ทาสกระบี่?
รออย่างขื่นขม?
เ่ิูสับสน
นี่มันเื่อะไร ข้ารู้จักคนๆ นี้มาก่อนด้วยหรือ?
“ฮือๆ ใต้เท้า ท่านมาจนได้...” ชายหนุ่มยังเอ่ยไม่รู้ประสา ร่ำไห้สลับกับหัวเราะอย่างกับคนบ้า ครู่ต่อมาถึงนึกอะไรออกแล้วรีบบอกแก่เ่ิู “ใต้เท้า ท่านรีบเข้ามาเถิด ผู้น้อยจัดการปัดกวาดหอคอยสะอาดเอี่ยมแล้วขอรับ”
เ่ิูทำหน้าไม่ถูก เขาเดินเข้าไปตามคำเชิญ
ภายในหอคอยถูกปัดกวาดจนหมดจดแล้วจริงแท้ แม้แต่ฝุ่นสักเม็ดก็ไม่มีให้เห็น เรียกได้ว่าพื้นขาวผ่องวาวราวกับกระจกเลยทีเดียว
เ่ิูมองสำรวจอย่างถี่ถ้วน
บรรยากาศภายในหอคอยนี้ธรรมดามาก ทั้งชั้นวางของปะปนกันหลายชนิด จำพวกศาสตราวุธ หอกดาบ นอกจากนั้นแล้วยังมีห้องเล็กๆ อยู่สามสี่ห้อง หากยึดตามที่เขาบอกมาก็เท่ากับว่าเป็ที่พักของบริวารรับใช้ของทูตถือดาบตรวจการณ์ เมื่อเดินขึ้นไปตามบันได ชั้นสองตกแต่งงดงามขึ้นมาบ้าง ทั้งชั้นกว้างใหญ่ ผนังทั้งสี่มีแผงอาวุธวางเรียงราย น่าจะเป็ลานแสดงยุทธ์ขนาดเล็กกระมัง ชั้นสามเป็ห้องพักผ่อนของทูตถือดาบตรวจการณ์ ประดับทุกสิ่งงามล้ำ มีเครื่องเรือนไม้บ้างเล็กน้อย
และพื้นที่ของชั้นสี่นั้นค่อนข้างน้อย จัดแต่งสวยสุดในบรรดาทุกชั้น โคมหอม เบาะนั่ง กระถางจัด เครื่องหยก ผนังทั้งสี่ด้านมีกระบวนอักขระสถิตอยู่ เพื่อใช้รวบรวมพลังปราณใต้หล้าโดยเฉพาะ ทั้งสี่ด้านล้วนมีหน้าต่างใหญ่สูงถึงพื้น สามารถมองเห็นสิ่งปลูกสร้างรอบทิศทาง...เ่ิูทำนายเอาว่า ชั้นที่สี่นี้น่าจะเป็ห้องสงบของวิชาฝึกฝนปราณกระมัง
“ของพวกนี้เป็สิ่งที่ใต้เท้าคนก่อนทิ้งไว้ขอรับ ทุกโครงสร้างใต้เท้าคนก่อนก็เป็ผู้ติดตั้งไว้ทั้งหมด” ชายหนุ่มร่างผอมไป๋หย่วนสิงยืนนอบน้อมอยู่ด้านหลังเ่ิู เขาคอยอธิบายด้วยเสียงเบา
เ่ิูพยักหน้ารับรู้
ชายร่างผอมลองถาม “ไม่ทราบว่าใต้เท้าท่านไม่พอใจตรงไหนของที่นี่หรือไม่ ้าจะจัดแต่งใหม่ไหมขอรับ?”
เ่ิูส่ายหน้า “แค่นี้ก็พอแล้ว ข้าไม่มีข้อเรียกร้องพิเศษอะไร”
ไป๋หย่วนสิงถอนใจโล่งอก “ใต้เท้าท่านเป็เ้านายคนที่ยี่สิบเอ็ดของหอคอยอาชาขาว ก่อนหน้านี้ใต้เท้าทุกท่านคือทูตถือดาบตรวจการณ์ทั้งสิ้นขอรับ เพียงแต่เมื่อใต้เท้าคนก่อนพลีชีพในา หอคอยอาชาขาวของเราก็ไม่มีเ้านายมาสี่ปีติดแล้ว ทุกอย่างในหอคอยทรุดโทรมไม่น้อย ทาสกระบี่อาชาขาวที่เคยมีอยู่สิบคน บ้างก็ไป บ้างก็ตาย ตอนนี้เหลือผู้น้อยคนเดียวแล้วขอรับ”
“เ้านายคนก่อนพลีชีพในาหรือ?” เ่ิูแปลกใจ เขาถามต่อ “เป็อย่างไรมาอย่างไรหรือ?”
