เมื่อพวกเย่เทียนหลงทั้งสามมองเห็นกระแสพลังปราณรบสีขาวที่พวยพุ่งออกมาจากใจกลางฝ่ามือของเย่ชิงอวี่ สีหน้าของพวกเขาพลันเจิดจรัสขึ้นมาทันใด
เวลาเพียงแค่สองเดือนเย่ชิงอวี่สามารถฝึกฝนจนบรรลุขึ้นมาได้ถึงสามระดับขั้นขอบเขตใหญ่สิบสองระดับขั้นขอบเขตเล็ก ระดับขอบเขตเยี่ยมยุทธ์ พร์สูงส่งกว่าผู้ที่มีพร์เป็อันดับหนึ่งที่เคยถูกบันทึกไว้ในประวัติศาสตร์ของเขตปกครองเทพาว่าเสียอีก ใช้เวลาในการฝึกฝนน้อยกว่านายน้อยผู้นั้นถึงหนึ่งเดือนเต็มๆ นี่ถือเป็เื่น่าตื่นตระหนกเป็อย่างมาก ตอนนี้ทั้งสามคนเริ่มรู้สึกว่าคำพยากรณ์ของท่านปรมาจารย์เย่รั่วสุ่ยเริ่มจะมีเค้าลางขึ้นมาให้เห็นแล้ว ไม่แน่ว่าสิ่งมหัศจรรย์เช่นนั้นอาจจะเกิดขึ้นจริงๆ ก็เป็ได้ เพราะเื่ทุกอย่างที่เกิดขึ้นบนตัวของเย่ชิงอวี่ในตอนนี้ล้วนเป็เื่น่าเหลือเชื่อทั้งนั้น...
“น...นาง...หนู เ้าฝึกฝนอย่างไร?” ผ่านไปสักพักเย่เทียนหลงกระตุกสั่นริมฝีปากขึ้นพยายามทำให้ตนเองพูดออกมาอย่างราบเรียบที่สุด แต่เมื่อเอ่ยปากพูดขึ้นก็ยังไม่วายที่จะพูดออกมาอย่างติดๆ ขัดๆ อยู่ดี
เย่ชิงหนิวเองก็กลืนน้ำลายลงคอไปเหมือนกันพร้อมกับพูดขึ้น “ใช่ๆ เ้าทำการฝึกฝนอย่างไร พูดให้พวกข้าฟังอย่างละเอียดหน่อย!”
“ฝึกฝนอย่างไร?” เย่ชิงอวี่กะพริบตาปริบๆ พูดออกมาอย่างเกรงๆ สายตาของตาแก่ทั้งสามคนมองมาที่นางราวกับมองสัตว์ที่แปลกประหลาดหาได้ยากยิ่งอย่างไรอย่างนั้น ทำให้นางรู้สึกขวยเขินไม่เป็ตัวของตัวเองมือจับไปที่ชายเสื้อหมุนไปมาแล้วพูดขึ้น “ก็ฝึกไปตามข้อมูลความทรงจำที่บอกไว้ในหัวเรื่อยๆ เพียงเท่านั้นเอง...ทำไมรึ? ข้าฝึกได้ไม่ดี? ฝึกได้ไม่ถูกต้องหรืออย่างไร?”
เย่เทียนหลงรีบโบกมือขึ้นปฏิเสธจากนั้นชูนิ้วโป้งขึ้นพร้อมกับกล่าวชมเชยออกมา “ไม่ๆ ความหมายของข้าคือเ้าฝึกฝนได้อย่างยอดเยี่ยมมาก! ที่ข้าถามคือเ้าเริ่มฝึกฝนดูดซับพลังปราณรบตอนไหน? เริ่มทะลวงจุดชีพจรทั่วร่างตอนไหน? และเริ่มสร้างตันเถียนตอนไหนอะไรประมาณนี้!”
