ผิงอันกลับมาถึงลานอันหวาในเวลาพลบค่ำ
ใบหน้าเขาเต็มไปด้วยความเบิกบานใจ ในอ้อมอกกอดตำราไว้ไม่น้อย
“ท่านพี่ ในห้องพี่ชายเซียวทางนั้นมีหนังสือมากมายเลย ห้องหนังสือของเขาใหญ่โตยิ่งนัก ชั้นหนังสือด้านในเต็มไปด้วยตำราอัดแน่นเพียบเชียวล่ะ”
ผิงอันวางตำราในอ้อมอกลงบนโต๊ะทานข้าวไม้หนานมู่
เจินจูยื่นมือออกไปหยิบตำราที่อยู่ใกล้มาพลิกไปมา มีบทละครพื้นเมือง บันทึกประวัติศาสตร์ บันทึกการเดินทาง เื่ราวเบ็ดเตล็ดและอื่นๆ ความสนใจของเ้าเด็กนี่หลากหลายจริงๆ
“ทำไมล้วนเป็ตำราที่ปนเปกันไปนักล่ะ ผู้าุโหลิงเห็นแล้วจะไม่ต้องจัดการสั่งสอนเ้าหรือ”
นางจิ้มเขาอย่างยิ้มกริ่ม
“ไม่มีทางหรอก ท่านอาจารย์จะคร่ำครึเช่นนั้นเสียที่ไหน เขาเองก็อ่านบันทึกประวัติศาสตร์หรือสิ่งเบ็ดเตล็ดเหล่านี้อยู่เป็ประจำ”
ผิงอันไม่ตกหลุมพราง นำตำรากองซ้อนกันอย่างเป็ระเบียบทีละเล่มราวกับของล้ำค่า
“นี่... ให้เ้า ข้าเย็บเสร็จแล้ว” เจินจูหยิบกระเป๋าใบเล็กที่ปักเสร็จเมื่อ่บ่ายออกมา
ผิงอันรับไปดู พลางเบะปากด้วยความรังเกียจ “วิธีเย็บหยาบเพียงนี้ ปักได้แย่ยิ่งกว่าข้าเสียอีก”
ปากก็กล่าวไปเช่นนั้น ทว่ายังเก็บกระเป๋าใบเล็กใส่เข้าในอกแต่โดยดี
เจินจูหมดคำพูด จิ้มแก้มของเขาอีกครั้ง
เมื่อก่อนพอเข้า่อากาศหนาวหนักทำได้แค่ขดตัวอยู่บนเตียงอิฐ เขาว่างไม่มีอะไรทำ จึงแข่งปักลวดลายผ้ากับนาง ผลสุดท้ายฝีมือของเ้าหมอนี่ประณีตเรียบร้อยและละเอียดมากกว่านางจริงๆ
“ท่านพี่ ข้ากับพี่เซียวจวิ้นยังเล่นหมากล้อมกันอยู่สองกระดานอีกด้วยนะ พี่เซียวร้ายกาจยิ่งนัก อาจเรียกว่าเก่งกว่าผู้าุโหลิงมากเชียวล่ะ”
ผิงอันผ่านการอยู่ร่วมกันกับเซียวจวิ้นมาตลอดบ่าย เกิดความรู้สึกเลื่อมใสต่อเขาอย่างมาก อีกทั้งเซียวจวิ้นมีอายุมากกว่าเขาสี่ถึงห้าปี เื่ราวที่รู้มีมากกว่าเขายิ่งนัก ที่น่าเสียดายคือเขาสุขภาพไม่ดี ทำให้เื่การขี่ม้ายิงธนูและวรยุทธ์ล้วนไม่ได้เล่าเรียน
เจินจูเลิกคิ้วงามขึ้น คนที่สุขภาพไม่ค่อยดีส่วนใหญ่ทำได้เพียงพักผ่อนอย่างสงบอยู่ในบ้านของตัวเอง สิ่งที่จะเรียนรู้ได้ล้วนเป็สิ่งที่สงบเงียบไม่มีอะไรมารบกวนและไม่สิ้นเปลืองแรง จากที่เคยได้ยินเ้าของร้านหลิวเอ่ยถึงว่า หมากล้อมของกู้ฉีก็ดูเหมือนจะเล่นได้ดีมากเช่นกัน ทั้งสองคนอาจเข้ากันได้ดีเลยกระมัง
“นี่... ในนี้ใส่เม็ดบัวของที่บ้านไว้ เ้าเอาไปมอบให้เซียวจวิ้นได้ เม็ดบัวบำรุงหัวใจและสมองช่วยให้จิตใจสงบ หากเขาทานมากหน่อยก็ไม่ได้มีผลเสียอะไร”
“เอ๋ ท่านพี่ กระปุกเหล่านี้ท่านวางไว้ที่ไหนกัน เหตุใดข้าถึงไม่เคยเห็น?” ผิงอันงงงวย ท่านพี่ของเขาเหมือนว่าจะหยิบออกมาหลายกระปุกแล้วด้วย