ทาสกระบี่อาชาขาวไป๋หย่วนสิงนิ่งแล้วตอบ “ใต้เท้าไม่เคยรู้เื่ราวของหอคอยอาชาขาวหรือขอรับ?”
เ่ิูฟังแล้วก็รู้ได้ว่าที่นี่มีเบื้องลึกเื้ั เขาชี้เก้าอี้ตัวตรงข้ามกันแล้วว่า “เ้าชื่อไป๋หย่วนสิงใช่ไหม? ข้าไม่รู้อะไรของที่นี่หรอก เอาอย่างนี้ เ้านั่งลงก่อนแล้วค่อยๆ เล่าเื่หอคอยอาชาขาวให้ข้าฟังเถอะ”
“ผู้น้อยมิกล้า” ไป๋หย่วนสิงเคารพเป็อย่างยิ่ง เขาโค้งตัวตอบ “ผู้น้อยขอยืนเล่า...”
เขายืนเล่าเป็น้ำท่วมทุ่ง เ่ิูฟังแล้วไม่รู้จะรู้สึกอย่างไรดีกับเื่ราวนี้
หอคอยอาชาขาวแต่เดิม ก่อตั้งขึ้นมาั้แ่บุกเบิกด่านโยวเยี่ยน เป็หนึ่งในสิบยอดหอคอยของด่านโยวเยี่ยน คนแรกที่เข้ามายังหอคอยอาชาขาวคือหัวหน้าทูตถือดาบลาดตระเวนไป๋สิงอวิ๋น เป็สุดยอดผู้แข็งแกร่งหนึ่งในห้าคนของด่านโยวเยี่ยน ตำแหน่งมิได้ด้อยไปกว่าเทพาด่านโยวเยี่ยนคนปัจจุบันอย่างลู่เฉาเกอแน่นอน และเคยพลานุภาพเปล่งประกาย น่าเสียดายที่อายุสั้นนัก สิ้นชีพไปในากับเผ่าปีศาจครั้งหนึ่งนั่นเอง
หลังจากการตายของไป๋สิงอวิ๋น หอคอยอาชาขาวก็มีเ้านายมาทั้งหมดยี่สิบท่าน ตำแหน่งของพวกเขาทุกคนล้วนคือทูตถือดาบตรวจการณ์ ทั้งยี่สิบคนคือจอมยุทธ์ยอดฝีมือ มีที่มาแตกต่างกัน พวกเขาล้วนสร้างชื่อเสียงและความดี อิทธิพลใกล้เคียงกับไป๋สิงอวิ๋น ส่งผลให้นามอาชาขาวสามพยางค์นี้เลื่องระบือในด่านโยวเยี่ยน แม้จะเป็แค่ทาสกระบี่ตำแหน่งเล็กๆ ของหอคอยอาชาขาวก็ยังมีฐานะสูงมาก ชนชั้นสูงและทหารชั้นกลางธรรมดาต้องต้อนรับขับสู้อย่างนอบน้อม ไม่กล้าละเลย
แต่สิ่งที่น่าประหลาดก็คือ ทูตถือดาบตรวจการณ์เหล่านี้กลับไม่มีใครอยู่ยืดสักคน ล้วนแต่ต้องสิ้นชื่อด้วยรูปแบบต่างๆ ไปทั้งสิ้น
นั่นเองที่หอคอยอาชาขาวทรงประวัติเฟื่องฟูถึงได้ค่อยๆ ซบเซาลง
หอคอยอาชาขาวได้รับขนานนามว่าเป็หอคอยแห่งความตาย หอคอยต้องสาป ถูกตราว่าเป็สถานที่อัปมงคล นำพาสิ่งลึกลับให้บังเกิดขึ้นไม่รู้จบ เคยมีการเชิญยอดฝีมือมาตรวจหาต้นตอเช่นกัน แต่ว่าไม่อาจสืบหาสาเหตุได้ชัดเจน นับจากวันที่ฝังร่างของทูตถือดาบตรวจการณ์คนสุดท้าย ต่งิจู หอคอยอาชาขาวก็ไร้ซึ่งเ้านายมาสี่ปีติด ไม่มีใครกล้าเข้ามายังที่แห่งนี้อีกเลย...
