Chapter 27
โจไซอามีความสุขเสมอเมื่อได้เห็นชายผู้เป็ที่รักมีความสุข ไม่ว่าจะเป็เอเดน กริฟฟิน หรือซาตานนามว่าแซ็กคารีก็ตาม ลมหนาวจากทะเลเริ่มเย็นบาดผิวกาย ความเ็ปคืบคลานกระดูกทีละข้อในร่างกายของเทพผู้เป็โรครักระทม แต่โจไซอากลับลืมความทรมานเ่าั้ และยืนนิ่งที่ริมชายหาด เพื่อจ้องมองแซ็กคารีที่กำลังเดินขึ้นชายฝั่งช้า ๆ
ท้องฟ้าสีส้มแปรเปลี่ยนเป็สีม่วง แต่งแต้มด้วยสีน้ำเงินเข้ม ยิ่งมืดเท่าไร อากาศยิ่งหนาว ยิ่งดวงอาทิตย์ลาลับขอบฟ้าจมดิ่งสู่ขอบทะเล อุณหภูมิของทะเลฤดูหนาวยิ่งลดต่ำ แต่ดวงอาทิตย์ของโจไซอากำลังเดินมาหาเขาแล้ว เขาจึงไม่เกรงกลัวความเ็ปทรมานอีก
“เข้าไปในบ้านกันไหมครับ” เสียงทุ้มเอ่ยถาม แสดงความกังวลว่าโจไซอาจะหนาว
“อืม”
แซ็กคารีอาบน้ำเย็บเฉียบอย่างที่ตนเองชอบ เงยหน้ารับสายน้ำจากฝักบัวใหญ่้าพร้อมยิ้มบาง ความรู้สึกคล้ายกับการยืนอยู่ท่ามกลางสายฝนโดยไม่คิดหลบใต้ร่มหรือที่กำบัง แตกต่างกันเพียงแค่ยามนี้เขาเปลือยเปล่าไปทั้งตัว และอยู่ในห้องน้ำ
น้ำเย็นเฉียบไม่ได้ทำให้อุณหภูมิผิวกายอุ่นร้อนของซาตานลดต่ำลง เขายังคงเป็ซาตานตัวอุ่นที่โจไซอาชอบ ร่างสูงกำยำแต่งตัวด้วยชุดที่เตรียมเอาไว้แล้วในตู้อย่างเป็ระเบียบ คือเสื้อยืดแขนยาวสีเทาเข้มพอดีตัวกับกางเกงผ้าขายาวง่าย ๆ จากนั้นจึงเดินลงมาที่ชั้นล่าง กวาดสายตามองหาเทพ
เขาคิดว่าโจไซอาคงนั่งพักผ่อนอยู่บนโซฟา แต่อีกฝ่ายกลับยืนนิ่งมองออกไปนอกกระจก จ้องมองทะเลสีดำสนิทด้านหน้าราวเหม่อลอย แซ็กคารีเดินลงบันไดช้า ๆ จนถึงขั้นแรก และเสียงฝีเท้าของเขาทำให้โจไซอาหันหลังมาหา
“สบายตัวหรือยัง”
“ครับ”
เสียงของเทพร่างผอมหวานใสน่าฟัง แทบไม่เจือความอ่อนแรง โจไซอาดูเดินเหินคล่องแคล่วไม่้าให้แซ็กคารีเข้าไปช่วยพยุง คงเป็เพราะอากาศของที่นี่ทำให้อาการจากโรครักระทมบรรเทาลง แซ็กคารีจึงเม้มปาก เรียบเรียงคำพูดถึงสิ่งที่ตนจะเอ่ยขอ เขาคิดว่ามันเป็สิ่งที่เทพโจไซอาช่วยได้
“ท่านโจไซอาครับ” ซาตานยืนด้านข้างของเทพ แต่ไม่กล้าเดินหน้าขึ้นอีกนิดให้อยู่ระดับเดียวกัน
“ว่าไง” เสียงหวานขานรับโดยที่ดวงตายังมองท้องฟ้ามืดมิด
“ตอนที่ผมบินขึ้นไป ผมเห็นหมู่บ้านร้างที่อีกเกาะอยู่ไม่ไกลจากที่นี่” ด้วยเสียงทุ้มที่จริงจังและกังวล โจไซอาจึงหันหน้ามองแซ็กคารี สบตาตอบกลับแสดงออกว่ากำลังตั้งใจฟังเขาอยู่
“ผมเห็นรูปปั้นซาตานอยู่ที่จัตุรัสของเมือง แต่ผมไม่แน่ใจว่าเป็แค่รูปปั้นจริง ๆ หรือเปล่า”
“หมายความว่ายังไง” แซ็กคารีกลืนน้ำลายลงคอ และตอบคำถาม
“รูปปั้นนั้นอาจเป็ซาตานที่ถูกเทพสาปให้เป็หินครับ”
