แสงแดดยามบ่ายสาดส่องเพิ่มความอบอุ่นของอากาศในฤดูหนาว หลิวเซียงเอ๋อร์สำรวจดูรอบ ๆ ก็มิพบสิ่งผิดปกติใด ๆ มีเพียงเสนาบดีหลิวที่เข้าไปคุยกับหลวงพ่อด้านในศาลาใหญ่ ทำให้เธอมีเวลามากพอที่จะสืบเื่นี้ได้ ฝ่าเท้าเล็ก ๆ ของเธอค่อย ๆ ย้ำลงพื้นหินตามพื้นด้านล่างอย่างระมัดระวัง ูเาลูกใหญ่สูงโอบล้อมบริเวณรอบวัดหลวงแห่งนี้ราวกับเป็แอ่ง พระพุทธรูปองค์ใหญ่หน้าหิผานถูกสลักโดยช่างฝีมือจำนวนมากกลายเป็ประติมากรรมที่สวยงามและทรงคุณค่า แววตาเรียวจับจ้องยืนชมความสวยงามด้านหน้า แต่สิ่งหนึ่งทำให้เธอเกิดความรู้สึกแปลกจนต้องขยับเดินเข้าใกล้ฐานรูปปั้นพระพุทธรูป ด้วยความลาดชันของพื้นทำให้ร่างบางต้องยึดเกาะเข้ากับฐาน พลันก็เกิดแรงเคลื่อนไหวราวพื้นดินสั่นะเืฐานพระพุทธรูปค่อย ๆ แยกออกจนมองเห็นเป็ช่องทาง ด้านใน แสงของตะเกียงที่ถูกจุดไว้ส่องเป็ทางเดิน เธอเอียงคอมองยังมิทันที่จะได้เข้าไปสำรวจตรวจดูพลันลองแตะเข้ากับฐานนั่นดูอีกครั้งจึงเกิดแรงสั่นดังเดิมจนประตูลับปิด ดวงใจเล็ก ๆ ของเธอสั่นไหวราวผืนน้ำสั่นะเื มือเย็นราวน้ำแข็งเพราะข่มความตื่นเต้นนี้ไว้
“พระสนมท่านอยู่นี่เอง...หม่อมฉันคิดว่าพระองค์หายไปที่ใด อย่าทรงทำเช่นนี้อีกนะเพค่ะหม่อมฉันหัวใจจะวาย” น้ำเสียงเร่งรีบเหนื่อยหอบทำให้เธอรีบย่างกายหลบลงมาด้านล่าง
“อ่ะ!!..”
“ว้าย!!...พระสนมเหตุใดเร่งรีบเช่นนี้เพค่ะ” ด้วยความรีบทำให้เธอสะดุดแผ่นหินลื่น หลินเสียงใเร่งประคอง ส่วนเฉินฮั่วที่ได้ยินเสียงร้องก็รีบย่างกายมาซ้อนอุ้มขึ้นราวกระสอบนุ่น ใบหน้าเคร่งขรึมมิได้เอ่ยพูดสิ่งใดออกมา เสียงลมหายใจที่รดรินใกล้ใบหน้าเธอรู้สึกวาบหวิวเสียจนแก้มร้อนแดงระเรื่อ แม้สายตาคมคายเขาจะมิได้จับจ้องมายังเธอ กลับทำให้ตัวเธอรู้สึกขวยเขินได้ไม่น้อยเลย
“ขอบใจเ้ามาก” เฉินฮั่ววางร่างบางลงอย่างเบามือบนเก้าอี้หินอ่อนสีขาวนวลด้านหน้าจวนพำนัก ฝ่ามือเขาจับข้อเท้าเธอยกขึ้นก่อนจะดึงสายผ้าคาดเอวพันรัดข้อเท้าเล็ก ๆ ไว้ เธอเองได้แต่จ้องมองอย่างงุนงงเพราะยังไม่รู้ตัวเลยว่าข้อเท้านั้นพลิกแพลงั้แ่เมื่อใด จนยามที่เธอจะลุกยืนความปวดร้าวสะท้านทำให้ถึงกับทรงตัวไม่อยู่ ร่างสูงของเขาโอบประคองทันท่วงที
“พระสนมทรงพักก่อนกระหม่อมจะไปนำยามาทาให้” กล่าวจบเฉินฮั่วก็ปล่อยให้เธอนั่งรอ หลินเสียงที่นั่งอยู่ข้าง ๆ นางคอยพัดวีอยู่เป็เพื่อน