เ่ิูฟังจบแล้วก็แปลกใจ แต่นอกเหนือไปกว่านั้นเขากลับคิดถึงเื่อื่น
ในเมื่อความลึกลับของหอคอยอาชาขาวโด่งดังถึงเพียงนี้แล้ว ไฉนท่านชายหลิวถึงให้เขามาอยู่ที่นี่กันเล่า?
ตัวเป็ถึงทหารผู้ช่วยในกองบัญชาการมากประสบการณ์แท้ๆ เขาไม่มีทางไม่ล่วงรู้เื่เก่าแก่พวกนี้ กลับยังยืนกรานให้เขามาที่นี่อีก แบบนี้ไม่ใช่จงใจแล้วจะให้เรียกอะไรได้
แล้วท่านชายหลิวทำเช่นนี้ทำไมกัน?
เป็ความคิดของเขาเองกระนั้นหรือ?
หรือจะเป็ความคิดของเ้าแห่งแดนเหนือ เ้าครองด่านผู้ปราบปรามทัพปีศาจ?
เ่ิูก้มหน้าคิดแวบหนึ่ง พลันก็หัวเราะออกมา เขาคิดว่าต่อให้นั่งคิดไปก็ไม่ได้อะไรขึ้นมา คำสั่งทหารดั่งภูผา อยากจะย้ายไปที่ใดตามใจชอบนั้นย่อมไม่ได้ หนำซ้ำหากเขาตื่นตูมเกินตัว เื่จะแพร่ออกไปกลายเป็ขี้ปากน่าขำเอาได้
“บางทีข้าอาจคิดมากไป ฐานันดรเ้าแห่งแดนเหนือผู้ปราบปรามทัพปีศาจ ไยต้องมาใส่ใจคนตำแหน่งเล็กๆ เช่นข้าด้วย?”
เ่ิูหัวเราะเยาะตัวเอง
ยังมีอีกปัญหาหนึ่ง เวินหว่านเองก็อยู่ที่ด่านโยวเยี่ยนมานานแล้ว เขาไม่มีทางไม่รู้เื่เล่าของหอคอยอาชาขาว ก่อนหน้านี้กลับไม่เอ่ยอะไรสักคำเกี่ยวกับเื่นี้ น่าแปลกใจที่สุด
เ้านี่กำลังขายยาอะไรในน้ำเต้านั่นกันนะ?
รอกลับไปมีเวลาก่อนเถอะต้องถามให้รู้เื่สักที
ไหนจะเื่ที่เวินหว่านติดค้างเขาอยู่อย่างหนึ่งอีก ไข่มุกพวกนั้นที่เขาได้มาจากหอยตลับทองคำ ที่เขาให้เอาไปพิสูจน์หาที่มา จนป่านนี้ยังไม่ได้อะไรกลับมาเลย
แล้วเื่เล่าของหอคอยอาชาขาวนั้น ตัวเขาซึ่งเป็จอมยุทธ์ เ่ิูย่อมต้องคิดมากกว่าอยู่แล้ว
ก่อนอื่นเขาไม่เหมือนปุถุชนคนสามัญโดยธรรมชาติ เชื่อเื่เพ้อฝันที่ว่าหออาชาขาวต้องคำสาปหรือมีผีร้ายสิงสถิต แต่เื่ที่ว่ามีผู้แข็งแกร่งวิทยายุทธ์ยี่สิบเอ็ดคนพบกับจุดจบอันไม่น่าอภิรมย์นั้นกลับคือความจริง สายลมไม่อาจพัดหากไร้ซึ่งเกลียวคลื่น เื่นี้น่าจะมีความลับน่าสะพรึงที่ไม่้าให้ใครรู้
คิดมาถึงตรงนี้ เ่ิูรังแต่จะสงสัยมากขึ้นทุกที
หรือจะกลายเป็ว่าในหอคอยอาชาขาวนี้แอบซ่อนความลับอะไรอยู่?