“อ้อ ถามสิ่งนี้หรอกรึ? ก็ง่ายๆ ไม่มีอะไรยุ่งยาก ข้าใช้เวลาหนึ่งเดือนทำการศึกษาเรียนรู้ข้อมูลเคล็ดวิชาต่างๆ ที่อยู่ภายในหัว ถ้าจำไม่ผิดฝึกฝนดูดซับพลังปราณรบใช้เวลาหนึ่งวันก็เป็แล้ว ส่วนต่อมาการทะลวงจุดชีพจรทั่วร่างใช้เวลาไปครึ่งเดือน สุดท้ายการสร้างตันเถียนและฝึกฝนปลดปล่อยพลังปราณรบออกมาที่มือแบบนี้ใช้เวลาอยู่ไม่กี่วันก็ทำได้แล้ว”
เย่ชิงอวี่ยื่นมือหยกเรียวงามออกมาพร้อมกับพูดอธิบายทำท่าทางประกอบให้ทั้งสามฟัง เพียงแต่คำที่นางพูดออกมากลับทำให้ทั้งสามเหงื่อเย็นผุดทะลักออกมาราวกับท่อน้ำแตก นางหนูคนนี้ใช้เวลาเพียงแค่เดือนเดียวกลับสามารถทำการซึมซับข้อมูลต่างๆ มากมายที่อยู่ภายในหัวได้ทั้งหมด
ถ้าอย่างนั้นก็หมายความว่าเวลาที่นางใช้ฝึกฝนจริงๆ ก็เพียงแค่เดือนเดียวเท่านั้นเอง
โอ้์!
เย่เทียนหลงกับเย่ชิงหนิวรู้สึกคล้ายกับว่าตนเองเป็เหมือนดั่งขอทานที่อยู่มาวันหนึ่งมีแท่งทองหล่นลงมาจากท้องฟ้าเบื้องบนตกมาอยู่เบื้องหน้าของพวกเขาฉันนั้น
.................................
ในขณะที่พวกเย่เทียนหลงทั้งสี่กำลังยืนครุ่นคิดอย่างเหม่อลอยอยู่นั้น ภายในหอพลันบังเกิดสายลมหนาวพัดขึ้นระลอกหนึ่ง ทั้งสี่จึงได้สติกลับมาพร้อมกับมีเงาร่างสีดำสายหนึ่งปรากฏขึ้นอย่างแปลกประหลาด ทำเอาทั้งสี่สะดุ้งใขึ้นในทันที
“คำนับท่านปรมาจารย์บรรพบุรุษ!”
เย่เทียนหลง เย่ชิงหนิว และเย่ไป๋หู่เมื่อมองเห็นพลันตื่นเต้นดีใจขึ้นในทันทีรีบทำการไหว้คำนับลงไป ส่วนเย่ชิงอู่และเย่ชิงอวี่กลับยืนมองอยู่ข้างๆ ด้วยสายตาที่งุนงงพร้อมกับคิ้วที่ขมวดขึ้น
“รีบๆ คุกเข่าไหว้คำนับลง ท่านผู้นี้คือท่านปรมาจารย์บรรพบุรุษของตระกูลเย่เรา!” เย่เทียนหลงเห็นทั้งสองยังคงยืนโง่ๆ เซ่อๆ อยู่เช่นเดิมจึงรีบร้องตะคอกเสียงต่ำบอกออกไป
“ไม่จำเป็แล้วละ พวกเ้าก็ลุกขึ้นเถอะ ต่อไปเห็นข้าไม่ต้องคุกเข่าลงเช่นนี้อีกข้าไม่ค่อยชอบธรรมเนียมพิธีรีตองของปุถุชนอะไรพวกนี้สักเท่าไร!” ผู้ที่มาก็คือเย่รั่วสุ่ยที่หายไปแปดเดือน เขาโบกมือขึ้นอย่างราบเรียบสายตาจ้องมองไปที่เย่ชิงอวี่อยู่ตลอด จากนั้นไม่นานจึงยิ้มออกมาพร้อมกับเอ่ยถามขึ้น “เ้ามีชื่อว่าอะไร?”
เย่ชิงอวี่มองเห็นภายในหอปรากฏคนแปลกหน้าขึ้นมาคนหนึ่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเขายังจ้องมองมาที่นางอยู่ตลอดไม่ขาด นางอดหวาดหวั่นไม่ได้จึงถอยหลังกลับไปหลายก้าว ยิ่งตอนนี้เขาเอ่ยปากถามขึ้นต่อตนเองเช่นนี้ยิ่งรู้สึกกลัวขึ้นไปอีก เพียงแต่มองเห็นพวกเย่เทียนหลงแสดงความเคารพนอบน้อมต่อเขาเช่นนี้และยังเรียกเขาว่าเป็ปรมาจารย์บรรพบุรุษอะไรนั่นอีก ภายในใจคิดว่าจะต้องเป็ผู้ยิ่งใหญ่คนหนึ่งอย่างแน่นอน นิ่งครุ่นคิดชั่วครู่ก่อนจะตอบออกไป “ข้า...ข้าชื่อเย่ชิงอวี่!”