“…กองอยู่ในเกวียนด้านหลังไง เ้าจะเคยไปค้นเสียเมื่อไร” เจินจูไร้ความสะทกสะท้าน
“งั้นหรือ? แต่กระปุกมากมาย สั่นะเืมาตลอดทางเช่นนั้นก็ยังไม่แตก คุณภาพดีจริงๆ” ระหว่างเดินทางเข้าเมืองหลวง มีถนนบาง่ที่ไม่ค่อยดีสักเท่าไร สั่นะเืจนคนล้วนแทบลอยบินขึ้นได้
“…” ขณะที่เจินจูกำลังคิดจะเปลี่ยนหัวข้อสนทนา
เสียงเคาะประตูจากด้านนอกก็ดังขึ้น
ผู้ที่เข้ามาคือเยว่อิง
ครั้นหันไปจึงเห็นใบหน้าที่เคารพนบนอบยิ้มส่งมาให้สองพี่น้อง “ฮูหยินจัดโต๊ะเลี้ยงต้อนรับแขกคนสำคัญอย่างพวกท่านทั้งสองไว้ เลยสั่งให้หนูปี้มาเชิญพวกท่านไปลานฮ่าวอู๋เป็พิเศษเ้าค่ะ”
“โอ๊ะ สุขภาพของฮูหยินกั๋วกงดีขึ้นแล้วหรือ?” จัดงานเลี้ยงอาหารอีกแล้วหรือนี่ การทานอาหารกับคนไม่คุ้นเคย ช่างเป็เื่ที่ไม่น่าผ่อนคลายเอาเสียเลย โดยเฉพาะเป็ครอบครัวขุนนางใหญ่โตที่ให้ความสำคัญกับมารยาทธรรมเนียมปฏิบัตินี่แล้วด้วย
“ขอบคุณแม่นางหูที่ห่วงใย ฮูหยินดีขึ้นมากแล้วเ้าค่ะ” ความตื่นเต้นดีใจปรากฏวาบผ่านในดวงตาของเยว่อิง หลังฮูหยินดื่มชากุหลาบที่แม่นางหูมอบให้หนึ่งถ้วย จิตใจที่เดิมทีอ่อนล้าและหนักหน่วงล้วนเปลี่ยนไปจนผ่อนคลายยิ่งนัก ชากุหลาบนั่นคงเป็ครอบครัวนางปลูกเองกระมัง
เสี่ยวเฮยนอนเต็มอิ่มมันจึงหนีออกไปวิ่งเล่นนานแล้ว เสี่ยวฮุยก็อยากตามไป แต่เจินจูไม่อนุญาต ฟ้ายังไม่มืดหากมีหนูขนสีเทาะโออกไปกะทันหัน จะไม่ทำให้ผู้อื่นใแย่หรือ
นางทิ้งเนื้อตากแห้งไว้ให้มันสองสามชิ้น แล้วพี่น้องสองคนจึงตามหลังเยว่อิงไปยังลานฮ่าวอู๋
โต๊ะเลี้ยงจัดขึ้นสองตัว ผิงอันถูกนำทางไปห้องต้อนรับแขก เพื่อร่วมโต๊ะกับเจิ้นกั๋วกงและเซียวจวิ้น
ส่วนเจินจูตามเยว่อิงไปห้องกว้างอีกห้องหนึ่ง
ฮูหยินกั๋วกงเปลี่ยนมาสวมเสื้อกันหนาวผ้าแพรปักดิ้นทองขอบขนสัตว์ เครื่องประดับรวมทั้งทรงผมบนศีรษะได้เปลี่ยนไปทั้งหมด มวยผมดึงต่ำ ปักปิ่นหยกสีเขียวมรกตประดับดอกไห่ถัง แต้มชาดบนริมฝีปากบางๆ คนทั้งกายดูมีชีวิตชีวาขึ้นมาก
ส่วนเจินจูยังคงแต่งชุดเดิมั้แ่เมื่อเช้า แม้กระทั่งเครื่องประดับหรือทรงผมก็แปรงเหมือนเดิมไม่มีเปลี่ยนไปเลยสักนิด นางพึมพำกับตัวเองในใจ ครอบครัวร่ำรวยกฎเกณฑ์ก็มาก แค่ตื่นนอนกลางวันขึ้นมายังต้องเปลี่ยนการแต่งหน้าแต่งตัวอีกชุด เฮ้อ สภาพจิตใจชาวชนบทผู้มีอันจะกินตัวเล็กๆ เช่นนางนี้ ไม่เหมาะจะอยู่เก็บเนื้อเก็บตัวภายในลานบ้านลึกเลยจริงๆ
ในห้องกว้างแต่อบอุ่นอย่างมาก เครื่องเรือนไม้หนานมู่ครบชุดดูมีสง่าโอ่อ่าล้ำค่า ฮูหยินกั๋วกงยืนขึ้นและยิ้มพร้อมก้าวเข้ามาต้อนรับนางสองก้าว
“แม่นางหู พักเที่ยงได้สบายดีหรือไม่?”