เขาไม่แสดงสีหน้าหรือส่งเสียงใด เพียงแต่ฟังทาสกระบี่ไป๋หย่วนสิงพูดต่อไปเท่านั้น
นับจากสี่ปีก่อนที่เ้านายคนสุดท้ายแห่งหอคอยอาชาขาวสิ้นใจ อาชาขาวก็ไม่อาจหลีกหนีความเสื่อมโทรมไปได้ ในสี่ปีหลังมานี้ ไม่มีผู้ใดกล้าเยื้องกรายเข้ามาหอคอยอาชาขาวอีกเลย ทาสกระบี่ทั้งสิบผู้มีหน้าที่ปรนนิบัติรับใช้เ้านายก็แตกกระจายกันไปเหมือนวานรลาจากเมื่อพฤกษาล้มครืน ทาสกระบี่ทั้งสิบมีบางคนเลือกที่จะไป บางคนประสบเคราะห์จนล้มหายตายจาก สี่ปีผ่านไป ผู้คนร้างรา เหลือเพียงไป๋หย่วนสิงเพียงผู้เดียวเท่านั้น
เมื่อหอคอยอาชาขาวเสื่อมโทรม กองทัพก็เลิกจ่ายเงินเดือน
ไป๋หย่วนสิงยืนหยัดอย่างยากลำบากเพียงคนเดียว เขาใกล้จะทนต่อไปไม่ไหว ถูกบังคับและเล่นเป็ตัวตลกต่างๆ นานา หิวโหยจนหน้าเหลืองและร่างผอมโซ แม้แต่ตัวเขาเองยังไม่รู้เลยว่าจะรับได้อีกนานแค่ไหน โชคดีเหลือเกินที่วันนี้ การมาของเ่ิูทำให้ทาสกระบี่คนสุดท้ายเช่นเขามองเห็นแสงสว่างและความหวังรำไร
เ่ิูฟังจบแล้วก็เกิดความรู้สึกด้านดีต่อชายหนุ่มผอมเซียว
และทาสกระบี่ไป๋หย่วนสิงเมื่อพูดความลับอันน่าขื่นขมนี้จนจบแล้ว เขาก็มองเ่ิูด้วยสายตาหวาดกลัวและเตรียมพร้อม เขามองออกว่าใต้เท้าคนใหม่ท่านนี้ไม่รู้เื่ราวของหอคอยอาชาขาวเลย ตอนนี้เมื่อรู้แล้วจะย้ายของหนจากที่นี่ไปที่อื่นเลยหรือเปล่านะ?
ไม่ใช่เื่ง่ายเลยที่จะมีใต้เท้าสักท่านถูกจัดแจงให้มาที่นี่ หากเกิดกลัวจนลาไป เช่นนั้นย่อมได้ไม่คุ้มเสียแน่
ชายหนุ่มชักกังวลใจขึ้นมา
เ่ิูมองบุรุษตรงหน้า นึกถึงเื่ที่เขาเล่าเมื่อครู่แล้วใจเต้นขึ้นมาคราหนึ่งก่อนไต่ถาม “เ้าเพิ่งพูดว่า เ้านายคนแรกของหอคอยอาชาขาวนามว่าไป๋สิงอวิ๋น เ้าเองก็แซ่ไป๋ หรือว่า...”
ชายหนุ่มอึ้ง ไม่นึกว่าใต้เท้าจะคิดเื่นี้อยู่ เขารีบค้อมกายตอบรับ “มิกล้าปกปิดใต้เท้า ใต้เท้าไป๋สิงอวิ๋นคือบรรพบุรุษของผู้น้อยเองขอรับ”
“อะไรนะ? บรรพบุรุษของเ้าหรือ?” เ่ิูถามตามสภาพ ไม่นึกเลยว่าจะเป็เช่นนี้จริงๆ เขาอดถามอย่างประหลาดใจไม่ได้ “ใต้เท้าไป๋สิงอวิ๋นตอนนั้นฐานันดรสูงเพียงนั้นแท้ๆ ไฉนเ้าคนรุ่นหลังถึงได้กลายมาเป็ทาสกระบี่ล่ะ?”
ทาสกระบี่ มีคำว่าทาสอยู่ในนั้น บ่งบอกชัดเจนว่าฐานันดรไม่สูง
เ่ิูชำเลืองชายอายุน้อยผู้นี้ ฝีเท้าเบาหวิว ร่างกายอ่อนแอ ั์ตาไร้แวว บ่งชัดว่ามิเคยฝึกฝนวรยุทธ์เป็ผล นึกถึงไป๋สิงอวิ๋นผู้อำนาจบารมีขั้นไหนต่อไหน แม้จะสิ้นชีพในา แต่ก็ควรเป็ผู้ได้รับคุณความดีแห่งการอุทิศชีวิต ไยคนรุ่นหลังถึงได้ตกต่ำมาจนถึงจุดนี้เล่า?
