ห่าฝนกลางูเานั้นตกเทลงมาอยู่เป็เวลานาน โดยไม่มีทีท่าว่าจะหยุดเลย ฟืนไฟในถ้ำที่มีไม่มากอยู่แล้วก็ร่อยหรอลงทีละน้อย เหยียนเฟยที่มักทำหน้าทะเล้นอยู่ตลอดก็พลันขมวดคิ้วแน่นโดยไม่รู้ตัว
ในใจของเหยียนเฟยรู้ดี หากยังเป็เช่นนี้ต่อไป น่ากลัวว่าทั้งสองคงจะยื้อผ่านคืนนี้ไปไม่ได้แน่ เป็ไปได้มากว่าอาจจะถูกแช่แข็งตายอยู่ถ้ำก็ได้ เมื่อมองไปยังเยว่เยียนเยียนที่ยังตัวสั่นระริกในอ้อมกอดของตน หว่างคิ้วของเหยียนเฟยก็ขมวดเป็ปมแน่นยิ่งกว่าเดิม “นี่! ห้ามหลับนะยัยโง่!”
เหยียนเฟยเขย่าไหล่ของคนที่อยู่ในอ้อมกอด คำพูดเองก็ค่อนข้างไม่พอใจกับความไม่ระวังตัวของเยว่เยียนเยียน กองไฟยังคงวูบไหวเดี๋ยวสว่างเดี๋ยวสลัว เหยียนเฟยกอดคนในอ้อมแขนแน่นขึ้นเล็กน้อยอย่างไม่รู้ตัว
“เหยียนเฟย ข้าคงจะไม่... ต้องตายไปด้วยกันกับคนน่ารำคาญอย่างเ้าหรอกนะ!” เยว่เยียนเยียนยามนี้ยังมีแรงมีกะจิตกะใจพูดเล่น คิดดูแล้วคงไม่ได้หนาวจนเกินทนสินะ? เหยียนเฟยภาวนาเช่นนั้นในใจ ครู่หนึ่งจึงเพียงเอ่ยด้วยรอยยิ้มระคนโมโห “ถ้าไม่อยากตายไปด้วยกันกับคนน่ารำคาญอย่างข้า เช่นนั้นก็ปลุกตัวเองให้สดชื่นขึ้นมาเสีย!”
ฝนตกลงไม่ขาดสาย หาก์้าจะเอาชีวิตของพวกเขาทั้งสองจริงๆ เช่นนั้นก็ให้พายุฝนกระหน่ำซัดแรงกว่านี้สักหน่อยสิ!!!
เหยียนเฟยที่ร้อนรุ่มกระสับกระส่ายเบนสายตาออกไปข้างนอกเล็กน้อย มองม่านฝนที่ไม่มีทีท่าจะหยุดลงแล้วถอนหายใจ…
“หากฝนครานี้ตกไม่หยุด พวกเราจะต้องตายอยู่ที่นี่จริงๆ อย่างนั้นหรือ?” เยว่เยียนเยียนเงยหน้าขึ้นอย่างยากลำบาก ริมฝีปากที่สั่นเทาด้วยความหนาวขยับขึ้นลง เอ่ยถามด้วยเสียงแ่เบา
“ยัยโง่ แน่นอนว่าต้องตายอยู่แล้ว!” เหยียนเฟยเอ่ยตอบไปตามจริง แต่กลับไม่ทันได้เห็นเยว่เยียนเยียนที่เหลือกตาขึ้นมามอง มีใครที่ไหนเขาพูดแบบนี้กันบ้าง? ท่ามกลางสถานการณ์ที่ยากลำบากเช่นนี้ ระหว่างสหายที่ตกอยู่ในสถานการณ์อันเลวร้ายด้วยกัน ก็ควรจะต้องให้กำลังใจเกื้อหนุนกันไม่ใช่หรือ?!
