การต่อสู้อันแสนดุเดือดรุนแรงเริ่มขึ้นอีกครั้ง
หัวหน้าองครักษ์ทั้งสามท่านนั้นก่อนที่จะมาถึงคฤหาสน์ตระกูลเวินแห่งนี้ พวกเขาไม่ได้คิดไว้เลยว่าวันนี้พวกเขาจะต้องมาเจอกับการต่อสู้ที่มันหนักหนาสาหัสขนาดนี้
ถึงจะต้องสู้กันศัตรูที่พวกเขาคิดว่าจะได้เจอก็มีแค่หนุ่มน้อยสุดอำมหิต หลินอี้และประมุขตระกูลเวิน เวินติ่งเทียน ที่เป็ยอดฝีมือแล้วเท่านั้น
แต่ตอนนี้พวกเขากลับต้องมาต่อสู้จนเหนื่อยหอบกับศัตรูที่เป็แค่วัยรุ่นไร้ชื่อเสียงแค่ยี่สิบคนเท่านั้น
ใน่เวลาประมาณธูปหนึ่งก้านถูกเผาจนหมดนั้นหัวหน้าทั้งสามได้ปล่อยท่าไม้ตายสร้างชื่อของตัวเองออกมาอย่างต่อเนื่องไม่มีหยุดแต่ศัตรูในชุดเกราะสีดำทั้งยี่สิบคนนี่กลับอึดทนอย่างกับตุ๊กตาล้มลุกพอล้มลงไปก็ลุกขึ้นมาอีก ลุกขึ้นมาเสร็จก็บุกเข้าใส่พวกเขาต่อด้วย
น่ารำคาญเกินบรรยาย
น่าอึดอัดถึงที่สุด
หลังจากเวลาผ่านไปสักพักหนึ่งแล้ว ในที่สุดหลังจากที่เซี่ยชางไห่ใช้เพลงดาบอันทรงพลังของเขาฟาดฟันใส่นักรบเกราะดำสามคนจนกระเด็นออกไปแล้ว ก็เกิดความเปลี่ยนแปลงขึ้นชุดเกราะสีดำของทั้งสามที่ถูกซัดปลิวไปนั้นก็ส่งเสียงดังกริ๊งๆจากนั้นประกายแสงอันศักดิ์สิทธิ์ก็สลายหายไปจนหมด
ในที่สุด...ก็พลังหมดแล้วสินะ!!
หัวหน้าทั้งสามคนถึงกับน้ำตาตกใน
ในที่สุดการต่อสู้อันแสนอึดอัดและน่ารำคาญนี่ก็กำลังจะจบลงเสียทีเป็อย่างที่เซี่ยชางไห่บอกไว้ไม่มีผิดพลังงานของชุดเกราะชุดนี้มันมีขีดจำกัดอยู่ถ้าพลังงานมันหมดเมื่อไหร่ก็ไม่สามารถแผลงฤทธิ์อะไรได้อีกแล้ว
คราวนี้ก็ถึงทีของพวกข้าบ้างแล้ว!!!!
แต่ทั้งสามคนยังดีใจได้ไม่ถึงสามวิ ก็ต้องเปลี่ยนกลับมาอยากร้องไห้อีกครั้ง
นักรบเกราะดำที่พลังงานหมดไปแล้วทั้งสามคนนั้นอยู่ๆ ก็คว้าเอาผลึกิญญาต้นกำเนิดขนาดเท่าหนึ่งกำมือออกมาภายใต้การปกป้องของพรรคพวกคนอื่นๆที่เหลืออยู่ จากนั้นก็ใส่ไปในช่องเล็กที่อยู่บริเวณอก
จากนั้นแสงศักดิ์สิทธิ์สีดำก็เปล่งประกายขึ้นมาอีกครั้งโดยที่ไม่ได้ดูอ่อนพลังลงเลย
ทั้งสามก็กลับมายืนประจันหน้ากับเหวินไท่เป่ยอย่างองอาจอีกครั้ง
เหวินไท่เป่ยตอนนี้อ้าปากค้างจนกรามล่างแทบจะร่วงไปอยู่บนพื้นแล้ว
ไอ้ชุดเกราะที่ขี้โกงจนหน้าไม่อายนี่ มันยังสามารถเติมพลังเพิ่มได้ในพริบตาอีก...