ทาสกระบี่ไป๋หย่วนสิงก้มหน้าตอบ “ท่านบรรพบุรุษตอนพลีชีพในานั้น ได้ให้คำสั่งเสียไว้ว่า ให้ชนรุ่นหลังปกป้องหอคอยอาชาขาวเอาไว้ ไม่อนุญาตให้เป็นายทัพ คนตระกูลไป๋ลดลงเป็ลำดับ จนมาถึงรุ่นของผู้น้อยนี่แหละขอรับ ผู้น้อยนั้นเพราะคุณสมบัติแต่กำเนิดด้อยอย่างน่าประหลาด ความเป็วรยุทธ์จึงมีขีดจำกัด เมื่อสืบสานเจตนารมณ์ของบรรพบุรุษ จึงต้องขายตัวเองเป็ทาสกระบี่อยู่ที่นี่”
เ่ิูพยักหน้า หากไป๋หย่วนสิงผู้นี้ไม่ได้โป้ปดแล้วไซร้ เขาก็มีจุดที่น่ายกย่องอยู่มาก กตัญญูและภักดียิ่งชีพ จากนี้เขาก็สามารถใช้ได้อย่างวางใจแล้ว
“เอาเถอะ ข้าเข้าใจแล้ว ขอบใจเ้า” เ่ิูหัวเราะพลางตบบ่าเขา
ไป๋หย่วนสิงตัวสั่น “มิกล้า นี่เป็สิ่งที่ผู้น้อยควรทำขอรับ”
ผ่านการพูดคุยบทนี้มา เ่ิูจึงเริ่มมีความสนใจอย่างมากต่อเื่ของด่านโยวเยี่ยน เขาว่า “ในเมื่อเ้าอยู่ด่านโยวเยี่ยนมาทั้งชีวิตแล้ว คงจะต้องเข้าใจเื่ในด่านนี่เป็ถ่องแท้สินะ?”
ไป๋หย่วนสิงว่าอย่างนอบน้อม “ผู้น้อยได้ยินคำบอกกล่าวมาบ้าง แต่ผู้น้อยก็ยากจะแยกแยะอะไรจริงอะไรเท็จ เพราะร่างกายอ่อนแอเหลือเกิน ผู้น้อยถึงได้ออกไปจากหอคอยอาชาขาวนี้นับครั้งได้”
“ฮ่าๆ ผ่อนคลายหน่อยเถอะ ข้าแค่ถามเื่ทั่วไปกับเ้าเท่านั้นเอง” เ่ิูเห็นท่าทางระแวดระวังของเขาแล้ว ก็รู้ได้ว่าหลายปีมานี้ต้องได้ความอัปยศมาไม่น้อย เอาแต่ก้มหน้าเป็กิจวัตร กลายเป็นิสัยช่างหงอ เด็กหนุ่มปลอบไปหลายประโยคค่อยเข้าเื่ “ในเมืองมีทูตถือดาบตรวจการณ์ทั้งหมดสิบคน ก่อนหน้าที่ข้าจะมาเพิ่มต้องมีอยู่เก้าคนก่อนแล้ว ว่ากันตามเหตุตามผล เ้าคือทาสกระบี่ของหอคอยอาชาขาว เป็คนของทูตถือดาบตรวจการณ์เช่นกัน ไยไม่ไปให้พวกเขาคุ้มครองเสียเล่า?”
ไป๋หย่วนสิงทอดถอนใจ “ใต้เท้าไม่รู้หรอกขอรับ ว่าในทูตถือดาบตรวจการณ์นี้ความสัมพันธ์พิเศษนัก ไม่นับเป็เพื่อนร่วมงาน ทำแม้กระทั่งสอดส่องพวกเดียวกันเอง ดังนั้นตลอดเวลาที่ผ่านมา ใต้เท้าทูตถือดาบตรวจการณ์ทุกคนจึงไม่ลงรอยกันขอรับ”
เ่ิูพยักหน้า
เื่นี้เขาเพิ่งได้ยินเป็ครั้งแรก
“ใต้เท้า เครื่องแบบนายทัพกับศาสตราวุธของท่านอยู่ในหอคอยทั้งสิ้นขอรับ ท่านใคร่จะไปดูตอนนี้เลยหรือไม่?” ไป๋หย่วนสิงถาม “นับั้แ่ใต้เท้าคนก่อนสิ้นใจไปไม่นาน ฝ่ายพลาธิการก็เลิกแจกเบี้ยหวัด ตอนนี้เมื่อใต้เท้าท่านมาแล้ว ผู้น้อยจะไปแจ้งให้กลับมาเป็อย่างเดิมทันทีขอรับ”
“ดี” เ่ิูพยักหน้า “ไปดูเครื่องแบบกับศาสตราวุธก่อนเถอะ”
กองทัพเป็ตำแหน่งซึ่งสิทธิอำนาจพิพากษาเบาหนักแห่งอาณาจักรเสวี่ย อาจเรียกได้ว่าเป็เสาหลักของอาณาจักร คลังสนับสนุนของพวกเขาจึงต้องเตรียมพร้อมและเหนือธรรมดาตลอดเวลา โดยเฉพาะแนวหน้าเช่นด่านโยวเยี่ยนนี้ ต้องมีเงื่อนไขและทรัพย์สนับสนุนเป็พิเศษอยู่แล้ว
ในหอคอยอาชาขาวนั้นเก็บเครื่องแบบทูตถือดาบลาดตระเวนและศาสตราวุธ
เครื่องแบบนายทัพที่ว่านั้นเป็เกราะศึกชุดหนึ่ง นามว่าเกราะศึกอาชาขาว
เกราะศึกนี้จัดทำขึ้นอย่างพิถีพิถันทั้งกรรมวิธีและวัตถุดิบ หมวกเกราะเงินและเสื้อเกราะสีเดียวกัน วาววับส่องสกาว อาชาขาวเป็รูปร่าง แผ่นหลังมีปีกคู่ งามต่อสายตายิ่งนัก ราวกับอาชา์ขาวสยายปีกบินลงมาจากฟากฟ้าก็ไม่ปาน
เ่ิูเมื่อได้เห็นเกราะศึกอาชาขาวแล้ว ตาก็พลันรู้สึกถึงความสว่างวาววับตรงหน้า
“ล้ำค่ายิ่งนัก!”