เหตุใดเมื่อเื่นี้มาถึงเหยียนเฟยมันถึงเปลี่ยนอารมณ์ไปหมดสิ้น ไม่ต้องพูดถึงเกื้อหนุนและให้กำลังใจหรอก แค่ไม่กล่อมนางให้ละทิ้งความหวังแล้วฆ่าตัวตายก็พอแล้ว
เยว่เยียนเยียนรู้สึกกระวนกระวายอยู่ในใจ แต่ไม่ใช่เพราะตนอาจจะต้องเผชิญหน้ากับความตายจริงๆ แต่เป็เพราะข้างกายมีคู่หูอย่างเหยียนเฟยอยู่ต่างหาก ไม่ตายก็คงน่าใเหลือทน เยว่เยียนเยียนรู้สึกว่าวันนี้ตนได้ทำสิ่งที่ผิดพลาดไปแล้ว ไม่ใช่การที่หนีออกจากบ้านด้วยความโกรธเคืองต่อเฉินไฮว่ชิง แต่เป็เพราะไม่ได้หนีไปให้ไกลกว่านี้อีกสักหน่อย ให้เหยียนเฟยตามหาตนไม่เจอเสียเลย
เช่นนั้นแล้ว ไม่แน่ตนอาจจะสามารถมีชีวิตอยู่ไปได้อีกสักพัก ไม่ต้องถูกเหยียนเฟยเ้าตัวซวยนี่เอาชีวิตไป!
“ข้าว่า...” เยว่เยียนเยียนอดกลั้นไม่ไหวแล้วจริงๆ นางเอ่ยขึ้น “ข้าว่านะ พี่ชายท่านนี้ ในสถานการณ์เช่นนี้ เ้าควรจะให้กำลังใจข้าไม่ใช่หรือ?”
“ให้กำลังใจเ้า? ข้าจะให้กำลังใจเ้าได้อย่างไรกัน! ตัวข้าเองก็ใกล้จะหนาวตายอยู่แล้ว!”
เหยียนเฟยเองก็ไม่ปิดบังแสร้งทำอีกต่อไป คำพูดคำจาพลันจริงใจตรงไปตรงมาอย่างยิ่ง ถึงอย่างไรเสื้อผ้าของเขายามนี้ก็กำลังห่อหุ้มอยู่บนตัวของเยว่เยียนเยียนอย่างแ่า แน่นอนว่ายังมีความร้อนของเพลิงไฟอันน้อยนิดอยู่บ้าง ก็ใครใช้เสื้อผ้าชิ้นนี้แห้งขณะที่ไฟยังไม่ลุกโชนกัน?
พูดจบเหยียนเฟยก็กลอกตาเล็กน้อย อดก่นด่าเ้าตัวเบาๆ ไม่ได้ “รู้แต่แรกข้ายอมกินผักกาดขาวต้มน้ำเปล่าสิบปีเสียดีกว่า ข้าจะไม่ตอบตกลงตาแก่เฉินไฮว่ชิงนั้นมาตามหาตัวจุ้นอย่างเ้าหรอก ตอนนี้ข้าเองก็หนาวจะตายอยู่แล้ว!”
นี่มันคนเช่นไรกัน? เยว่เยียนเยียนได้ยินเหยียนเฟยเอ่ยเช่นนั้น นางพลันโมโหจนได้สติลุกนั่งทันใด พลางสลัดเสื้อผ้าบนร่างออกอย่างรุนแรง สองมือนางสอดไว้ที่สาบเสื้อด้านหน้า แล้วเอ่ยอย่างกราดเกรี้ยว “ที่เ้าพูดนั่นใช่คำพูดของคนหรือ? หญิงสาววัยแรกแย้มคนหนึ่ง วิ่งมาถึงป่าดิบเขาลึกคนเดียว เ้าเป็บุรุษหากไม่มาช่วยให้รอดพ้น เ้าจะรอให้เกิดภัยพิบัติใหญ่หลวงหรือไร?”