“ดีมากเ้าค่ะ ขอบคุณฮูหยินที่เป็ห่วง”
“ขาดเหลืออะไร เ้าบอกเยว่อิงได้เลยนะ ไม่ต้องเกรงใจ ถือเสียว่าที่นี่เป็บ้านของตัวเองได้เลย”
ฮูหยินกั๋วกงดึงมือของนางไว้ด้วยความกระตือรือร้น มองแก้มชุ่มชื้นแวววาวของนาง ยิ่งมองก็ยิ่งชื่นชอบ
เจินจูยิ้มและพยักหน้าน้อยๆ
เหล่าหญิงรับใช้กำลังยุ่งอยู่กับการเตรียมอาหาร
ท่าทางฮูหยินกั๋วกงเป็กันเอง รอยยิ้มบนใบหน้ายิ้มส่งไปถึงก้นบึ้งของดวงตา วันนี้เมื่อตอนบ่ายนางดื่มชาดอกกุหลาบที่แม่นางหูมอบให้ จิตใจดีขึ้นเหนือความคาดหมายไม่น้อย นี่จึงทำให้นางเบิกบานใจอย่างมาก
ชาดอกกุหลาบนางนับได้ว่าเคยเห็น ทว่ากลับไม่เคยดื่มมาก่อน กลิ่นหอมรสกลมกล่อม นางดื่มแล้วสบายใจยิ่งนัก
“ที่บ้านแม่นางหูปลูกดอกไม้ไว้เยอะเช่นนั้นหรือ?”
“เ้าค่ะ ในแปลงดอกไม้ของที่บ้านปลูกไว้จำนวนหนึ่ง ไม่นับว่ามากเท่าไรเ้าค่ะ”
“เหตุใดจึงคิดทำชาดอกไม้ขึ้นมาเองล่ะ?”
“ดอกไม้สวยงามนัก ปล่อยให้โรยราไปเฉยๆ ช่างน่าเสียดาย หากนำมาทำเป็ชาดอกไม้ สามารถแสดงสรรพคุณของพวกมันได้มากกว่าเ้าค่ะ”
“โอ้ ชาดอกไม้ล้วนมีสรรพคุณด้วยหรือ?”