เขาชื่นชมออกมาอย่างอดไม่ได้
เมื่อสำรวจโดยละเอียดแล้ว เ่ิูก็พบจุดข้อต่อหลายส่วน พลังปกปักของเกราะศึกนี้น่ากลัวนัก บนอาภรณ์ศึกสลักอักขระปกปักไว้นับไม่ถ้วน เมื่อแทรกซึมเข้าภายในร่างได้แล้ว กระตุ้นพลังแห่งอักขระ สามารถรองรับแรงโจมตีหนักหน่วงได้หลายครั้ง หรืออาจต่อต้านหอกเย็นศรมืดได้อยู่หมัด ระดับคุณภาพต่างกับเกราะศึกทหาริญญาชนิดฟ้ากับเหว เป็ตัวเลือกหนึ่งเดียวไม่มีสองในการคุ้มกันชีวิตกลางสมรภูมิ
ยิ่งไปกว่านั้นปีกคู่ด้านหลังก็มิใช่เครื่องประดับอันใดเลย แต่เป็กระบวนอักขระลดความหนักให้ลอยและพุ่งไปได้ตามใจชอบอย่างลึกล้ำ หลังสวมเกราะศึกอาชาขาวแล้ว กระบวนอักขระนี้จะแทรกซึมเข้าไปในร่างกาย สามารถบัญชาปีกทั้งสองให้บินขึ้นลัดฟ้าได้ดั่งใจ
ผู้แข็งแกร่งอาณาน้ำพุิญญานั้น แม้จะสามารถเดินกลางนภาได้ แต่กลับผลาญพลังภายในมากเกินไป แต่เมื่อพึ่งพลังปีกอาชา์สองตัวนี้ ยืมกำลังของกระบวนอักขระ นอกจากจะผลาญพลังเพียงเล็กน้อยแล้ว ยังการันตีความถือไพ่เหนือกว่าในการโรมรันกับศัตรูได้อีกด้วย
เ่ิูนับวินาทียิ่งชอบ
อาภรณ์ศึกชุดนี้แม้มิใช่ชุดเกราะที่นับได้ว่าเป็ศาสตราวุธิญญา แต่เมื่อพิจารณาดูอีกที การจะได้ชุดเกราะป้องกันสมบูรณ์แบบเช่นนี้มาก็นับว่ายากแล้ว และหากนับจากความสามารถในการต่อสู้ คุณค่าของมันใช่ว่าจะต่ำกว่าอาวุธิญญาเสมอไป บางทีอาจเหนือกว่าอาวุธิญญาธรรมดาทั่วไปด้วยซ้ำ
คิดไม่ถึงว่ากรมกองของกองทัพจะมีสวัสดิการดีๆ เช่นนี้ด้วย
นอกจากชุดเกราะแล้ว อาวุธของเ้านายคนก่อนๆ ก็มีอยู่มากเช่นกัน อาวุธิญญาสิบแปดชิ้นเหมือนจะมีครบทุกรูปแบบ ดาบ หอก กระบี่ ง้าว ขวาน ขวานวงพระจันทร์ ตะขอ สามง่าม สิ่งที่ควรมีก็มีจนครบครัน เป็ผลงานประณีตจากนายช่างขั้นปรมาจารย์ทั้งสิ้น ส่วนประกอบไม่ธรรมดา เป็อาวุธคมกริบพร้อมดื่มโลหิตในสมรภูมิได้ยามที่้า
ทว่ามันยังคงมิใช่อาวุธิญญาอยู่ดี
เ่ิูไม่เื่มาก เขาเก็บอาวุธิญญาเหล่านี้ลงไป
“ใช่แล้ว เ้าชอบอาวุธิญญาแบบไหนหรือ?” เ่ิูยิ้มพลางถามไป๋หย่วนสิงที่เดินตามข้างๆ เขามา “เข้ามาเลือกสักชิ้นหนึ่งสิ”
“อ๋า?” ไป๋หย่วนสิงใแทบะโ เขาส่ายหน้าอย่างรีบเร่ง “ไม่...ไม่ได้ๆๆ ผู้น้อยฐานะต่ำต้อย จะกล้าสบตากับอาวุธศักดิ์สิทธิ์ระดับนี้ได้เยี่ยงไรกันขอรับ ผู้น้อยมิกล้า ผู้น้อยมิกล้า...”