ไม่ไหวแน่แบบนี้....
ถ้าจะพูดให้ถูกก็คือ ไม่มีหน้าจะสู้ต่ออีกแล้ว
ผลการต่อสู้ครั้งนี้ขึ้นอยู่กับจำนวนของผลึกิญญาต้นกำเนิดของอีกฝ่ายล้วนๆ
ซึ่งสถานที่ๆ พวกเขากำลังยืนอยู่นี้คือคฤหาสน์ของตระกูลเวินที่เป็ตระกูลนักการช่างที่ใหญ่ที่สุดของเมืองอวิ๋นเฉิงแล้วตระกูลอย่างนั้นมันจะขาดแคลนผลึกิญญาต้นกำเนิดได้อย่างไร?
สู้จนข้ามปียังไม่รู้เลยว่าจะหมดรึเปล่า...
แต่ผลลัพธ์แบบนี้เป็เื่น่าอับอายที่ไม่อาจยอมรับได้สำหรับเหล่าทหารองครักษ์แห่งราชวงศ์
ทั้งสนามประลองตกลงสู่ความเงียบงันไปในทันที
ความคิดที่จะต่อสู้ของพวกเหวินไท่เป่ยแทบจะไม่เหลืออยู่แล้วส่วนพวกของหลินหยางและเวินติ่งเทียนนั้นก็ยังคงดื่มชากันอย่างสบายอารมณ์ต่อไป
เ้าปี้ฟังน้อยหั่วเอ๋อร์ที่ตอนนี้เปลี่ยนที่อยู่จากบนไหล่ของเวินชิงชิงเป็บนไหล่ของหลินหยางนั้นก็พูดออกมาอย่างไร้ความปรานีว่า
“เอ้า? ทำไมไม่สู้กันแล้วเล่า?ข้ายังอยากดูต่ออยู่เลย... รีบๆ สู้กันต่อได้แล้ว!!”
กรอด...
เหมือนจะได้ยินเสียงกัดฟันจนแทบร้าวของหัวหน้าองครักษ์ทั้งสามคน
ในที่สุดการต่อสู้ที่ใช้กำลังรบที่น่าจะแข็งแกร่งที่สุดของอาณาจักรชูอวิ๋นแล้วแต่ก็ยังไม่สามารถตัดสินผลแพ้ชนะกันได้แบบนี้กำลังจะจบลงแล้ว
มีเสียงของคนๆ หนึ่งก็ดังขึ้นเพื่อช่วยกอบกู้เกียรติของพวกเหวินไท่เป่ยเอาไว้
“ถอยไป...”
เสียงพูดอันแหบแห้งและเบาหวิวนั่นกลับดังก้องไปทั่วทั้งสนาม
มือของพวกเวินติ่งเทียนที่กำลังถือถ้วยชาเอาไว้ถึงกับกระตุกไปครู่หนึ่ง
ส่วนหลินหยางนั้นเก็บสีหน้าสบายๆ นั่นเข้าไปแล้ว เขามองไปทางเกี้ยวสีดำที่ดูลึกลับและทรงพลังนั่น
ผ้าม่านค่อยๆ ถูกเลิกขึ้นมาแล้ว
เงาร่างของคนๆ หนึ่งค่อยๆ เดินออกมาจากด้านในนั้น
“ท่านอาจารย์ต้วน!!”