ซาตานเป็เผ่าพันธุ์ุ์ที่เฉลียวฉลาดความทรงจำเป็เลิศ มีพละกำลังแข็งแรง แต่ถูกกดให้อยู่ต่ำกว่าเหล่าเทพที่มีอำนาจวิเศษ นานหลายหมื่นปีแล้วที่ซาตานบางตนทำงานรับใช้เทพด้วยความภักดีเพื่อแลกกับสิ่งที่้า และเป็การฝากฝังชีวิตไว้กับเทพ ให้เทพผู้เป็เ้านายรับผิดชอบชีวิตซาตานตนนั้นจนสิ้นอายุขัย
และมีหลายครั้งที่เทพทำเื่โหดร้ายกับซาตาน เทพบางองค์ที่มีอำนาจมากพอในการสาปแช่ง จะสาปเหล่าซาตานรับใช้ให้ทุกข์ทรมานหากทำงานไม่ได้ดั่งใจ ไม่ว่าจะเป็เื่ใหญ่หรือเื่เล็กน้อยเพียงใด เทพก็ยังคงเป็ผู้ทะนงตนคิดว่าตนเองยิ่งใหญ่เหนือใคร ๆ ใช้พลังอำนาจกดขี่แม้แต่กับผู้รับใช้ใกล้ชิดอย่างซาตาน
แซ็กคารีจึงเกรงกลัวและกังวลเมื่อต้องเอ่ยเื่นี้กับโจไซอาผู้เป็เทพ เขากำมือพร้อมหัวใจเต้นแรงลุ้นรอคอยคำตอบและการตอบกลับจากโจไซอา ว่าเทพผ่ายผอมจะเลือกปกป้องเทพด้วยกัน หรือจะเห็นความทะนงตนหยิ่งยโสของเทพที่กดขี่เผ่าพันธุ์ของเขา
“เรารีบไปดูให้แน่ใจกันเถอะ”
โจไซอาตอบกลับด้วยเสียงและท่าทางร้อนรนจะรีบไปดูที่เกาะหมู่บ้านร้างแห่งนั้นทันที แน่นอนว่าเทพผู้เกลียดเหล่าเทพด้วยกันอย่างโจไซอาต้องไม่เลือกปกป้องพวกนั้นอยู่แล้ว แซ็กคารีโล่งใจ และรีบคว้าแขนผ่ายผอมเอาไว้ดึงรั้งไม่ให้อีกฝ่ายเดินออกไป
“รอตอนเช้าให้อากาศอุ่นกว่านี้ก่อนไหมครับ”
“รีบไปตอนนี้เลย ฉันไม่ได้เ็ปอะไรมากแล้ว” โจไซอาใจร้อนกว่าแซ็กคารีเสียอีก ร่างผอมทำท่าจะเดินออกจากบ้านอย่างเดียว หากไม่มีมือของแซ็กคารีรั้งเอาไว้คงออกไปแล้ว
“แต่ท่านโจไซอา…”
“แซ็ก… ถ้าเขาถูกสาป แสดงว่าเขาทนอยู่อย่างนั้นมากกว่าร้อยปีอีกนะ”
เป็อีกครั้งที่แซ็กคารียอมโอนอ่อนต่อการโน้มน้าวของโจไซอา ซาตานหนุ่มพยักหน้าแล้วยอมปล่อยมือจากแขนผอม
“แต่ฉันคงหายตัวไม่ไหว ฉันจะสอนเธอขับเรือนะ ไม่ยากหรอก”
“เราจะนั่งเรือไปเหรอครับ”
“อือ” แซ็กคารียกยิ้ม ราวขบขันท่าทางของโจไซอา ทีแรกเทพสงสัยเมื่อเห็นรอยยิ้มของอีกฝ่ายในสถานการณ์แบบนี้ แต่เพียงไม่นานก็ยิ้มตามอย่างง่ายดาย
“ทำไมเหรอ”
“ผมก็มีปีกนะครับท่านโจไซอา”
“พร้อมนะครับ”
ซาตานผิวกายสีขาวซีดนวลทั้งตัวราวรูปสลักหินอ่อน ก้มหน้าถามเทพร่างผอมในอ้อมแขนที่ตนอุ้มแนบอก มือผ่ายผอมสองข้างคล้องลำคอซาตานให้มั่น แล้วพยักหน้าตอบด้วยรอยยิ้ม
ปีกใหญ่สีขาวงดงามจึงสยาย สะบัดเล็กน้อยรับสายลมหนาวที่พัดออกจากชายฝั่ง ลมแทบไม่ส่งผลใด ๆ ต่อโจไซอาเพราะเทพอยู่ในอ้อมแขนอบอุ่นของชายผู้เป็ที่รัก อุปสรรคเพียงหนึ่งเดียวคือความกลัวที่ก่อเกิดในหัวใจโจไซอาขึ้นมาดื้อ ๆ
ไม่ใช่ครั้งแรกที่แซ็กคารีในร่างซาตานอุ้มโจไซอาและบินขึ้นฟ้า แต่ครั้งก่อน ๆ เป็ตอนที่อาการเจ็บป่วยของโจไซอากำเริบจนแทบไม่มีสติ ครั้งนี้เขามีสติรับรู้ทุกอย่างชัดเจน หัวใจที่บีบแน่นไม่คลายออกในอกจึงรู้สึกเบาหวิวหมุนเหวี่ยงเมื่อซาตานกระพือปีกขึ้นฟ้าสูงขึ้นเรื่อย ๆ