ภาพผ่านตาระหว่างเธอที่ออกมายังวัดหลวงนี้ได้ถูกองครักษ์คนสนิทของฮ่องเต้หนุ่มที่คอยส่งมาสอดแนมดูเธอยามที่ห่างไกลตา เพราะคิดว่านางนั้นคือผู้ที่คอยช่วยเหลือต่อแคว้นหูเยว่จริง ๆ ไป่ฟางหรงย้ำเท้าก้าวถอยออกห่าง เกรงจะถูกองครักษ์ข้างกายเธอจับได้เสียก่อน เท้าเล็ก ๆ ถูกจับยกเล็กน้อยอย่างพองามมือหน้าคลึงนวดอย่างแ่เบาพลางให้เธอรู้สึกจั๊กจี้
“เช่นนั้นกระหม่อมขออนุญาต” น้ำเสียงทุ้มเอ่ยพร้อมยกร่างนางไว้ในอกแกร่งอีกครั้งก่อนที่จะพาเธอนั่งรถม้ากลับคฤหาสน์เสนาบดี
บรรยากาศเงียบเชียบราวห้องทั้งห้องไม่มีสิ่งมีชีวิตใดอยู่ หากแต่ร่างสูงของฮ่องเต้หนุ่มยามนี้กลับร้อนรุ่มราวเปลวเพลิงโอบคลุมร่างสูงนี้ หลังจากที่ได้รับฟังข่าวสารจากองครักษ์คนสนิท
“รับนางกลับตำหนัก...อย่าให้ไกลตาเจิ้น!!” ความขุ่นเคืองสะท้อนออกมากับน้ำเสียงอย่างชัดเจน หนานรั่วหานขึงตามององครักษ์ด้วยแววตาเกรี้ยวโกรธ จนเหิงกงกงที่ยืนก้มหน้าอยู่ยิ่งรีบโค้งก้มรับราชโองการราวแทบทรุดลงกับพื้น เหล่าขันทีวิ่งวุ่นชนกันวุ่นวาย
เกี้ยวหลังใหญ่หยุดรอเธอหน้าจวนเสนาบดีก่อนที่ร่างชราของเหิงกงกงที่กึ่งเดินกึ่งวิ่ง ชวนให้พบเห็นอดกลั้นขำไว้ไม่ได้ ฝีเท้ารีบเร่งหยุดยืนหน้าศาลารับแขกหลังใหญ่
“เรียนพระสนม..ฝ่าามีราชโองการให้รับพระสนมกลับวังในยามนี้พ่ะยะค่ะ”
“อะไรกัน..ก็ไหนตอนออกมาให้ข้าอยู่จนสบายใจ แล้วทำไมยามนี้....” ความสงสัยระคนน้อยใจผ่อนเสียงเบาราวกับรำพึงรำพันกับตัวเอง
“พระสนม..พระองค์ต้องรีบกลับเข้าวังนะพ่ะยะค่ะ มิฉะนั้นเห็นที...”
“เห็นทีอะไรท่านเหิงกงกง”
“เห็นทีศีรษะกระหม่อมจะมิอยู่ตรงบ่าพ่ะยะค่ะ” น้ำเสียงสั่น ๆ บอกถึงความเกรงกลัวเพียงใด เธอมองชายสูงวัยตรงหน้าก่อนจะเอ่ย
“เช่นนั้นข้าขอบอกลาท่านพ่อกับท่านแม่ก่อน” พูดจบหลิวเซียงเอ๋อร์ก็เดินเข้าไปยังห้องโถงใหญ่ภายในบ้าน ผู้เป็บิดานั่งเคร่งขึงกำลังตรวจรายงานประจำวัน ทางด้านฮูหยินยังคงลงมือปักผ้าอยู่ข้าง ๆ เขาดั่งเช่นทุกวัน
“ท่านพ่อ..ท่านแม่..ข้ามาลากลับวังหลวงเ้าค่ะ”
“อืม...เช่นนั้นเ้าก็ระวังตัวเองด้วยเซียงเอ๋อร์” ผู้เป็มารดาเอ่ย
“พระสนมอยู่ในวังหลวง ทุกแห่งมีหูมีตาอย่าได้เที่ยวเล่นสนุกตัวเองนัก” น้ำเสียงเรียบเฉยกลับแฝงความเป็ห่วงราวบอกเตือน เธอพยักหน้ารับเชิงเข้าใจก่อนย่างกายเดินออกจากคฤหาสน์หลังนี้ไป