พวกของเหวินไท่เป่ยรู้สึกเหมือนได้รับการปล่อยให้เป็อิสระพวกเขาไม่อยากจะต่อสู้อย่างน่าอึดอัดแบบนี้ต่อไปแล้ว
พวกเขาต่างก็ะโออกจากสนามรบถอยหลังกลับเข้ามายืนอยู่ในฝั่งของตนสายตาของทุกคนในสนามแห่งนี้ล้วนหันไปมองทางเงาร่างของคนที่กำลังก้าวออกมาจากเกี้ยวสีดำนั่น
ยอดฝีมือระดับอวิ้นหลิงที่แข็งแกร่งที่สุดของอาณาจักรชูอวิ๋น - ต้วนเทียนหยากำลังจะลงมือแล้ว
หลินหยางเคยได้ยินชื่อของต้วนเทียนหยามาบ้าง
ความสามารถระดับอวิ้นหลิงนั้นน่าสะพรึงกลัวยิ่งกว่าระดับเซียนเทียนหลายเท่า
ยอดฝีมือระดับเซียนเทียนขั้นท้ายมีพละกำลังเริ่มต้นอยู่ที่แปดพันชั่งหากสามารถฝึกฝนจนยกระดับไปถึงจุดสูงสุดได้แล้วละก็ พละกำลังจะมากถึงหนึ่งหมื่นห้าพันช่างเลยทีเดียว
แต่สำหรับยอดฝีมือรดับอวิ้นหลิงนั้นตอนที่พวกเขาปล่อยพลังฟ้าดินออกมานอกร่างกายเพื่อใช้งานเคล็ดวิชาศักดิ์สิทธิ์อันทรงพลังรูปแบบต่างๆนั้น พวกเขาสามารถปล่อยพลังอันน่าหวาดหวั่นกว่าสองถึงสามหมื่นชั่งออกมาได้อย่างง่ายดาย
ถ้าเซียนเทียนคือจุดสูงสุดของวิถียุทธ์สำหรับคนธรรมดา
อย่างนั้นอวิ้นหลิงก็คือจุดเริ่มต้นในการเข้าสู่วิถีเซียนของพวกคนที่ไม่ธรรมดาแล้ว
ตอนนี้ คือโอกาสดีที่จะได้ทดสอบความสามารถของตระกูลเวินภายใต้การนำของหลินหยางในการเผชิญหน้ากับยอดฝีมือระดับอวิ้นหลิงแล้ว
ในที่สุดต้วนเทียนหยาก็ออกมาอยู่นอกเกี้ยวดำเสียที
สิ่งที่น่าใที่สุดก็คือบุคคลในตำนานแห่งอาณาจักรชูอวิ๋นผู้นี้นั้นสวมผ้าคลุมสีดำที่ดูหนักอึ้งที่คลุมไว้ทั้งตัวอีกทั้งยังสวมหน้ากากเอาไว้ด้วยดูท่าทางลึกลับกว่าหลินอี้อีก
สิ่งเดียวที่ผู้คนโดยรอบมองเห็นกันก็คือร่างกายอันผอมแห้งของเขา และดวงตาคู่หนึ่ง ดวงตาสีน้ำเงินที่ส่องสว่างราวกับดวงตาของภูตผีจากปรโลก
ไม่มีใครกล้ามองเข้าไปในดวงตาคู่นั้นตรงๆ เลยถ้าหากเผลอมองเข้าไปจะรู้สึกราวกับิญญาถูกดึงออกมาให้คุกเข่าศิโรราบอยู่ใต้เท้าของเขาก็ไม่ปาน
เป็แรงกดดันตามธรรมชาติของผู้แข็งแกร่งที่มองลงเบื้องล่างจากตำแหน่งอันสูงส่ง
นี่คือยอดฝีมือระดับอวิ้นหลิงตัวตนอันแข็งแกร่งที่สามารถเชื่อมต่อกับพลังฟ้าดินตามธรรมชาติได้โดยตรง
ตึง
สองเท้าของเขาเหยียบลงบนพื้นสนามแล้ว
ผู้คนทั่วทั้งสนามต่างก็รู้สึกใจสั่นด้วยความหวั่นเกรง
“ชางไห่...”
ต้วนเทียนหยาเรียกชื่อของเซี่ยชางไห่ขึ้น
“อาจารย์ต้วน”
เซี่ยชางไห่ก้มหัวอย่างนอบน้อม แสดงถึงความเคารพสุดหัวใจ
ต้วนเทียนหยากระซิบอะไรบางอย่างที่ข้างหูของเซี่ยชางไห่ไปครู่หนึ่งทำให้เซี่ยชางไห่แสดงสีหน้าประหลาดใจออกมา
จากนั้นไม่นาน เซี่ยชางไห่ก็พยักหน้าแรงๆ ตอบรับว่า “ได้เลย ท่านอาจารย์ต้วนชางไห่จะจัดการตามที่ท่านบอกไว้เอง”
“ไปเถอะ...”