เมื่อมองลงไปด้านล่างจะเห็นน้ำทะเลสีดำมืดสะท้อนแสงจันทร์ในคืนพระจันทร์เต็มดวง กระแสน้ำเล็ก ๆ ทำให้ผิวน้ำเย็นเฉียบขยับเคลื่อนไหวตลอดเวลา มือผ่ายผอมโอบลำคอซาตานแน่นขึ้นและเงยหน้าหนีภาพชวนใจหวิว เขาละสายตามามองใบหน้าของซาตานหนุ่มแทน
ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนจ้องมองแซ็กคารีในร่างซาตานอยู่นาน อีกฝ่ายงดงามไร้ที่ติราวรูปสลัก ผมสีขาวซีดไม่ต่างจากสีผิวกายพลิ้วไหวตามลม เขาสองข้างโค้งงอไปด้านหลัง โจไซอาเพิ่งเคยสังเกตซาตานใกล้ชิดเช่นนี้เป็ครั้งแรก และเพิ่งรู้ว่าซาตานเป็เผ่าพันธุ์ุ์ที่งดงามที่สุดเท่าที่เขาเคยเห็น
ทั้งสองมาถึงเกาะร้างที่ตั้งของอดีตหมู่บ้านเล็ก ๆ แห่งหนึ่งในเวลาไม่นาน แสงจันทร์เต็มดวงอาบพื้นที่ในหมู่บ้านที่เคยมีสีสันสดใสแห่งนี้จนกลายเป็สีเทาน้ำเงิน ตึกปูนที่ตั้งตามพื้นเนินลาดชันตอนนี้เก่าจนสีหลุดล่อนเกือบทั้งหมด หลังคามีรอยผุพังจนเป็รู ส่วนร้านค้าที่ชั้นหนึ่งปิดตายมานานเปลี่ยนแปลงไปจนแทบเดาไม่ได้ว่ามันเคยเป็ร้านอะไรมาก่อน กระเบื้องหินที่ปูตามพื้นลาดเริ่มหลุดเป็จุด ๆ จนเดินลำบาก
แซ็กคารีจึงยื่นแขนให้โจไซอาจับตลอดทาง ทั้งสองเดินมาถึงจัตุรัสหมู่บ้าน พื้นที่ราบเพียงแห่งเดียวของหมู่บ้านเล็ก ๆ แห่งนี้ ซึ่งมีรูปสลักซาตานตั้งโดดเด่นที่ใจกลางจัตุรัส แสงจันทร์ช่วยอาบรูปสลักสีเทาซีดให้มองเห็นได้ในความมืดยามค่ำคืน แต่อากาศของฤดูหนาวทำให้แซ็กคารีกังวล
“ท่านโจไซอารอผมอยู่ตรงนี้ได้ไหมครับ”
แซ็กคารีจับมือผอมที่เกาะแขนของตนออกอย่างนุ่มนวล โจไซอาพยักหน้าและยืนรออย่างที่อีกฝ่ายขอ เพียงไม่นาน ร่างสูงกำยำของซาตานหนุ่มก็กลับมาพร้อมไม้ยาวในมือที่ส่วนหัวพันผ้าราดน้ำมันจนกลายเป็คบเพลิง จุดเปลวไฟให้แสงสว่างและความอบอุ่น
ทั้งคู่เดินเข้าหากันที่ด้านหน้าของรูปสลักใจกลางจัตุรัส แซ็กคารีใช้แสงสว่างจากคบเพลิงส่องรอบ ๆ รูปสลักซาตานนั่งคุกเข่าท่าทำความเคารพอย่างภักดี แสงไฟสีส้มอาบใบหน้ารูปสลักสีเทา แซ็กคารีสบตารูปสลักจ้องนิ่งค้างอยู่นานและมองเห็นแววตาของความเศร้าโศกชัดเจน สัญชาตญาณของซาตานบอกแซ็กคารีว่านี่ไม่ใช่รูปปั้น ไม่ใช่รูปสลักหินอ่อน แต่คือซาตานที่ถูกสาป
“เขายังไม่ตาย…”
แซ็กคารีรีบบอกเทพร่างผอมที่มาด้วยกัน โจไซอาเงยหน้ามองซาตานผู้ถูกสาปให้กลายเป็หินอีกครั้ง ภาพความทรงจำเมื่อ 99 ปีก่อนจึงย้อนกลับมาในวันนี้ โจไซอาเคยพาเอเดน กริฟฟินมาที่นี่ ครั้งนั้นเอเดนยืนจ้องรูปสลักซาตานอยู่นานโดยไม่พูดอะไร และโจไซอาคิดเพียงว่าเป็ผลงานสลักของเทพ ไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าเป็ซาตานที่ถูกสาป