“ลูกพี่ นี่เ้ายังเป็หญิงสาวแรกแย้มอยู่อีกหรือ?” เหยียนเฟยยังคงกลอกตาไปมาไม่หยุด ก่อนจะสอดไขว้มือกันในแขนเสื้อแล้วเอ่ยขึ้นอีกครั้ง “ว่ากันอีกที ต่อให้เ้าจะเป็หญิงสาววัยแรกแย้ม จะขึ้นเขาลงห้วยก็เป็การเลือกของเ้าเองไม่ใช่หรืออย่างไร? อย่าว่าแต่ข้าเป็บุรุษเลย ต่อให้ข้าเป็สตรีก็ไม่อาจขัดขวางการแสวงหาอิสระและอุดมการณ์ของหญิงสาวแรกแย้มได้หรอก!”
ต้องบอกเลยว่า การด่ากันนั้นทำให้คนตื่นตัว เยว่เยียนเยียนฮึดสู้ขึ้นมาอย่างเด็ดเดี่ยว นางยกมือขึ้นฟาดที่ไหล่ของเหยียนเฟยอย่างแรง จนเหยียนเฟยร้องลั่นขึ้นมา
“เ้าผู้ชายเฮงซวย ข้ากลับไปได้เมื่อไร จะให้เ้ากินผักกาดขาวต้มน้ำเปล่าทุกวัน ไม่กินก็เ้าอดตายไปเลย ฮึ!”
“ยังจะทำผักกาดขาวต้มน้ำเปล่าเพ้อเจ้ออะไรนั่นอีกหรือ? คุณหนูใหญ่รอดูไปเถอะว่าเ้าจะยังกลับไปได้หรือไม่! ยัยโง่! ยัยโง่ๆ !”
วิธีการทะเลาะกันของทั้งสองที่เหลือบมองอีกฝ่ายด้วยสายตาเ็า ช่างเหมือนกับเด็กน้อยในโรงเรียนอนุบาลยิ่งนัก แน่นอนว่า ตอนนี้เพื่อนตัวน้อยในโรงเรียนอนุบาลคงจะไม่ได้ด่ากันว่ายัยโง่เ้าบื้ออะไรเช่นนั้นกันแล้ว สรุปได้ว่า การประชันฝีปากระหว่างเหยียนเฟยและเยว่เยียนเยียนนั้นอาจจะเทียบไม่ได้กับเพื่อนตัวน้อยในโรงเรียนอนุบาลเลยก็ได้
ทะเลาะกันอยู่พักใหญ่ เยว่เยียนเยียนก็ไม่ได้มีท่าทางป่วยออดแอดเช่นเมื่อครู่นี้อีกต่อไป ทั้งร่างเต็มเปี่ยมด้วยพลังและความมีชีวิตชีวา เหมือนกับกระต่ายที่กำลังพองขนตัวหนึ่งไม่มีผิด อ้อไม่สิ ดูเหมือนจะเป็กระต่ายไม่ได้ เป็แมวเสือดาวก็แล้วกัน แมวเสือดาวดูแล้วน่าจะมีชีวิตชีวามากกว่าสักหน่อย
“เอาเถอะ เอาเถอะเ้าเองก็กระปรี้กระเปร่าขึ้นมาแล้วสินะ สงบศึก สงบศึกกันตกลงไหม?” สุดท้ายเหยียนเฟยก็แสดงเจตนาล่าถอยขึ้นมาก่อน ยามนี้เขาเองก็นึกเสียใจอย่างอดไม่ได้ รู้แต่แรกเขาก็คงไม่ใช้วิธีการที่เหน็ดเหนื่อยขนาดนี้แก้ไขปัญหาหรอก!