ต้วนเทียนหยาพยักหน้าเล็กน้อยจากนั้นเซี่ยชางไห่ก็เดินไปยืนข้างๆ เหวินไท่เป่ยและซูิชุนพร้อมกับป่าวประกาศด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำว่า
“เหล่าองครักษ์ทั้งหมดจงฟัง ภารกิจเสร็จสิ้นแล้วถอยทัพ!!”
อะไรนะ!!!!
เหล่าทหารสองพันกว่าคนอึ้งไปทันทีแต่ไม่นานก็กลับมารับคำสั่งได้อย่างรวดเร็ว
พวกเขาไม่ได้โง่ ล้วนดูออกว่าสถานการณ์ได้เปลี่ยนไปแล้ว
ส่วนคนที่ไม่อยากยอมรับความจริงมากที่สุดตอนนี้ก็คิอหวังิชง
ั้แ่ที่ตระกูลเวินเผยชุดเกราะสีดำทั้งยี่สิบชุดนั่นออกมาให้เห็นแล้วหวังิชงพูดได้ทันทีเลยว่า...เขาพลาดท่าไปเสียแล้ว
เขาที่เป็ถึงขุนนางชั้นผู้ใหญ่นั้นย่อมสามารถมองเห็นคุณค่าของชุดเกราะชุดนี้ที่มีต่ออาณาจักรชูอวิ๋นได้ในพริบตาอยู่แล้ว
หรือถ้าพูดตรงๆ เลยก็คือ
หากตระกูลเวินถือครองวิชาการช่างที่ใช้สร้างชุดเกราะสีดำนี่ไว้จริงๆละก็ อย่าว่าแต่โทษสังหารเฉินเย่เซิงเลย ต่อให้พวกเขาไปฆ่าล้างโคตรใครมาองค์จักรพรรดิก็ไม่มีทางทำอะไรพวกเขาแน่นนอน
มันเปรียบเสมือนกับสัญลักษณ์แห่งอำนาจอันไร้ขีดจำกัด
ขอแค่มีมันใน ตระกูลเวินก็จะสามารถเชิดหน้าชูตาสามารถเป็กำลังรบที่ยืนเคียงบ่าเคียงไหล่กับเชื้อพระวงศ์แห่งอาณาจักรชูอวิ๋นได้เลยทีเดียว
หวังิชงรู้ว่าตัวเองได้พ่ายแพ้ไปเรียบร้อยแล้ว
พ่ายแพ้อย่างราบคาบอีกด้วย
ถึงแม้ตัวเขาจะมีอำนาจควบคุมเหล่าองครักษ์แห่งเชื้อพระวงศ์ก็ตามแต่อำนาจของเขาก็ต้องสูญสลายไปกับสายลมเมื่ออยู่ต่อหน้าต้วนเทียนหยา
การต่อต้านของตระกูลเวินนั้นไม่อาจหยุดยั้งได้อีกต่อไปแล้วต้วนเทียนหยาไม่้าให้เหล่าองครักษ์ของเขาถูกหวังิชงดึงไปเกี่ยวข้องกับปัญหาส่วนตัวของมันจนทำให้เกิดความบาดหมางกับตระกูลเวินมากไปกว่านี้
ฮุ่ยเล่ฮุ่ย
เหล่าองครักษ์ขยับเคลื่อนตัวกันอย่างคล่องแคล่วเพียงพริบตาเดียวพวกเขาก็รวมตัวกันเดินออกไปยังด้านนอกแล้ว
เซี่ยงชางไห่นำคนกว่าสองพันคนในหัวเต็มไปด้วยคำสั่งของต้วนเทียนหยาที่สั่งไว้ว่า... ทหารทั้งสองพันคนที่ได้เห็นชุดเกราะนั่นแล้วพวกเขาจะต้องไปอยู่ในสถานที่ลับแห่งหนึ่ง ห้ามข้องแวะกับบุคคลภายนอกโดยเด็ดขาดจนกว่าอาณาจักรชูอวิ๋นจะเปิดเผยการมีอยู่ของชุดเกราะนี้อย่างเป็ทางการ
ส่วนหวังิชงนั้น...