ซาตานตนนี้จึงหยุดนิ่งกลายเป็รูปสลักในสายตาของมนุษย์มานานมากกว่าหนึ่งร้อยปีอย่างที่โจไซอาคาดเดา มีหลายครั้งที่ซาตานถูกเทพสาปให้ชะงักนิ่งกลายเป็รูปปั้นหรือรูปสลัก และส่งไปตามเมืองต่าง ๆ ที่มีมนุษย์อาศัยอยู่ เพื่อป้องกันไม่ให้ผู้ใดปลดปล่อยซาตานให้เป็อิสระ เพราะตามกฎของเทพอารักษ์จะป้องกันไม่ให้พวกมนุษย์สงสัยหรือรับรู้เื่ราวในโลกของเทพ หากมีมนุษย์มองเห็นรูปปั้นหรือรูปสลักตั้งตระหง่านอยู่กลางเมืองแล้ว จึงไม่อาจปลดปล่อยพวกเขาให้เป็อิสระได้
“เอเดนเคยมาที่นี่… เธอจำได้ไหม” เขาเผลอพูดโพล่งออกไป และมองซาตานร่างสีขาวซีดนวลข้างกายอย่างมีความหวัง
“ไม่ครับ” แต่แซ็กคารีกลับปฏิเสธ ความหวังที่ก่อเกิดดับหายไป
“ไม่เป็ไร ไม่เป็ไร” โจไซอาพรูลมหายใจ แต่ไม่คิดยอมแพ้
“ท่านโจไซอาช่วยปลดปล่อยเขาได้ไหมครับ”
“ฉันจะลองดู”
โจไซอาตั้งใจจะปลดปล่อยซาตานตนนี้อยู่แล้ว แม้แซ็กคารีไม่เอ่ยขอก็ตาม ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนสบมองซาตานถูกสาปอย่างแน่วแน่ และก้มมองหินก้อนใหญ่ที่ตั้งเป็ฐาน พยายามมองหาทางปีนขึ้นไป
มืออบอุ่นของซาตานแตะแขนโจไซอาเรียกให้เทพหันมอง จากนั้นแซ็กคารีเสียบคบเพลิงกับร่องกระเบื้องหินที่หลุดออกมาจนเห็นดินด้านใต้ แล้วเดินมาตรงหน้าซาตานถูกสาป ร่างสูงใหญ่กำยำของซาตานหนุ่มคุกเข่า ตั้งขาชันขึ้นมาหนึ่งข้าง และเงยหน้ามองเทพโจไซอา ส่งสายตาให้เหยียบขาของตนเองขึ้นไป
“ขอบใจ”
มือผอมจับมือแซ็กคารีที่แบรออยู่ก่อนแล้ว จับพยุงร่ายกายให้ทรงตัวได้ถนัดยิ่งขึ้น โจไซอาแทบไม่ต้องใช้แรงขาในการยืนเลย เพราะแซ็กคารีคอยจับพยุงอยู่ตลอดจนมั่นใจว่าจะไม่ตกลงมา โจไซอาไว้ใจแซ็กคารี และหันไปจ้องซาตานที่ถูกสาปให้แข็งนิ่งเป็หินตรงหน้า
“ถ้าเธอยังมีชีวิตอยู่…” มือสองข้างััข้างแก้มของรูปสลัก “ฉันขอให้เธอเป็อิสระ”
นิ้วโป้งสองข้างเกลี่ยผิวข้างแก้มแ่เบาเชื่องช้า และััได้เพียงความเย็นเฉียบของหินแข็ง แตกต่างจากผิวกายแซ็กคารีในร่างซาตานที่อุ่นร้อนและนิ่ม เพียงแค่การััจากเทพโจไซอาไม่เพียงพอต่อการเยียวยาให้พ้นคำสาปได้
เทพเลื่อนสายตามองริมฝีปากของรูปสลัก ใช้ปลายนิ้วโป้งลูบริมฝีปากแข็งเย็นเฉียบและหยุดนิ่งใช้ความคิด ก่อนจะเหลือบมองแซ็กคารีที่นั่งชันขาให้เขาเหยียบอยู่ ดวงตาของอีกฝ่ายแสดงความคาดหวังราวโจไซอาเป็ความหวังเดียวที่จะช่วยซาตานถูกสาปตนนี้ได้
