเฟิงเกอกำลังนั่งอยู่บนหลังคาที่มีไหสุราทิ้งอยู่เกลื่อน
อ๋าวหรานบินขึ้นไป “เหตุใดถึงขึ้นมาดื่มสุราล่ะ?”
เหยียนเฟิงเกอตะลึงไปพักหนึ่ง ค่อยๆ ตอบช้าๆ “นอนไม่หลับ จึงขึ้นมาดื่ม”
อ๋าวหรานนั่งลงข้างกายเขา ถือไหสุราขึ้นดมไปทีหนึ่ง จึงพบว่าคนคนนี้เอามาแต่ที่หมักแล้วเป็เวลานาน ฤทธิ์แรงทั้งสิ้น
เหยียนเฟิงเกอนั่งเงียบๆ ดื่มติดๆ กันหลายอึก จู่ๆ ก็พูดขึ้น “ข้าอยากจะทำให้หมู่บ้านสกุลอ๋าวยิ่งใหญ่ อยากให้พ่อบุญธรรมดีใจ แต่ตอนนี้กลับไม่เหลืออะไรแล้ว”
ในน้ำเสียงนั้นข่มกลั้นก้อนสะอื้นเอาไว้อย่างเอาเป็เอาตาย อ๋าวหรานได้ยินก็หันหน้าไป จึงพบว่าคนคนนี้มีน้ำตานองหน้า ความทุกข์ทรมานในสีหน้ายากที่จะข่มกลั้น อ๋าวหรานรู้สึกเพียงว่าหัวใจของเขาเ็ปตามไปด้วย
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้