หวังิชงผู้น่าสงสาร...
เซี่ยชางไห่ทำได้แค่มองไปทางหัวหน้าฝ่ายผู้ดูแลภายใน คนที่เคยยิ่งใหญ่คับฟ้าคนนั้นอย่างไม่มีทางช่วยจากนั้นก็ก้มหัวลงกล่าวว่า
“ท่านหวัง ท่านอาจารย์ต้วนสั่งว่า ท่านเองก็ยังไม่สามารถกลับไปที่ราชสำนักได้เป็การชั่วคราวให้ไปพักผ่อนที่ค่ายใหญ่ของทหารองครักษ์ก่อนรอจนกว่าจะรายงานเื่ทั้งหมดให้ท่านจักรพรรดิรับทราบแล้วค่อยมาตัดสินใจเื่ของท่านอีกที!!”
หวังิชงสั่นไปทั้งตัวทันทีเมื่อนึกถึงจุดจบของตัวเองที่กำลังจะมาถึงในไม่ช้า
ต้วนเทียนหยาไม่ได้จะตัดหางปล่อยวัดเขาเพียงอย่างเดียวเท่านั้นอีกฝ่ายยังคิดจะปิดปากเขาอีกด้วย...
หัวหน้าองครักษ์สุดลี้ลับผู้นี้เป็คนสนิทขององค์จักรพรรดิที่ได้รับความไว้วางใจมากที่สุดคำพูดของเขาในบางครั้งสามารถเป็ดั่งตัวแทนความคิดของจักรพรรดิหลินเฮ่ายวนได้เลย
ถ้าเอาตัวเขาไปเปรียบเทียบกับชุดเกราะมหัศจรรย์ของตระกูลเวินนี่แล้วคุณค่าในตัวของเขานั้นก็ไม่ต่างอะไรจากหมาข้างถนนตัวหนึ่ง
“ได้...”
หวังิชงรับคำด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ สั่นไปจนถึงลำตัวจากนั้นจึงค่อยๆ เดินตามเซี่ยชางไห่ออกไปจากคฤหาสน์ตระกูลเวินอันใหญ่โตนี้
ความพ่ายแพ้ครั้งนี้สำหรับเขานั้นเปรียบเสมือนจุดจบของเส้นทางราชการของเขา
การลุกขึ้นสู้ของตระกูลเวิน เพื่อที่ราชสำนักจะสามารถประนีประนอมได้แล้วพวกนั้นจะต้องผลักความผิดทั้งหมดมาที่ตัวเขาหวังิชง และเฉินเย่เซิงแน่ๆ
เมื่อถึงตอนนั้นเขาก็จะกลายเป็คนที่ทำผิดทั้งหมดทันทีส่วนตระกูลเวินก็จะถูกล้างความผิดทั้งหมดจนขาวสะอาด
เป็วิธีการทางการเมืองแบบสองฝักสองฝ่ายทุกอย่างตั้งอยู่บนผลประโยชน์เป็หลัก หวังิชงถูกกำหนดให้กลายเป็เครื่องสังเวยไปแล้ว
แต่ถึงอย่างนั้นหวังิชงก็ยังไม่สิ้นหวัง
เพราะเื้ัเขายังมีองค์ชายเก้าจอมโลภนั่นอยู่ขอแค่รอดชีวิตไปได้ เมื่อถึงเวลาที่องค์ชายเก้าได้ขึ้นเสวยราชสมบัติละก็ตัวเขาก็จะสามารถกลับมายิ่งใหญ่อีกครั้งได้...
อีกทั้งเื้ัขององค์ชายเก้า ก็ยังมีคนๆ นั้นสนับสนุนอยู่ด้วย...
ตระกูลเวินนี่ไม่ได้อยู่อย่างสุขสสบายแน่!!