แววตาเรียวเพ่งนึกถึงสิ่งที่ตนเห็นได้เห็นที่วัดหลวงนั่นหากแต่ไม่มีโอกาสได้เข้าไปตรวจดู ซึ่งเธอเองก็มั่นใจว่าเส้นทางนั้นจะยังคงมีผู้ใช้งานอยู่เป็แน่นอน เพราะแสงจากไฟคบเพลิงที่จุดไว้เป็เส้นทางเดินทอดยาวเข้าไป เธอไม่รู้ว่าที่แห่งนั้นมีความลับอะไรอยู่หรือไม่ หรือเป็เพียงที่เก็บของสิ่งใดไว้ เกี้ยวใหญ่ขนาดสิบหกคนหาบเดินฝ่าผู้คนเดินตรงเข้าวังหลวง ร่างบางแอบลอดมองดูผู้คนผ่านตาพลันเหลือบมองเห็นบุรุษร่างสูงใหญ่ที่คุ้นเคยกำลังยืนคู่กับหญิงนางหนึ่งราวกับเคยเห็นหน้ามาก่อน แต่เธอเองก็ไม่แน่ใจว่าเคยเห็นที่ใดมา จู่ ๆ ชายชุดดำราวสิบกว่าคนก็กระโจนลงมาจากหลังคาสูงของบ้านเรือนในตลาดมุ่งตรงมายังเกี้ยวหลังใหญ่ที่เธอนั่งอยู่
“พระสนม....ระวังตนเองเพค่ะ” หลินเสียงคว้าตัวเธอมากกกอดไว้ราวป้องกันมิให้ใครเข้าใกล้นาง กระบี่สีเงินเงาเสี่ยบทะลุเข้ามาผ่านหน้าจนเห็นเงาสะท้อน ร่างชายชุดดำคนหนึ่งพุ่งตัวเข้ามายังเกี้ยว ผู้คนส่งเสียงใจนวุ่นวาย แข่งกับเสียงกระบี่ที่ฟัดฟันกัน เธอรีบยกขาหนึ่งถีบเข้าอกชายชุดดำจนล้มกลิ้งตกเกี้ยวไป ยังไม่ทันที่เธอจะได้โชว์วิชาป้องกันตัวก็มีบุรุษผู้หนึ่งสวมอาภรณ์สีครามปกปิดเหลือเพียงดวงตาพุ่งเข้ามาโอบอุ้มร่างบางของเธอไว้พร้อมะโพาเธอขึ้นไปยังหลังคาสูง
“พระสนม!!” หลินเสียงะโดังก่อนจะรีบกระโจนออกจากเกี้ยวมาร้องเรียกเหล่าทหารด้านนอกอย่างวุ่นวาย ร่างบางพยายามดิ้นรนหนีแต่วงแขนแกร่งกลับไม่ขยับจนเขาต้องหันหน้ามองเธอด้วยแววตาราวกับดุ
“หากเ้ามิหยุดดิ้นเจิ้นจะปล่อยเ้าให้ตกลงไปด้านล่างนี้ซะ” น้ำเสียงเข้มดุที่คุ้นเคยทำให้ร่างบางหยุดชะงัก
“ฝ่าา...” น้ำเสียงใเอ่ยขึ้นทันทีที่รู้ว่าบุรุษร่างสูงชุดสีครามนี่คือใคร
“หากเจิ้นมาช้าเ้าคงไม่ได้อยู่มองเจิ้นเช่นนี้แน่” ร่างสูงโอบอุ้มร่างบางไว้ที่อกแกร่งก่อนจะพาหลบออกมาจากความวุ่นวาย
ทางด้านหลินเสียงเองโชคดีที่เฉินฮั่วมาช่วยไว้ทันนางจึงหนีรอดออกมาได้ แต่ก็ไม่รู้ว่าเหตุใดชายชุดดำจึงจู่โจมเข้ามายังเกี้ยวสนมของฮ่องเต้ซึ่งทุกครั้งจะเป็การจู่โจมไปที่ฮ่องเต้เสียมากกว่านางจึงรู้สึกหวั่นใจกลัวว่าสนมซูเฟย นายของนางจะถูกหมายเอาชีวิตเช่นเดียวกัน หลินเสียงหน้าซีดคล้ายคนจะเป็ลมยามเมื่อมองเห็นสีแดงฉานของเืตกกระเด็นเต็มทางที่เธอก้าวเดินจนขาอ่อนไร้กำลัง เฉินฮั่วเห็นท่าทางนางจึงได้ซ้อนร่างนางซุกเข้าแผ่นอกกว้างกำยำของเขา ก่อนพานางกลับมายังวังหลวง
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้