“เย่ชิงอวี่! เป็ชื่อที่ดี!” เย่รั่วสุ่ยพยักหน้าแล้วยิ้มราบเรียบออกมา จากนั้นเริ่มเดินออกไปภายนอกหอที่พักพร้อมกับพูดขึ้น “พวกเ้าทั้งสามคนตามข้ามา!”
พวกเย่เทียนหลงทั้งสามพูดสั่งกำชับต่อเย่ชิงอวี่และเย่ชิงอู่ทั้งสองอยู่อีกไม่กี่ประโยคก็เดินส่ายก้นตามเย่รั่วสั่ยไปมา
เย่รั่วสุ่ยเดินอย่างช้าๆ เนิบๆ ไปเรื่อยๆ ส่วนทั้งสามที่อยู่ด้านหลังไม่กล้าเอ่ยปากพูดอะไรออกมาทำเพียงเดินตามหลังไปเรื่อยๆ อย่างระมัดระวัง ทั้งสี่เดินมาจนถึงทะเลสาบเล็กๆ กลางหุบเขาถึงได้หยุดฝีเท้าลง
เย่รั่วสุ่ยยังไม่ได้พูดอะไรออกมาทำเพียงเหม่อมองไปที่ทะเลสาบโดยไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่ ส่วนพวกเย่เทียนหลงแน่นอนว่าไม่มีใครที่จะกล้าเอ่ยปากพูดขึ้นก่อนจึงทำเพียงพากันยืนอยู่ข้างๆ อย่างสงบ
“นางหนูคนนี้ไม่ใช่คนของตระกูลเย่ใช่ไหม?”
ผ่านไปสักพักเย่รั่วสุ่ยเปิดปากพูดขึ้นถามคำถามแรกออกมา
เย่เทียนหลงรีบพูดตอบออกไป “เรียนท่านปรมาจารย์บรรพบุรุษ เย่ชิงอวี่เด็กคนนี้เป็ลูกชายของข้าคนหนึ่งเก็บเอามาเลี้ยง ส่วนรายละเอียดข้อมูลเกี่ยวกับนางว่าเป็คนที่ไหนบิดามารดาเป็ใครล้วนไม่แน่ชัด”
“อืม...อย่างนั้นก็น่าเสียดาย จำเอาไว้ให้ดีไม่ว่าต้องแลกด้วยอะไรหรือจ่ายค่าตอบแทนเท่าไรก็ต้องดึงใจนางให้อยู่กับตระกูลให้ได้!” เย่รั่วสุ่ยถอนหายใจออกมาครั้งหนึ่งแล้วจึงพูดขึ้น
“เื่นี้เทียนหลงรู้ดี เพียงแต่นางหนูคนนี้มีชีวิตร่วมสุขร่วมทุกข์พึ่งพาอาศัยด้วยกันมากับเย่ชิงหานั้แ่ยังเด็ก โดยเฉพาะอย่างยิ่งยังได้สาบานว่าจะแต่งงานกับเย่ชิงหาน ส่วนเื่อื่นๆ นางไม่ได้เรียกร้องอันใดอีก ขอเพียงเย่ชิงหานกลับออกมาได้อย่างปลอดภัยรับรองได้ว่านางจะไม่ทรยศต่อตระกูลเย่อย่างแน่นอน!” เย่เทียนหลงพูดขึ้นต่อและเปลี่ยนหัวข้อการพูดคุยไปยังเย่ชิงหานเพื่อหวังว่าจะได้ยินข่าวคราวของเย่ชิงหานจากเย่รั่วสุ่ยบ้าง
“เย่ชิงหานใช่ไหม...” เมื่อเย่รั่วสุ่ยพูดถึงเย่ชิงหานรอยยิ้มบนใบหน้าของเขาเด่นชัดขึ้นมาอีก คิ้วเลิกขึ้นพร้อมกับพูดต่อ “เดิมทีข้าคาดคะเนว่าเขามีโอกาสสี่ถึงห้าส่วนที่จะสามารถกลับออกมาได้ แต่ตอนนี้ดูแล้วอย่างน้อยก็เจ็ดถึงแปดส่วน พวกเ้าไม่ต้องเป็กังวล เ้าเด็กคนนี้มีโชคชะตาวาสนาที่เหนือกว่าคนธรรมดาทั่วไปหลายเท่าตัวนัก...”