ฮูหยินกั๋วกงดวงตาเป็ประกาย
“ใช่เ้าค่ะ ชาดอกไม้ที่แตกต่างกันย่อมมีสรรพคุณที่ไม่เหมือนกัน ที่บ้านข้าทำไว้เพียงสองชนิด ชนิดหนึ่งคือชาดอกกุหลาบ ชนิดหนึ่งคือชาดอกเบญจมาศ ชาดอกกุหลาบใช้ปรับการหมุนเวียนของเืลมคลายความกลัดกลุ้ม กระตุ้นการไหลเวียนของโลหิตขจัดการอุดตัน ปรับเืลม เสริมหยินบำรุงผิวพรรณ สตรีดื่มจะเหมาะสมที่สุดเ้าค่ะ”
ขณะที่เจินจูกล่าว ดวงตาฮูหยินกั๋วกงที่อยู่ด้านข้างเป็ประกายมากยิ่งขึ้น สรรพคุณเหล่านี้ไม่ใช่ว่าเหมาะกับนางพอดีเลยหรือ
“ส่วนชาดอกเบญจมาศช่วยขับลมและความร้อนภายในลำไส้ ชำระตับบำรุงดวงตา แก้พิษและอาการอักเสบ นานๆ ดื่มสักครั้งดับอารมณ์ร้อนได้ จะทำให้สดชื่นสมองกระปรี้กระเปร่า แต่ท่านร่างกายอ่อนแอเล็กน้อย ไม่เหมาะให้ดื่มมาก คนร่างกายแข็งแรงเหมือนเช่นนายท่านกั๋วกงนั้น สามารถดื่มมากหน่อยได้เ้าค่ะ”
“แม่นางหู เ้ารู้เื่เหล่านี้ได้อย่างไรกัน?” ไม่ใช่ว่าเป็เพียงคนครอบครัวชาวนาที่ฐานะทางบ้านมั่งคั่งเท่านั้นหรือ? ดูแล้วไม่ค่อยเหมือนดังว่าสักเท่าไรเลย
เจินจูยิ้มเล็กน้อย นางเตรียมคำตอบไว้พร้อมอยู่แล้ว
“พวกข้าอยู่ติดกับเทือกเขาไท่หาง ร้านจำหน่ายวัตถุดิบยาสมุนไพรบริเวณโดยรอบมีมากมาย ติดต่อคบค้ากับพวกเขาจนชิน สิ่งเหล่านี้ย่อมเข้าใจอยู่นิดหน่อยเป็ธรรมดาเ้าค่ะ”
ฮูหยินกั๋วกงท่าทางเข้าใจได้อย่างฉับพลัน
“ครอบครัวพวกเ้าล้วนทำชาดอกไม้มากมายทุกปีเลยหรือ?” นางถามขึ้นอย่างรีบร้อนอยู่เล็กน้อย
เจินจูส่ายหน้า “ทำไว้ดื่มเองนิดหน่อยเ้าค่ะ แล้วก็มีนำมามอบให้คนเล็กน้อยด้วย ตอนนี้เข้าหน้าหนาวหนัก ดอกไม้เหี่ยวเฉาไปหมดแล้ว ชาดอกไม้ที่เหลืออยู่จึงมีไม่มากเท่าไรแล้วเ้าค่ะ”
ของยิ่งน้อยถึงจะยิ่งล้ำค่า
ฮูหยินกั๋วกงท่าทางผิดหวังดังคาด
“หากท่านชอบ ที่ข้ายังมีชาดอกเบญจมาศอยู่จำนวนหนึ่ง แม้ไม่เหมาะให้ท่านดื่มได้บ่อยๆ แต่สามวันห้าวันดื่มสักครั้งสองครั้งก็ไม่เป็ไรเ้าค่ะ”
ฮูหยินกั๋วกงนึกถึงกลิ่นสะอาดสดชื่อของดอกเบญจมาศ อดพยักหน้าติดกันขึ้นไม่ได้ ทันทีหลังจากนั้นนางก็รู้สึกกระดากใจเล็กน้อย “แค่กๆ แม่นางหู เ้าอย่าว่าข้ามีจิตใจละโมบเลยนะ นั่นเป็ชาดอกไม้ของบ้านเ้าที่กลิ่นและรสดีมากจริงๆ ข้าจิตใจแย่มากมาตลอด แต่เมื่อบ่ายวันนี้ได้ดื่มชาดอกกุหลาบไปหนึ่งถ้วย รู้สึกว่าจิตใจล้วนดีขึ้นมากยิ่งนัก”
จะไม่ดีได้อย่างไรล่ะ นั่นเป็ดอกกุหลาบที่เป็ผลิตผลในมิติช่องว่างโดยตรงเลยนะ ย่อมไม่มีประสิทธิผลใดจะดีไปกว่านี้อยู่แล้ว