เ่ิูไม่พูดพล่ามทำเพลง เด็กหนุ่มคลี่ยิ้มน้อยๆ แล้วส่งชุดมีดบินคมกริบให้เขา
มีดบินคมกริบชุดนี้มีทั้งหมดหกส่วนด้วยกัน มีจำนวนทั้งหมดสามสิบหกเล่ม แต่ละคมปรากฏเป็สีน้ำเงินกลางสีเงินยวง มีความโค้งเล็กน้อย และร่องเืชัดเจนจนเห็นได้ ด้านหนึ่งคมกริบ อีกด้านทู่ ตัวคมนั้นคมบาดลึก มองแวบเดียวก็ทำให้คนมองขนลุกแล่นไปทั่วสันหลังได้
ใบมีดบินสามสิบหกใบ ห่อหุ้มในห่อมีดดาบหนังสัตว์ประหลาดสีน้ำเงินอ่อน
ห่อมีดนั้นเป็งานละเอียด มีส่วนต่อไว้เชื่อมกับแผ่นหลังของคน เมื่อสวมห่อมีดเสร็จแล้วเอามีดใส่ ปิดบังมีดบินทั้งสามสิบหกเล่มไว้ภายใน คนธรรมดาไม่มีทางััถึงมันได้ ความจริงแล้วเป็อาวุธลอบสังหารได้ดีจริงแท้ คนที่คิดใช้มีดบินพวกนี้ในตอนนั้นต้องเป็ปรมาจารย์สายเข่นฆ่าอย่างแน่นอน
“คือ คือ คือ...”
ไป๋หย่วนสิงอุ้มห่อมีดนั้นไว้ในมือ ทั้งกระวนกระวายกอปรพิศวง ยังมีความยินดียิ่งที่แอบซ่อนไว้มิดชิด ไม่รู้ว่าจะพูดอะไรดี
“เอาไปใช้เถอะ ต่อจากนี้หมั่นฝึกฝนเสีย พร์ใช่ว่าจะเป็ตัวตัดสินได้ทุกอย่าง” ความจริงแล้วเ่ิูมองออกตั้งนานแล้วว่า ไป๋หย่วนสิงชอบมีดบินพวกนี้มาก สายตาถึงได้ค้างอยู่ที่บนตัวมีดนานนัก ตอนมองดวงตาก็มีแววเป็ประกาย เขาจึงให้มันแก่ชายหนุ่มไป
กลับกันของพวกนี้เป็สิ่งที่เ้านายคนก่อนๆ ทิ้งไว้ทั้งนั้น เ่ิูได้มามือเปล่า การจะให้เป็สินน้ำใจกับใครก็ใช่ว่าจะปวดใจเสียหน่อย
หลังลังเลพักหนึ่ง ไป๋หย่วนสิงก็รับมีดบินแสงไหลดาวฟ้านั้นมาอย่างสำนึกและซาบซึ้งในบุญคุณ
เ่ิูกลับมาถึงบนหอ เก็บสถานที่เล็กน้อย ทำความคุ้นเคยกับสภาพแวดล้อมใหม่ๆ
และไป๋หย่วนสิงเ้ากรรมก็นำป้ายนายทัพของเ่ิูไปแจ้งขอรับเบี้ยหวัดดังเดิม หอคอยอาชาขาวเปิดใหม่อีกครั้ง สำหรับทาสกระบี่คนสุดท้ายผู้นี้แล้ว เป็่เวลาสำคัญไม่ต่างกับการเกิดใหม่ เขาอิ่มเอิบนัก มีชีวิตชีวาขึ้นมาโข
เมื่อยืนอยู่บนห้องสงบชั้นสี่ เห็นไป๋หย่วนสิงที่หัวถนนไกลๆ แล้วเ่ิูก็ยิ้มเล็กน้อย
คนๆ นี้ ใช้การได้
แต่ที่มาของเขา ต้องไม่ง่ายดายเหมือนกับที่เขาพูดให้ฟังแน่