“อืม...เป็เช่นนั้นก็ดี ดีมากๆ!” พวกเย่เทียนหลงทั้งสามเมื่อได้ฟังสีหน้าพลันยิ้มแย้มเบิกบานใจออกมาราวกับดอกไม้ที่แย้มบาน ในเมื่อท่านปรมาจารย์บรรพบุรุษยืนยันถึงเพียงนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งอัตราการรอดกลับออกมาของเย่ชิงหานเพิ่มขึ้นมาอีกสามถึงสี่ส่วน คิดว่าเย่ชิงหานคงไม่มีอะไรน่าเป็ห่วงแล้ว
ผ่านไปชั่วครู่เย่เทียนหลงที่นิ่งเงียบใช้ความคิดอยู่จึงเอ่ยถามขึ้นถึงความสงสัยที่อยู่ภายในใจของพวกเขาทั้งสามคนออกมา “ท่านปรมาจารย์บรรพบุรุษ ที่ท่านหายไปอย่างเนิ่นนานถึงเพียงนั้นได้รับคำตอบที่แน่ชัดหรือยัง? ยังมีอีก ผลึกเทวะคืออะไรทำไมถึงได้ทำให้คนธรรมดากลายเป็เทพได้?”
เย่รั่วสุ่ยเป็ผู้ฝึกยุทธ์ระดับเทพที่สามารถเคลื่อนย้ายในพริบตาได้ หากพูดกันตามหลักเหตุผลเกาะเร้นลับแม้จะห่างไกลจากเมืองชางอยู่มาก แต่เย่เทียนหลงที่มีพลังฝีมืออยู่ในระดับขอบเขตปราชญ์ศักดิ์สิทธิ์ไปกลับก็ยังใช้เวลาเพียงแค่ครึ่งปีเพียงเท่านั้น แต่เย่รั่วสุ่ยผู้ฝึกยุทธ์ระดับเทพกลับทำไมถึงใช้เวลามากมายกว่าอีก?
ยังมีเื่ “ผลึกเทวะ” ที่พวกเขาอยากรู้เป็อย่างมากนั้นว่าแท้จริงแล้วมันคืออะไรกันแน่? ทำไมสามารถทำให้คนธรรมดาที่ไม่เคยฝึกฝนพลังยุทธ์เลยกลับสามารถฝึกฝนเพียงแค่เดือนเดียวก็บรรลุถึงระดับขอบเขตเยี่ยมยุทธ์ได้? และจะกลายเป็เทพในอีกสิบปีหลังจากนี้? หากวิถีแห่ง์ยังเลือนรางไม่เด่นชัดระดับเทพก็เข้าสู่ยาก พวกเขาทั้งสามคนก็อยากจะกลายเป็เทพเช่นเดียวกัน อยากจะมีชีวิตยืนยาวราวกับะ
ดังนั้นจึงอยากจะถามเย่รั่วสุ่ยดูว่าผลึกเทวะมีประโยชน์ใช้สอยด้านใด? แล้วบนตัวของเขายังพอมีอยู่ไหม...?
ถ้าหากยังมีอยู่อีกละก็ให้พวกเขาทั้งสามคนละเม็ด จากนั้นอีกสิบปีข้างหน้าตระกูลเย่ปรากฏผู้ฝึกยุทธ์ระดับเทพขึ้นมาถึงสี่คน? หรือเย่รั่วสุ่ยเอาผลึกเทวะออกมากองหนึ่งจากนั้นแจกจ่ายให้ผู้ที่มีพร์โดดเด่นในตระกูล ต่อจากนั้นไม่นานตระกูลเย่ปรากฏผู้ฝึกยุทธ์ระดับเทพนับไม่ถ้วน เท่านี้ตระกูลเย่เพียงแค่โบกสะบัดมือออกไปก็สามารถรวมทั้งทวีปให้มาอยู่ภายใต้การปกครองได้สบายๆ
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้