วันต่อมา ถังเหล่ยอยู่หน้าสุดของขบวนลำเลียงสินค้า แม้แต่ผู้นำซางก็ยังอยู่หลังถังเหล่ย
เหตุการณ์ก่อนหน้านี้ทำให้ผู้คนภายในขบวนลำเลียงสินค้าหวาดกลัว ถังเหล่ยอายุเพียงสิบกว่าปีสามารถสังหารกลุ่มชายฉกรรจ์กับผู้ฝึกตนได้อย่างง่ายดาย
กลุ่มผู้ฝึกตนหลายสิบคนที่ถูกถังเหล่ยสังหารไปนั้นเคยทำงานร่วมกันกับผู้นำซางมานานกว่าสิบปี แต่สุดท้ายพวกเขาก็ต้องจบชีวิตลงเพราะความโลภของตนเอง
“ผู้นำซางพรุ่งนี้เราก็จะถึงที่หมายแล้วใช่หรือไม่?” ถังเหล่ยเดินช้าลงและกล่าวกับผู้นำซางที่เดินอยู่ด้านข้าง
“ชะ…ใช่แล้ว ใต้เท้า!” ผู้นำซางที่ยังหวาดกลัว ไม่รู้จะเรียกถังเหล่ยอย่างไร ตอนนี้เขามั่นใจแล้วว่าถังเหล่ยต้องเป็ศิษย์จากตระกูลใหญ่หรือไม่ก็ขุนนางแน่ๆ จึงเรียกถังเหล่ยว่าใต้เท้าออกมาโดยไม่รู้ตัว
การที่ถังเหล่ยถูกเรียกว่าใต้เท้าก็ถือว่าเป็เื่แปลกใหม่สำหรับเขา แต่เมื่อเขา้าที่จะปกปิดตัวตน เขาจึงปล่อยให้ผู้นำซางเรียกว่าใต้เท้าต่อไปโดยไม่ได้กล่าวอะไรออกมา
พวกเขาทั้งสองคนเพิ่งรู้จักกัน ไม่จำเป็ต้องพูดคุยกันไปมากกว่านี้ ถังเหล่ย้าให้ผู้นำซางพาเขาออกจากทะเลทราย และเขาก็ได้ช่วยชีวิตผู้นำซางระหว่างการเดินทาง นับว่าไม่ติดค้างกันแล้ว
“ใต้เท้า ยิ่งพวกเราเข้าใกล้จุดหมายเท่าไร เราก็ต้องระวังตัวให้มากขึ้นมากเท่านั้น” ผู้นำซางกล่าว
“ข้าขอเหตุผลได้หรือไม่?” ถังเหล่ยถาม
ในเมื่อพวกเขากำลังจะออกจากทะเลทราย ถังเหล่ยจึงสงสัยว่านอกจากสัตว์อสูรจะมีอันตรายเกิดขึ้นได้อย่างไร?
“จักรวรรดิซือฉีกับจักรวรรดิเทียนอวี่ไม่เหมือนกัน ภายในจักรวรรดิซือฉีมีการแบ่งพรรคแบ่งพวกกัน เหตุการณ์นี้ทำให้มีทหารหนีทัพออกมามากมาย สถานที่สุดท้ายที่พวกเขาคิดว่าจะรอดจากการไล่ล่าได้ก็คือทะเลทรายแห่งนี้ และสิ่งที่ทำให้พวกเขามีชีวิตต่อไปได้ก็คือเงินจากการปล้นขบวนลำเลียงสินค้าอย่างพวกเรา” ผู้นำซางกล่าวและถอนหายใจ
แม้ว่าผู้นำซางจะค้าขายมานานกว่าสิบปี แต่เขาไม่อยากเอาชีวิตตัวเองมาเสี่ยงอีกแล้ว เขาจึงตัดสินใจว่าการส่งสินค้าในครั้งนี้จะเป็ครั้งสุดท้ายของเขา
ถังเหล่ยขมวดคิ้ว เขาไม่คิดว่าจักรวรรดิซือฉีจะวุ่นวายขนาดนี้ สิ่งที่เขากังวลมากที่สุดก็คือการถูกทหารหนีทัพดักปล้นระหว่างทาง เพราะทหารได้รับการฝึกฝนมาอย่างดีจะต้องมีความแข็งแกร่งมากกว่าหน่วยคุ้มกันขบวนลำเลียงสินค้าอย่างแน่นอน หากถูกทหารหนีทัพดักปล้นจริงๆ ผู้คุ้มกันขบวนลำเลียงสินค้าจะไม่สามารถต้านทานทหารหนีทัพจำนวนมากได้