แม้จะเพิ่งมาด่านโยวเยี่ยนได้ไม่ถึงหนึ่งวันสั้นๆ แต่เ่ิูกลับรู้สึกถึงลมฝนที่กำลังเคลื่อนคล้อยเข้ามา บรรยากาศด่านทัพชายแดนซับซ้อนยุ่งยากกว่าที่เขาคิดไว้เยอะนัก
เ่ิูยืนอยู่บนชั้นสี่ ทอดตามองทุกสิ่งอย่างเบื้องล่าง
รอบด้านในระยะหลายลี้นี้อยู่ในสายตาเขาทั้งหมด
หลังยืนทอดตามองนิ่งงัน อารมณ์ของเ่ิูจึงค่อยๆ สงบลงบ้าง
เขาเกิดชอบความรู้สึกการมองจากที่สูงเสียแล้ว คนบนพื้นถนนเป็ดั่งมดงาน สิ่งปลูกสร้าง โรงเตี๊ยมต่างๆ นานาตระหง่านอยู่อย่างสงบ เมื่อมองลงไปจากหน้าต่างใหญ่ติดพื้นของหอคอยอาชาขาวแล้ว ความรู้สึกดั่งมีสิทธิและอำนาจเยี่ยงิญญาศักดิ์สิทธิ์หรือราชันตรวจตรารอบด้านอย่างไรอย่างนั้น
ไกลออกไป กลางหิมะขาวปลิวพัด อาทิตย์แดงฉานยามสายัณห์ค่อยๆ ลับขอบฟ้าทางทิศตะวันตกหลังภูผาน้ำแข็ง
เวลาเย็นย่ำ
เ่ิูเพิ่งคิดได้เป็ครั้งแรก ถึงความงามล้ำของอาทิตย์ยามสายัณห์
เมื่อใจบัญชาทุกสิ่ง เ่ิูจึงล้มกายลงนั่งสมาธิ นั่งโคจริชาลมหายใจไร้ชื่ออยู่บนเบาะนั่ง เริ่มทำการฝึกสมาธิ
ปราณัใหญ่สีเงินสายแล้วสายเล่าเกลือกกลิ้งออกมาจากร่างและคลานคดเคี้ยว ก่อนเข้าโอบพันรอบกายตัวเ่ิู
เ่ิูกระตุ้นกำลังภายในไม่หยุดจังหวะ ควบคุมปราณัเงินไปมา เพิ่มทักษะการควบคุมพลังของตัวเองไม่หยุดหย่อน
พลังของเขาเพิ่มทบทวี บัดนี้สิ่งที่ขาดก็มีแค่ต้องควบคุมรายละเอียดเท่านั้นเอง
เหมือนเด็กได้มีด หัวล้านได้หวี เ่ิู้ายกระดับการควบคุมพลังใหม่ของตัวเอง ถึงจะสำแดงพลานุภาพของน้ำพุิญญาตาที่สิบห้าที่แท้จริงออกมาได้
เวลาไหลผ่านไปทุกวินาที
ดวงตะวันค่อยๆ จมลงเส้นขอบฟ้า
ความมืดมืดเริ่มปกคลุมด่านโยวเยี่ยน
ปราณัเงินสิบห้าสายที่พันรอบกายเ่ิูแข็งตัวขึ้นมา ระหว่างพันทับกันอยู่นั้นเอง การกระทำก็ยิ่งมีชีวิตชีวาขึ้นมาเรื่อยๆ เทียบกับสภาพขื่นขมดั่งไม้ตายซากแล้ว มันเยี่ยมยุทธ์กว่าไม่รู้กี่เท่า
กลางเสียงครวญบางเบาแห่งั ัเงินปราณสิบห้าสายได้เข้าสู่กายเนื้อเ่ิู
เขาผ่อนลมหายใจมลทินออกมายาวๆ แล้วจึงค่อยลุกขึ้นเชื่องช้า
“ผ่านมาหนึ่งชั่วโมงเต็มแล้ว ทำไมไป๋หย่วนสิงถึงยังไม่กลับมาอีก?”
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้