โจไซอาจึงตัดสินใจลองมอบจุมพิตที่ริมฝีปากของรูปสลัก โดยไม่รู้ว่ามันเพียงพอให้พ้นคำสาปหรือไม่ ริมฝีปากซีดจุมพิตแนบค้างอยู่นานเกือบนาที แต่รอเท่าไรรูปสลักก็ยังคงเป็รูปสลักเช่นเดิม เย็นเฉียบ และแข็งทื่อไม่ขยับ โจไซอาจึงผละจูบ จ้องมองซาตานถูกสาปตรงหน้าด้วยความเสียใจที่ตนช่วยอะไรไม่ได้
ทันใดนั้นผิวข้างแก้มที่มือผอมแนบค้างอยู่ก็อบอุ่นขึ้น โจไซอาขมวดคิ้วสงสัย ลองชักมือออก และวางแนบใหม่อีกครั้งแต่รูปสลักก็เย็นเฉียบเช่นเดิม ด้วยสายตาของความหวังที่แซ็กคารีจ้องมองโจไซอา เขาจึงไม่อยากยอมแพ้หลังจากลองเพียงแค่หนึ่งครั้ง
โจไซอาจุมพิตที่ริมฝีปากรูปสลักเป็ครั้งที่สอง แนบค้างอยู่นาน พยายามใจเย็นรอคอยให้รูปสลักขยับหรือแสดงถึงชีวิตที่ยังคงอยู่ ผ่านไปนานหลายนาทีจนโจไซอาเกือบถอดใจ เขาจำยอมผละถอยและพรูลมหายใจอีกครั้ง เมื่อแซ็กคารีไม่เห็นความเปลี่ยนแปลงใด ๆ จากรูปสลัก และเห็นใบหน้าเศร้าของเทพ ซาตานหนุ่มจึงหดหู่สิ้นหวัง
และในที่สุด ดวงตาสีเทาอ่อนแสดงความเศร้าโศกของรูปสลักก็ขยับเคลื่อนไหว โจไซอาใเล็กน้อยพร้อมกับตอนที่แซ็กคารีไม่ทันระวัง เทพร่างผอมจึงเสียหลักหงายหลัง ท่อนแขนแข็งแรงของซาตานหนุ่มคว้าเทพโจไซอาไว้ได้ทันก่อนจะเป็อันตราย ค่อย ๆ ปล่อยร่างผอมจนเท้าเหยียบพื้นอย่างนุ่มนวล โจไซอากำมือกับท่อนแขนไว้แน่นไม่ยอมปล่อย แซ็กคารีจึงไม่ปล่อยมือจากข้างเอวและต้นแขนของเทพเช่นกัน เขาจึงซ้อนหลังต้านทิศทางลมเป็กำแพงกำบังให้โจไซอา
ทั้งสองจ้องมองรูปสลักซาตานที่กำลังแสดงถึงชีวิตทีละน้อย เปลือกตาขยับกะพริบเชื่องช้าทีละนิด นิ้วแต่ละนิ้วที่กำนิ่งอยู่หลายร้อยปีกำลังขยับ กระทั่งมือใหญ่สีเทาซีดกางออกได้สำเร็จ ร่างกายทุก ๆ ส่วนของซาตานถูกสาปสลัดไล่ความแข็งทื่อราวก้อนหิน ไล่จากจุดกึ่งกลางร่างกายจนถึงปลายมือปลายเท้า
ปีกสองข้างที่เก็บอยู่ด้านหลังขยับตามร่างกาย มันค่อย ๆ กระพืออย่างอ่อนแรง และสยายใหญ่แสดงความงดงาม ซาตานถูกสาปยืนขึ้นเต็มความสูงบนแท่นหิน กระพือปีกแรงขึ้น แรงขึ้น จนเกิดลมพัดเข้าหาโจไซอา แซ็กคารีรีบกางปีกบังลมให้ในทันที ทั้งคู่เงยหน้ามองซาตานถูกสาปที่บินขึ้นฟ้าฉลองอิสรภาพ พละกำลังกลับมาแข็งแรงอีกครั้งและขยับทุกส่วนของร่างกายได้ดังเดิม
“ท่านทำสำเร็จ” เสียงทุ้มเอ่ยพร้อมรอยยิ้มด้วยความดีใจ โจไซอาเงยหน้ามองซาตานหนุ่มตัวสูงใหญ่ เมื่อเห็นรอยยิ้มของแซ็กคารีจึงยิ้มตาม
ซาตานถูกสาปบินร่อนลงต่ำ สองเท้าเหยียบพื้นกระเบื้องหิน เดินมาหาโจไซอาเชื่องช้าด้วยท่าทางสง่างามแข็งแรง และหยุดยืนเพื่อทำความเคารพโจไซอาในท่าคุกเข่าชันขาข้างหนึ่ง โค้งศีรษะนอบน้อมเช่นเดียวกับท่าทางตอนถูกสาปให้เป็หิน
“ขอบคุณ ท่านองค์เทพ”