“หากท่านชอบ เช่นนั้นก็ดีมากเลยเ้าค่ะ”
อาหารบนโต๊ะจัดวางเสร็จเรียบร้อยพอดี ฮูหยินกั๋วกงจูงนางเข้ามาที่โต๊ะเลี้ยงอย่างสนิทสนม
ยึดถือกฎเกณฑ์ยามรับประทานไม่สนทนายามนอนไม่พูดคุย ต่างก็รับประทานอาหารเย็นจนหมด
ขณะนี้ท้องฟ้าปกคลุมไปด้วยความมืดมิดจนทั่วแล้ว โคมไฟสีแดงของจวนกั๋วกงแขวนขึ้นสูง
หลังจากครอบครัวเซียวจวิ้นสามคนส่งสองพี่น้องกลับลานไปแล้ว จึงมานั่งรวมกันอยู่ในห้องกว้าง
“นายท่านกั๋วกง ท่านลองชาดอกเบญจมาศถ้วยนี้สิ”
“ชาดอกเบญจมาศ? เหตุใดจึงคิดดื่มชาดอกไม้ขึ้นมากะทันหันได้? ท่านหมอหลวงบอกว่าสุขภาพของเ้าดื่มสิ่งเหล่านี้ได้งั้นหรือ?” เซียวฉิงย่นคิ้วดกดำจนขมวดแน่น ดวงตามองนางอย่างตำหนิ เห็นอยู่ว่าร่างกายไม่ดียังจะดื่มชาดอกไม้สุ่มสี่สุ่มห้าเช่นนี้อีก
หากคนไม่รู้ไม่เข้าใจอารมณ์ความคิดนี้ คงคิดว่านายท่านกั๋วกงกำลังอยู่ในอารมณ์โมโหเป็แน่ จะมีก็เพียงแม่ลูกที่คุ้นเคยกับเขาดีเท่านั้น ที่รู้ดีว่านี่เป็เพียงการแสดงความห่วงใยออกมาของเขา
ฮูหยินกั๋วกงค้อนใส่เขาหนึ่งขวับ “สิ่งเหล่านี้ข้าจะไม่รู้ได้หรือ นี่ให้ท่านดื่ม ท่านลองดูหน่อย”
เซียวฉิงยกถ้วยเครื่องเคลือบลายดอกบัวขึ้นดื่มสองสามอึก
“เป็อย่างไรบ้าง?” สายตานางเต็มไปด้วยความคาดหวัง
“กลิ่นค่อนข้างหอมยิ่งนัก”
“…แค่นี้เองหรือ?”
“…ก็ไม่ได้เติมน้ำตาลเสียหน่อย จะให้รู้สึกหวานได้หรือ?”
“ไม่รู้สึกว่าดื่มลงไปแล้ว เอ่อ... สดชื่น ผ่อนคลายหรือสบายใจเลยหรือ?”
“…นี่เป็ชา ไม่ใช่ยา” เซียวฉิงมองนางด้วยความสงสัย “มีอะไรงั้นหรือ?”
เซียวจวิ้นก็มองผู้เป็มารดาด้วยความประหลาดใจเช่นกัน ชาดอกเบญจมาศเท่านั้นเอง แม้ค่อนข้างแพร่หลายอยู่ทางใต้ แต่เมืองหลวงไม่ใช่ว่าไม่มี
ฮูหยินกั๋วกงสีหน้าผิดหวังเล็กน้อย นางเล่าเื่ในวันนี้ให้พวกเขาฟัง ทั้งยังให้สาวใช้นำกระปุกชาดอกไม้เข้ามาอีกด้วย
ใบหน้าของเซียวฉิงจริงจังขึ้นมาทันควัน เขามองนางอย่างละเอียด พบว่ากำลังวังชาของนางดีขึ้นกว่ายามปกตินิดหน่อยจริงๆ
“ท่านแม่ มิน่าเล่าที่ร่างกายของท่านมีกลิ่นหอมดอกกุหลาบอยู่บางเบาด้วยขอรับ” แม้เซียวจวิ้นจะร่างกายแย่ แต่จมูกกลับค่อนข้างฉับไวมาก
เซียวฉิงได้ยินดังนั้น รีบเข้ามาดมใกล้ๆ ทันที
ฮูหยินกั๋วกงจากแต่เดิมมีใบหน้าขาวซีดอยู่กลับมีสีเืฝาดแดงลุกลามขึ้น นางกระเง้ากระงอดค้อนใส่เขาทีหนึ่ง แล้วจึงผลักเขาออกไป
เซียวจวิ้นแสร้งทำท่าว่ามองไม่เห็น หันหน้าไปมองทางอื่น บิดามารดารักกันมากมาโดยตลอด เขาเห็นจนชินชาแล้ว