หลังจากที่พระอาทิตย์ตกดิน ผู้นำซางออกคำสั่งไม่ให้สมาชิกภายในขบวนลำเลียงสินค้าก่อกองไฟเหมือนทุกครั้งที่ผ่านมา เพราะเขาเกรงว่าจะเป็การเผยตำแหน่งให้ทหารหนีทัพรู้ หากถูกปล้นกองกำลังที่ยังเหลืออยู่ภายในขบวนคงจะไม่สามารถต้านทานได้ อาจจะต้องแลกด้วยชีวิตหรือไม่ก็ถูกปล้นสินค้าไปจนหมด
แม้ว่าภายในขบวนยังมีถังเหล่ยอยู่ แต่ค่ำคืนนี้เป็ค่ำคืนสุดท้ายก่อนจะถึงที่หมาย ผู้นำซางจึงระมัดระวังตัวเป็พิเศษ แม้จะต้องแลกมาด้วยความทุกข์ทรมานจากความหนาวเย็น
สำหรับถังเหล่ย ความแข็งแกร่งของร่างกายเขานั้นมีมากกว่าคนปกติหลายเท่า ความหนาวเย็นจึงไม่สามารถทำอะไรเขาได้ ตรงกันข้ามกับสมาชิกภายในขบวนที่ไม่สามารถทนได้ มีเสียงฟันกระทบกันดังออกมาเล็กน้อย
ทิศใต้มีแสงไฟ!
“รวมตัวกันไว้ และห้ามส่งเสียงใดๆ ออกมา!” ผู้นำซางกล่าวกับสมาชิกทุกคน
ภายในขบวนลำเลียงสินค้าหลายคนตัวสั่นเพราะความหนาว หลายคนตัวสั่นเพราะความหวาดกลัว แต่ทุกคนก็ข่มมันเอาไว้ได้
“ขบวนลำเลียงสินค้า!” บนเนินทรายไม่ไกลมากนัก มีร่างหนึ่งถือคบเพลิงชี้มาทางขบวนลำเลียงสินค้าและะโออกมาด้วยความบ้าคลั่ง
หลังจากที่ถังเหล่ยจ้องมองการเคลื่อนไหวเมื่อครู่ก็คาดเดาได้ว่าคนเ่าั้มีจำนวนมากเกินกว่าจะรับมือ ถังเหล่ยจึงเผยสีหน้าสิ้นหวังออกมา หากเกิดการต่อสู้ก็ยากที่จะรับมือกับกองกำลังที่มีจำนวนมากได้ ทันใดนั้นแสงไฟจากคบเพลิงล้อมเข้ามาอย่างรวดเร็ว และมีจำนวนมากกว่าร้อยคน
เมื่อกองทัพเข้ามาใกล้ พวกเขาจึงมองเห็นชุดเกราะที่ผู้คนเ่าั้สวมใส่ แต่สิ่งที่ทำให้ถังเหล่ยตกตะลึงก็คือบางคนในกองทัพไม่มีแม้แต่อาวุธในมือ
ทหารหนีทัพ!
หลังจากที่ขบวนลำเลียงสินค้าถูกล้อมเอาไว้ ทุกคนก็เกาะกันเป็กลุ่มมีเพียงถังเหล่ยกับผู้นำซางที่ยืนอยู่ด้านหน้า หวังจะเจรจากับผู้นำทหารเหล่านี้
“ส่งของมีค่าทั้งหมดมาให้ข้า!”
ชายสวมชุดเกราะสีทองคนหนึ่งเดินมาจากในความมืด ในมือถือหอกเล่มหนึ่ง เขาคือผู้นำของทหารหนีทัพ เพียงแค่เขาโบกสะบัดหอกเล็กน้อยก็ทำให้พื้นทรายใต้เท้าถังเหล่ยเกิดหลุมขนาดใหญ่ได้ทันที
ระดับผู้ทรงยุทธ์!