ซาตานผู้ถูกสาปสาบานตนว่าจะตอบแทนเทพโจไซอาด้วยการรับใช้ตลอดชีวิต แต่โจไซอาไม่้าเช่นนั้น เขาปฏิเสธและขอให้อีกฝ่ายใช้ชีวิตเป็อิสระตามที่้า ซาตานขอบคุณแซ็กคารีเช่นกัน เพราะหากไม่มีแซ็กคารีจะไม่มีใครรู้ว่าเขาโดดเดี่ยวอยู่ที่เกาะร้างแห่งนี้มานานแสนนาน
แซ็กคารีขอเวลาเพียงไม่นานในการพาซาตานผู้ถูกสาปข้ามประตูเชื่อมโลกไปส่งที่เผ่า ก่อนไปแซ็กคารีมาส่งโจไซอาที่บ้านพัก มองให้แน่ใจว่าเทพสบายดี และอาการยังไม่กำเริบขึ้นมาถึงได้เดินทางไปกับซาตานตนนั้น แซ็กคารีพาเขาไปที่วังป้อมปราการของาาเผ่า ฝากฝังให้อยู่กับพ่อและแม่เพราะคิดว่าปลอดภัยที่สุด แล้วจึงรีบข้ามประตูเชื่อมกลับโลกมนุษย์
แซ็กคารีบินอยู่กลางอากาศในยามค่ำคืน ร่อนต่ำลงจนเท้าเหยียบพื้นพร้อมกับเปลี่ยนร่างกายของตนเองให้อยู่ร่างของมนุษย์ เขาใเมื่อมองไม่เห็นโจไซอาที่โซฟาห้องนั่งเล่นดังเช่นตอนก่อนออกไป เขาเดินวนมองหาโจไซอาทั่วบ้านหลังเล็ก กระทั่งเห็นอีกฝ่ายนอนเอนหลังเหยียดขาอยู่ที่เก้าอี้ริมระเบียง
เขาชงชาร้อน ๆ คว้าผ้าห่มที่ตกอยู่ข้างโซฟาในห้องนั่งเล่น และเดินไปหาโจไซอาที่ระเบียงบ้านหันหน้าไปทางชายหาด เสียงฝีเท้าทำให้โจไซอารู้ตัวและหันมาหาอย่างเคย เทพยกยิ้มให้แซ็กคารี มือผอมเอื้อมรับถ้วยชามาถือเอาไว้
“เรียบร้อยดีหรือเปล่า”
“ครับ ผมพาเขาไปฝากไว้กับท่านพ่อ” โจไซอาพยักหน้า และยกชาขึ้นจิบ ขณะที่แซ็กคารีห่มผ้าคลุมขาให้เทพร่างผอม แล้วเดินไปนั่งเก้าอี้ตัวข้างกัน
“รู้หรือยังว่าเทพองค์ไหนสาปเขา”
“เขาไม่ยอมพูดอะไรเลยครับ”
“ไม่เป็ไร พรุ่งนี้เธอเขียนจดหมายอักขระเทพถึงท่านพ่อของฉันให้ช่วยตามหา— แค่ก ๆ” โจไซอาพูดได้ไม่จบประโยค เพราะเ็ปลำคอจนไอหลายครั้ง เรี่ยวแรงที่จะเปล่งเสียงเริ่มลดลง
“ท่านโจไซอา ไหวหรือเปล่าครับ”
“ไหว ฉันไหว” โจไซอาแย้มยิ้มด้วยริมฝีปากสีซีด ยกถ้วยชาร้อน ๆ ขึ้นจิบจนชุ่มคอและรู้สึกอุ่น กระชับผ้าห่มให้ปิดถึงตัก แซ็กคารีที่นั่งมองอยู่จึงคิดว่าเทพกำลังหนาว
“เข้าข้างในกันนะครับท่าน”
ไม่ใช่การถามไถ่ด้วยความเป็ห่วงเพียงอย่างเดียวแต่ยังแฝงการบังคับด้วย เพราะแซ็กคารีลุกขึ้นจากเก้าอี้ ยืนจ้องโจไซอากดดันให้เทพยอมเข้าไปด้านในบ้านหลบลมหนาว ท่อนแขนของเขายังคงเป็ที่ให้โจไซอาจับพยุงระหว่างเดินเหมือนเดิม
โจไซอานั่งดื่มชาที่โซฟาในห้องนั่งเล่นอีกหลายถ้วยจนรู้สึกอุ่น แซ็กคารีส่ายหน้าปฏิเสธว่าจะไม่ยอมรินไวน์ให้อย่างที่โจไซอาขอ เขาจึงต้องนั่งดื่มชาร้อนอย่างเดียวเท่านั้น
ภายในบ้านเงียบสงบมีเสียงคลื่นดังแทรกแ่เบา ่เวลายามค่ำคืนเช่นนี้ทำให้โจไซอานึกถึงเสียงเพลง เขามองหากล่องไม้สีน้ำตาลที่ควรตั้งอยู่บนชั้นวางในห้องนั่งเล่นแต่ไม่พบ ร่างผ่ายผอมจึงลุกขึ้นยืนเดินตรงไปที่ห้องเก็บของ เริ่มรื้อค้นตามหาเครื่องเล่นแผ่นเสียงของตนเองท่ามกลางฝุ่นหนาทำให้ทั้งไอทั้งจามจนแซ็กคารีเดินตามมา