สาวใช้ประคองกระปุกที่ทำจากกระเบื้องเคลือบธรรมดาเข้ามาสองกระปุก
เซียวจวิ้นเปิดหนึ่งในนั้นออก กลิ่นหอมของดอกเบญจมาศเข้มข้นหนึ่งสายโชยเข้าจมูก กลิ่นที่สูดเข้าไปภายในหัวใจและปอดผ่อนคลายอย่างมาก ดึงดูดเขาให้ดมมากขึ้นอีกสองสามเฮือกอย่างอดใจไม่อยู่
เซียวฉิงก็หยิบอีกหนึ่งกระปุกมาเปิดออก ด้านในเป็ดอกกุหลาบตูมแต่ละดอกแห้งสนิท กลิ่นหอมกรุ่นซึมซาบเข้าสู่ใจคน
“โธ่เอ๋ย พวกเ้าระวังหน่อย มีเพียงเล็กน้อยแค่นี้เท่านั้น ดอกเบญจมาศกระปุกนั้นเป็ของเยว่อิงนะ” ฮูหยินกั๋วกงมองเซียวฉิงที่ท่าทางซุ่มซ่าม กลัวมากว่าเขาจะทำกระปุกตกแตกเข้า
“ดอกกุหลาบชนิดนี้แปลกเพียงนี้เลยหรือนี่? เ้าอย่าดื่มสุ่มสี่สุ่มห้า พรุ่งนี้ข้าจะเอาไปให้ท่านหมอหลวงตรวจก่อน ดูว่าเ้าจะดื่มได้หรือไม่แล้วค่อยว่ากัน” เซียวฉิงไม่ให้ความสนใจนางอีก ขณะที่เขาดื่มแม้ไม่ปรากฏสิ่งผิดปกติใด แต่แม่ลูกสองคนล้วนร่างกายอ่อนแอมาก อาหารการกินจำเป็ต้องใส่ใจระมัดระวัง
ฮูหยินกั๋วกงจนปัญญา รู้ว่ารั้นสู้กับเขาไม่ได้ จึงทำได้เพียงกำชับอย่างระมัดระวังว่าต้องคืนให้นางในสภาพเดิม
เซียวฉิงมองท่าทางดั่งของล้ำค่าของนาง คิดว่าสิ่งของที่พี่น้องสกุลหูนำมา ช่างโดดเด่นไม่เหมือนผู้ใดอยู่เล็กน้อยจริงๆ ก่อนหน้านี้ก็เป็หญ้าสงบจิติญญา หนนี้ก็ชาดอกไม้
เซียวจวิ้นประคองกระปุกชาดอกเบญจมาศวางลงด้วยความอาลัยอยู่บ้าง กลิ่นหอมของหญ้าสงบจิติญญา ดมแล้วจิตใจสงบผ่อนคลาย นอนหลับติดต่อได้ยาวนาน ส่วนกลิ่นหอมสดชื่นของดอกเบญจมาศกลับมีสรรพคุณทำให้สดชื่นสมองกระปรี้กระเปร่า ทั้งสองกลิ่นล้วนหอมมากทั้งคู่
ท่าทางของเขาตกอยู่ในสายตาของเซียวฉิงและฮูหยิน สองคนสบตาสื่อสารกัน
“จวิ้นเอ่อร์ กระปุกดอกเบญจมาศนี้เ้าเอากลับไปสิ แม่นางหูกล่าวว่าที่นางยังเหลืออยู่หนึ่งกระปุก พรุ่งนี้ค่อยนำมามอบให้”
เซียวจวิ้นสีหน้าแดงเล็กน้อย “ท่านแม่ บุญคุณช่วยชีวิตพวกเรายังไม่ได้ตอบแทนเลย กลับเอาของคนเขามาอยู่ตลอด นี่คงไม่ค่อยดีกระมังขอรับ”
“ฮ่าๆ นี่น่ะ แม่จะคิดวิธีตอบแทนคืนพวกนางอย่างแน่นอน มีไปมีมา จึงจะเป็น้ำใจคน [1] ความสัมพันธ์ย่อมแน่นแฟ้นชิดใกล้ เ้าว่าใช่หรือไม่ล่ะ?”
เซียวฉิงพยักหน้าคล้อยตาม
แต่ใบหน้าเซียวจวิ้นกลับแดงขึ้นเล็กน้อย
เชิงอรรถ
[1] มีไปมีมา จึงเป็น้ำใจคน หมายถึง การมีปฏิสัมพันธ์เท่ากันอยู่สองฝ่าย ไม่ปล่อยให้ฝ่ายในฝ่ายหนึ่งทำอะไรให้มากกว่า จึงจะเป็ความสัมพันธ์ต่อกันที่ดีที่สุด