ใครจะไปรู้ว่าในหัวสมองของเหยียนเฟยนั้นมีอะไรผิดปกติ ถึงได้คิดวิธีการแปลกประหลาดเช่นนี้ขึ้นมาช่วยคนอบอุ่นร่างกายได้ ท่านทายไม่ผิดหรอก ก็คือการด่ากันนั่นเอง... อาจเป็เพราะวิธีนี้คงเกี่ยวข้องกับคุณลักษณะพิเศษของเหยียนเฟยเอง เทพบุตรปากร้าย? ทุกครั้งที่ด่าคนมากๆ เข้า ก็มักเหงื่อชุ่มโชกอย่างทนไม่ได้ ราวกับตื่นขึ้นมาตอนเช้า โอบกอดดวงตะวัน ให้ทั่วทั้งตัวเต็มไปด้วยแสงแดดเจิดจรัส ดังนั้นจึงได้มีฉากการทะเลาะวิวาทกันอันแปลกประหลาดเช่นเมื่อครู่
“เฮอะ ก็แค่เพราะเ้าด่าไม่ชนะข้าต่างหาก!”
เยว่เยียนเยียนได้ทีก็ทำเป็อวดเบ่ง พลันดึงเสื้อเหยียนเฟยที่ตนโยนทิ้งไปเมื่อครู่กลับมา แล้วห่อร่างของตนอย่างแ่า
...
จู้จี้ชะมัดเลย เหยียนเฟยมองลำดับการแสดงอันแพรวพราวชุดนี้แล้ว นึกอยากจะยกนิ้วโป้งให้กับเยว่เยียนเยียนขึ้นมาอย่างอดไม่ได้ แม้ว่ายามปกติจะดูซื่อบื้อ แต่พอเอาเข้าจริงก็ไม่ยอมเสียเปรียบสินะ?
ไม่ทันรู้ตัว สายฝนก็ซาลงไปไม่น้อย เยว่เยียนเยียนนั้นอาจเพราะเมื่อครู่ด่ากันจนเหนื่อยแล้ว สองตาของนางก็ปิดลง หลับใหลไปในอ้อมแขนของเหยียนเฟย เหยียนเฟยมองไปยังสีขาวดั่งท้องปลาที่ปรากฏขึ้นยังขอบฟ้าด้านนอกถ้ำ พยายามเบิกดวงตาที่สะลึมสะลือด้วยความง่วงงุนเกินจะทน พร่ำบอกกับตัวเองอยู่ในใจว่า ทนต่อไปอีกหน่อย ทนต่อไปอีกหน่อย
ยามเช้าตรู่ในป่าเขานั้นมาถึงเร็วกว่าภายนอก สายฝนก็ได้กลายเป็ฝนปรอยๆ ยามก่อนที่ท้องฟ้าจะโปร่งโดยสมบูรณ์ เบาบางจนมองแทบไม่ชัดแล้ว เหยียนเฟยในยามนี้แม้จะปวดหัวตาบวม แต่เมื่อมองไปยังเยว่เยียนเยียนที่นอนหลับสนิทอยู่ในอ้อมแขนแล้ว ในใจก็เกิดความโล่งอกขึ้นมาไม่น้อย
อย่างไรเสีย กลับไปก็ไม่ต้องกินผักกาดขาวต้มน้ำเปล่าแล้ว! นี่เป็เื่ดีที่สุดที่นึกได้ในตอนนี้แล้วไม่ใช่หรือ?
เหยียนเฟยพยุงร่างกายเอาไว้ แล้วตบที่ไหล่ของเยว่เยียนเยียนเบาๆ “ตื่นได้แล้ว ยัยโง่”
เยว่เยียนเยียนที่อยู่ในห้วงนิทรานั้นบิดตัวเล็กน้อย ยังคงไม่ยอมลืมตา ท่าทางเช่นนี้กลับทำให้เหยียนเฟยนึกอยากหัวเราะขึ้นมา พลันนึกถึงตอนเด็กๆ ขึ้นมาอีกครั้ง น้องสาวของตนนั้นไม่ชอบตื่นเช้าขึ้นมาฝึกวิชา นางเองก็นอนี้เีเช่นนี้เหมือนกัน
“ตื่นได้แล้วนะ ยัยบื้อ”
น้ำเสียงของเหยียนเฟยนั้น ไม่รู้ว่าั้แ่เมื่อไร ที่มันได้อ่อนโยนขึ้นมาเป็พิเศษ
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้