“ท่านหาอะไรอยู่ครับ”
“เครื่องเล่นแผ่นเสียง เป็กล่องไม้สีน้ำตาล”
“ออกไปนั่งรอนะครับ ผมหาให้เอง”
“ขอบใจ”
โจไซอาคิดเข้าข้างตัวเองสุดหัวใจว่าแซ็กคารีทำทุกอย่างด้วยความเป็ห่วง ไม่ใช่เพราะหน้าที่ที่ทั้งคู่อยู่ในฐานะเทพกับซาตานผู้รับใช้ ดวงตาสีน้ำตาลจ้องมองแซ็กคารีรื้อค้นของในห้องเก็บของอย่างคล่องแคล่ว เพียงไม่นานก็พบกล่องไม้สีน้ำตาล เมื่อเปิดออกจะเป็เครื่องเล่นแผ่นเสียงที่โจไซอาตามหา
แซ็กคารีเช็ดฝุ่นออกจนสะอาด วางมันลงบนชั้นวางในห้องนั่งเล่นตามที่โจไซอาชี้บอก และเทพร่างผอมก็ยิ้มร่าเริง เปิดตู้ไล่หาแผ่นเสียงเพลงโปรด แล้วเลือกหยิบมาเปิดด้วยความคุ้นเคยแม้ผ่านมานานหลายสิบปีที่ห่างหายมันไป
เสียงทรัมเป็ตดังเป็อย่างแรก และเสียงเพลงแจ๊สก็เริ่มบรรเลงดังไปทั่วบ้านหลังเล็กอบอุ่น โจไซอายิ้มกว้างขึ้นเรื่อย ๆ ร่างกายขยับโยกตามจังหวะเพลงอย่างเช่นเมื่อก่อน แต่ร่างกายตอนนี้ช่างแตกต่าง จึงเสียหลักแทบล้มลงให้แซ็กคารีรีบเข้ามาช่วยพยุง ถึงอย่างนั้นโจไซอายังยิ้มร่า แต่เรียวคิ้วขมวดเข้าหากันเพราะเริ่มเ็ปทุกครั้งที่ก้าวขา อ่อนแรงจนแทบยืนไม่ไหว
“สงสัยคงเต้นแบบเมื่อก่อนไม่ได้แล้ว” โจไซอาเอ่ยอย่างขำขัน แต่แซ็กคารีกลับขมวดคิ้วทำหน้าจริงจังจนเทพแปลกใจ
แซ็กคารีวางมือบนเอวผอมบาง โจไซอาเข้าใจว่าซาตานกำลังพาเขาไปนั่งที่โซฟา แต่มือใหญ่อีกข้างกลับวางที่เอวเช่นกัน และอุ้มเพียงเล็กน้อยจนเทพตัวลอย ค่อย ๆ วางลงให้เท้าผ่ายผอมทั้งสองข้างของเทพเหยียบเท้าของแซ็กคารีแทนพื้น
โจไซอาเกาะแขนอีกฝ่าย เงยหน้ามองด้วยความไม่เข้าใจ ทั้งคู่สบตากันอยู่หลายวินาทีโดยที่คาดเดาความหมายของมันไม่ได้ จากนั้นแซ็กคารีก็เริ่มก้าวเท้าตามเสียงเพลงโปรดของโจไซอา ก้าวอย่างผิด ๆ ถูก ๆ ไม่ใช่ตามหลักการเต้นรำใด ๆ แต่ตามสัญชาตญาณและจังหวะเพลงเพียงเท่านั้น
ร่างกายของเทพขยับตาม เพราะแซ็กคารีให้โจไซอาเหยียบเท้าตนเองอยู่ เทพยิ้มกว้างเมื่อเข้าใจการกระทำของซาตาน มือผ่ายผอมวางบนลาดไหล่กว้างสองข้าง เงยหน้าสบตาอีกฝ่ายที่ช่วยเป็คู่เต้นรำให้เขาอีกครั้ง เหมือนกับเมื่อ 99 ปีก่อน
เธอเหมือนเดิมเลยนะ
โจไซอาอยากพูดออกไป แต่ทำได้เพียงปิดปากเงียบ เพราะเขาอยากอยู่เช่นนี้นาน ๆ ไม่อยากเอ่ยอะไรที่จะขัดบรรยากาศและอาจทำให้แซ็กคารีหยุดทำเื่น่ารักแบบนี้เสียดื้อ ๆ เพราะแซ็กคารียังไม่เชื่อว่าโจไซอาเกี่ยวข้องกับเอเดนเมื่อชาติก่อน
กลิ่นหอมราวดอกไม้สีขาวหอมจรุงใจจนยากจะหักห้ามใจไม่ให้โน้มใบหน้าเข้าหาใกล้ขึ้นอีก เพื่อให้สูดดมชื่นชมกลิ่นหอมชัดเจนขึ้น แซ็กคารีกระชับเอวผอมบางแนบกาย จ้องดวงตาสีน้ำตาลอ่อนกลับไปโดยไม่หลบหนี ปล่อยร่างกายให้ก้าวเท้าผิด ๆ ถูก ๆ ตามจังหวะเพลง