ถังเหล่ยครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง หากเขาไม่สามารถข่มอารมณ์ได้คนที่มีสิทธิ์รอดไปได้ก็จะมีเพียงตัวเขาเท่านั้น แต่สมาชิกภายในขบวนลำเลียงสินค้าพวกเขาจะต้องกลายเป็ศพอยู่ที่ทะเลทรายแห่งนี้อย่างแน่นอน
“นายท่านพวกเราเป็เพียงกลุ่มการค้าเล็กๆ เท่านั้น พวกเราไม่ได้มีเงินมากมาย นายท่านได้โปรดละเว้นชีวิตของพวกเราด้วย” ผู้นำซางเผยรอยยิ้มที่จริงใจออกมา และยื่นถุงเงินขนาดเท่าฝ่ามือออกไปให้ชายสวมชุดเกราะสีทอง
“มารดามันเถอะ พวกเ้าคิดว่าข้าเป็ขอทานหรืออย่างไร? หากพวกเ้ายืนยันที่จะมอบเพียงเศษเงินให้พวกข้า ก็อย่าหวังว่าจะรอดชีวิตไปได้” ชายสวมชุดเกราะสีทองกล่าวขณะที่มองถุงเงินของผู้นำซาง
ทหารที่ยืนรายล้อมอยู่ก็เริ่มยกอาวุธขึ้นและเตรียมพร้อมที่จะโจมตี
“คือว่า...” ผู้นำซางกล่าวด้วยความหวาดกลัว
สิ่งที่ผู้นำซางกังวลมากที่สุดก็คือหากเขามอบเงินทั้งหมดไป ทหารหนีทัพเหล่านี้จะไว้ชีวิตพวกเขาจริงๆ หรือไม่? หรืออาจจะเป็เพียงแค่คำโกหก
“เร็วเข้า!” ชายสวมชุดเกราะสีทองกล่าวเร่งอีกครั้ง
“อยากได้ก็เข้ามาเอาเอง!” ขณะที่ผู้นำซางยังคงยืนตัวแข็งทื่อ ถังเหล่ยกลับกล่าวแทรกขึ้นมาพร้อมกับนำผ้าปิดใบหน้าออก เผยให้เห็นใบหน้าอันอ่อนเยาว์ของถังเหล่ย
ก่อนหน้านี้ถังเหล่ยยังคงสวมผ้าปกปิดใบหน้าอยู่ ทำให้พวกเขาเ่าั้ไม่สามารถคาดเดาอายุและระดับความแข็งแกร่งของถังเหล่ยได้ นี่จึงเป็เหตุผลที่ทหารหนีทัพเ่าั้ยังไม่กล้าเข้าโจมตีขบวนลำเลียงสินค้า
“ก็แค่เด็กคนหนึ่ง!” ชายสวมชุดเกราะสีทองกล่าวและเผยรอยยิ้มออกมา
ทันทีที่ผู้นำของทหารหนีทัพกล่าวจบ ถังเหล่ยจึงโยนทองออกมาจำนวนมาก
โครม!
ทองที่กองอยู่ที่เท้าของถังเหล่ยมีจำนวนมากกว่าพันตำลึง ทันทีที่กองทัพทหารเ่าั้เห็นกองทองนั้นก็เกิดความวุ่นวายขึ้นมาทันที
“กล้าหรือไม่?” ถังเหล่ยกล่าวด้วยน้ำเสียงเ็า
“เหตุใดข้าจะไม่กล้า!” ชายสวมชุดเกราะสีทองยิ้มเ็าด้านหลังปรากฏิญญายุทธ์สีดำออกมา
ทุกสายตากำลังจ้องมองชายสวมชุดเกราะสีทองเดินเข้าหาถังเหล่ยอย่างช้าๆ เมื่อเขาเดินเข้ามาถึงระยะที่สามารถใช้หอกโจมตีอีกฝ่ายได้จึงหยุดเดิน และแทงหอกใส่ถังเหล่ยทันที แต่สิ่งที่เกินความคาดหมายคือถังเหล่ยได้เตรียมรับมือไว้อยู่แล้ว
ทันทีที่หอกประชิดตัวถังเหล่ย เขาก็ใช้เท้าเตะไปที่กองทอง ทองเ่าั้พุ่งตรงไปยังชายสวมชุดเกราะสีทอง ชายคนนั้นจึงใช้หอกที่อยู่ในมือปัดทองที่พุ่งมา แต่ในเวลาเดียวกันถังเหล่ยก็พุ่งตัวตามทองคำ และปรากฏตัวอยู่ที่ด้านหลังของชายสวมชุดเกราะสีทองอย่างรวดเร็ว
……………