ตอนนี้เหล่าผู้ที่ไม่เกี่ยวข้องก็ได้เดินออกไปกันหมดแล้ว
ณ ลานประลองแห่งนี้จึงเหลือแต่เพียงคนของตระกูลเวิน และต้วนเทียนหยา
เหล่าทหารถอยออกไปแล้ว ทำให้พวกเขาดีใจกันมากนี่เป็หลักฐานที่แสดงให้เห็นว่าพลังของตระกูลเวินนั้นแข็งแกร่งพอที่จะสยบอำนาจของราชวงศ์แห่งอาณาจักรชูอวิ๋นได้
แต่ต้วนเทียนหยากลับยังคงยืนอยู่ราวกับขุนเขาลูกหนึ่งไม่ได้ถอยกลับไปด้วยทำให้ผู้คนรู้สึกอึดอัดขึ้นมา
ยอดฝีมือผู้นี้คิดจะทำอะไร?
หลินหยาง และเหล่าผู้นำของตระกูลเวินลุกขึ้นยืน
ต่อหน้าตัวตนระดับตำนานแบบนี้ พวกเขาจะผลีผลามไม่ได้ จึงค่อยๆ เดินไปอยู่ข้างหน้ากลุ่มของพวกเวินเทาแล้วจึงมองไปยังตัวตนอันแสนลึกลับพิสดารที่ซ่อนตัวอยู่ภายใต้ผ้าคลุมสีดำทมิฬผืนนั้น
“ท่านคงจะเป็หนึ่งในหัวหน้าองครักษ์ท่านต้วนเทียนหยาสินะ?”
เวินติ่งเทียนยกสองมือขึ้นทำท่าเคารพ
ฝั่งตรงข้ามกันนั้น
ต้วนเทียนหยาก็ได้พูดออกมาคำหนึ่งซึ่งเป็คำที่ทำให้คนทั้งหมดถึงขวัญผวา
“หนึ่งฝ่ามือ”
อะไรนะ?
“รับหนึ่งฝ่ามือของข้า”
คำพูดสั้นๆไม่กี่คำ ก็สั่นะเืไปถึงจิติญญาของผู้คนแล้ว
ยอดฝีมือระดับอวิ้นหลิงท่านนี้ยังคิดจะสู้อยู่!!
และสิ่งที่ยิ่งเกินความคาดหมายมากกว่าเดิมก็คือต้วนเทียนหยาพูดออกมาอีกเต็มประโยคหนึ่งเลยว่า
“ชุดเกราะนี่ช่วยปกป้องชื่อเสียงและเกียรติยศของตระกูลเวินเอาไว้แต่ศักดิ์ศรีของราชวงศ์ รวมอยู่ในฝ่ามือนี้ทั้งหมด”
คำพูดประโยคเดียว ก็อธิบายอย่างชัดเจนแล้ว
ตระกูลเวินสามารถชนะใจจนได้รับความนับถือจากฝ่ายราชวงศ์ได้แล้วแต่เื่ราวครั้งนี้จะปล่อยให้จบลงตรงที่ทหารองครักษ์ของราชวงศ์ที่ถูกปราบจนต้องถอยทัพไม่ได้
ดังนั้นต้วนเทียนหยาจึงคิดจะแก้ไขเื่ทั้งหมดโดยการที่จะปราบตระกูลเวินให้พ่ายแพ้อย่างราบคาบด้วยการใช้ออกแค่เพียงหนึ่งฝ่ามือเท่านั้น
ดังนั้นแล้วหนึ่งฝ่ามือนี้จะต้องเป็กระบวนท่าสังหารอันน่าสะพรึงกลัวที่สามารถะเืไปทั่วทั้งฟ้าดินได้แน่นอน
คนที่รับท่านี้ หากไม่ตายก็ต้องเจ็บหนัก
คนของตระกูลเวินถึงกับนิ่งเงียบไปชั่วขณะ
เป็เวินติ่งเทียนที่ก้าวออกมารับหน้า “ถ้าอย่างนั้นให้ข้าเป็คนรับกระบวนท่าชั้นสูงของท่านก็แล้วกัน”
แต่กลับมีคนๆ หนึ่งก้าวออกมายืนขวางหน้าเวินติ่งเทียน
หลินหยางนั่นเองที่ยืนแย้มยิ้มอยู่ตรงหน้าของต้วนเทียนหยา
“ให้ข้ารับแทนดีกว่า...”
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้