แรงดึงดูดมากมายมหาศาลกำลังทำลายระยะห่างระหว่างโจไซอาและแซ็กคารี ซาตานหนุ่มในร่างมนุษย์โน้มใบหน้าเข้าหาเทพเชื่องช้า และเทพก็พยายามเชิดหน้าขึ้นหาอีกฝ่าย สองเท้าที่ขยับก้าวไปมาหยุดนิ่ง มือที่โอบเอวกระชับแน่น เลื่อนััขึ้นมาถึงสะบักแ่เบา
ระยะห่างลดน้อยลงทีละนิด ดวงตาทั้งคู่ยังคงเชื่อมต่อกันและกันไม่ถูกตัดขาด อีกเพียงแค่ไม่ถึงคืบมือที่ริมฝีปากทั้งคู่จะแตะัักัน กำแพงสูงของแซ็กคารีก็ตัดขาดการเชื่อมดวงตาทั้งคู่ และสร้างระยะห่างดังเดิม
ซาตานค่อย ๆ พยุงให้เทพยืนบนพื้น เปลี่ยนมาโอบเอวเพียงหลวม ๆ ให้เดินได้สะดวกและไม่ล้มลง โจไซอาทิ้งน้ำหนักเข้าหาแซ็กคารีเกือบทั้งตัวเพราะแทบยืนด้วยขาของตัวเองไม่ได้ เขาจึงรู้ว่าอีกฝ่ายทนยืนต่อไม่ไหวอีกแล้ว
“พาฉันเข้านอนเลยก็ได้”
“ครับท่านโจไซอา”
แซ็กคารีอุ้มเทพร่างผอมแนบอก พาไปส่งที่ห้องนอนชั้นหนึ่งเพราะอีกฝ่ายขึ้นบันไดไม่ไหว ห้องนอนนี้มีขนาดเล็กกว่าชั้นสอง แต่ตกแต่งอย่างอบอุ่นเหมือนกับทุก ๆ ห้องในบ้าน แซ็กคารีค่อย ๆ วางโจไซอาบนเตียงอย่างนุ่มนวล ห่มผ้าผืนหนาให้ตรวจดูให้แน่ใจว่าไม่มีความหนาวเย็นเล็ดลอดผ้าห่มเข้าไปกวนใจโจไซอา
“ท่านเรียกผมได้ตลอดนะครับ”
“อืม” โจไซอาหลับตาอย่างเหนื่อยอ่อน เมื่อหัวถึงหมอนพร้อมด้วยที่นอนอุ่นนุ่มสบายรองรับทำให้เขาแทบหลับในทันที
“แซ็ก” เสียงหวานเอ่ยเรียกชื่อซาตานหนุ่มแ่เบาราวกระซิบ แซ็กคารีจึงหยุดยืนนิ่ง
“ครับ”
“ฝันดี”
“ครับท่านโจไซอา”
แซ็กคารีปิดไฟในห้องนอนจนมืดสนิท เปิดเพียงผ้าม่านให้แสงจันทร์สาดส่องเข้ามา และเดินออกจากห้อง ปิดประตูด้วยเสียงที่เบาที่สุดไม่ให้รบกวนเทพที่หลับไปอย่างง่ายดาย
ซาตานรื้อของในกระเป๋าเป้ที่ตนเองเอามาด้วย หยิบหนังสือที่ยืมมาจากห้องสมุดในเผ่าซาตานออกมา หนังสือปกแข็งสีครีมเล่มบางที่เขียนไว้ด้วยอักขระเทพว่า โรครักระทม แซ็กคารีอ่านข้อความในหนังสือวนซ้ำอีกครั้งและอีกครั้ง แล้วหยิบแผ่นกระดาษเขียนชื่อเทพโจไซอา และพลังอำนาจที่เหน็บอยู่ในหนังสือออกมา
โจไซอา เทพแห่งการร่วมประเวณี
มีอำนาจเยียวยารักษาผ่านการัั จุมพิต หรือการร่วมหลับนอน
เทพองค์เดียวที่สามารถรักษาโรครักระทมของเทพให้หายขาดผ่านการร่วมหลับนอน
แซ็กคารีอ่านข้อความนั้นวนซ้ำแม้จะจำขึ้นใจั้แ่ครั้งแรกที่เห็น ดวงตาสีเฮเซลละสายตาจากอักขระเทพ หันมองประตูห้องสีน้ำตาลที่ปิดสนิท ด้านในห้องมีเทพองค์หนึ่งผู้เป็โรครักระทมกำลังนอนพักผ่อนอยู่
“ท่านรักษาผู้อื่นได้ แต่ท่านรักษาตัวเองไม่ได้…”
tbc.
#เฮเซลอาย
