นี่จ้านเทียนหน้าเปลี่ยนสีเล็กน้อย เขาไม่นึกว่าลู่เจียงจะถูกเ้าสวะนี่ฆ่าตาย
“สังหารศิษย์ร่วมสำนักบนเวทีประลองอย่างเปิดเผย เ้าเห็นกฎของสำนักยุทธ์เป็ตัวอะไร?” เฉินเซี่ยงเทียนเอ่ยถามขณะมองเย่เฟิงด้วยรอยยิ้มเยือกเย็น
“เขาต่างหากที่คิดจะฆ่าข้าก่อน ท่านไม่เห็นหรือ?”
เย่เฟิงขมวดคิ้วเล็กน้อย เขารู้ว่าเฉินเซี่ยงเทียนกำลังซ้ำเติม
“เขาจะฆ่าเ้า สุดท้ายก็ไม่สำเร็จ แต่เ้ากลับฆ่าเขา แม้เขาขอยอมแพ้แล้วก็ตาม หรือเ้าคิดว่าการกระทำของเ้ามันไม่ละเมิดกฎ?” เฉินเซี่ยงเทียนซักถามต่อ
“หากคนอื่น้าฆ่าท่าน แต่พอตนรู้ว่าฆ่าท่านไม่ได้จึงขอยอมแพ้ ท่านจะยอมอภัยให้อีกฝ่ายได้ง่าย ๆ งั้นหรือ?”
เสียงของเย่เฟิงดังกังวาน เขาเอาสองมือไพล่หลัง โดยไม่เกรงกลัวการเผชิญหน้ากับเฉินเซี่ยงเทียน
“เถียงข้าง ๆ คู ๆ!” เฉินเซี่ยงเทียนเผยสีหน้าอึมครึม เขารู้ว่าจัดการเย่เฟิงผู้นี้ไม่ได้ง่าย ๆ แค่ไม่กี่ประโยคก็ทำให้เขาพูดไม่ออก
ตอนที่เฉินเซี่ยงเทียนจะพูดอีกครั้ง จู่ ๆ เสียงของผู้าุโฉินก็ดังขึ้นว่า “ไม่ต้องพูดแล้ว เื่นี้เขาไม่ผิด เป็ลู่เจียงที่มีใจอยากฆ่าเขาก่อน”
ผู้คนได้ยินเช่นนั้นต่างก็ใจเต้นระรัว ไม่คิดว่าผู้าุโฉินจะออกตัวพูดแทนเย่เฟิง แต่มันหมายความว่าอย่างไร? หรือผู้าุโฉินจะยอมให้เย่เฟิงผู้นี้คบหากับฉินเยียนหรานบุตรสาวเขา?
“ตามความเห็นข้า กฎของงานประลองนี้ควรเปลี่ยนได้แล้ว”
ผู้าุโฉินลุกขึ้นยืนช้า ๆ นี่เป็ครั้งแรกที่ผู้าุโฉินเปิดเผยตัวต่อหน้าสาธารณชน และพูดจาเช่นนี้
แม้ผู้คนจะไม่ค่อยรู้จักผู้าุโฉิน แต่ก็มีคนส่วนใหญ่รู้ตัวตนของเขา ผู้ซึ่งไม่ใช่ผู้าุโสำนักยุทธ์ทั่วไปจะทัดเทียมได้ กระทั่งฐานะในสำนักยุทธ์ไม่ด้อยไปกว่าสี่หัวหน้าพรรค
ดังนั้นหลาย ๆ คนจึงเคารพนับถือผู้าุโฉิน คำพูดของเขามีน้ำหนัก แม้แต่เฉินเซี่ยงเทียนผู้ดูแลงานประลองก็ยังต้องฟัง
“ทุกการต่อสู้ต่อจากนี้พวกเ้าจงทุ่มสุดแรง อย่าออมมือเพราะกฎกติกา หากเจอกระบวนท่าสังหารในการต่อสู้ สามารถลงมือฆ่าอีกฝ่ายได้ การแข่งขันย่อมไร้กฎกติกา หากถูกกฎจำกัด แล้วจะทดสอบความสามารถแท้จริงของพวกเ้าได้อย่างไร? โลกแห่งการบ่มเพาะเต็มไปด้วยความจริงและความโหดร้าย จะอยู่รอดบนโลกใบนี้ได้ พวกเ้าต้องรับการท้าทายทุกอย่าง รวมทั้งอันตรายถึงชีวิต”
ผู้าุโฉินกล่าวอย่างจริงจัง พอกล่าวจบก็กลับไปนั่งที่เดิม
จากคำพูดของผู้าุโฉิน ผู้เข้าแข่งขันสามารถลงมือหนักเบาได้ตามใจโดยไม่มีกฎกติกามาผูกมัด เช่นนี้แล้วการต่อสู้ลำดับต่อ ๆ ไปจะโหดและนองเืหนักกว่าตอนแรกหลายเท่า
ตราบใดที่ทั้งสองฝ่ายเห็นด้วย จะสามารถเปิดศึกเป็ตายเพื่อตัดสินได้ทันที กฎเช่นนี้ไม่เคยมีมาก่อนในงานประลอง การที่ผู้าุโฉินกล่าวเช่นนี้ เขา้ากู้หน้าให้เย่เฟิง หรือไม่พอใจในกฎกติกาของงานประลอง?
อย่างไรก็ตามการออกหน้าของผู้าุโฉินครั้งนี้ทำให้ผู้คนจำนวนมากมองเย่เฟิงต่างจากเดิม คล้ายให้ความสนใจเย่เฟิงมากขึ้นสองสามส่วน
หลังจากเย่เฟิงฆ่าลู่เจียง การประลองรอบนี้ก็จบลง ผู้เข้าสิบอันดับแรกของงานประลองสำนักยุทธ์ปรากฏตามลำดับดังนี้ ได้แก่ ตู๋กูหลง นี่จ้านเทียน เฉินอ้าวเทียน เว่ยจี้ จงเทา อวิ๋นเจี๋ย นักดาบแขนเดียว เจียงเผิง ฉินเยียนหราน และเย่เฟิง
รายชื่อที่ออกมาไม่แตกต่างมากนักจากที่ผู้คนคาดการณ์ก่อนหน้านี้
ลำดับต่อไปคือการจัดอันดับครั้งสุดท้าย ทั้งยังเป็ส่วนสำคัญที่สุดของงานประลองครั้งนี้ บรรยากาศจึงเปลี่ยนไปตึงเครียดเป็พิเศษ
ผู้ชมหลายแสนคนต่างมองสิบเงาร่างบนเวทีประลองที่เข้ารอบสุดท้ายด้วยสีหน้าตื่นเต้น เืในกายก็ยังพลุ่งพล่าน
สิบคนนี้คือตัวแทนศิษย์สำนักยุทธ์เทียนเสวียนที่แข็งแกร่งที่สุด และเป็เสาหลักของสำนักยุทธ์อย่างแท้จริง ดังนั้นศึกของสิบคนนี้ต้องน่าตื่นตาตื่นใจอย่างแน่นอน
เฉินเซี่ยงเทียนมองผู้ฝึกยุทธ์ทั้ง 10 คนที่เข้ารอบสุดท้าย ก่อนจะหยุดชะงักที่เย่เฟิงชั่วขณะ แววตาของเขาก็ฉายอย่างเย็นะเื
“พวกเ้าผ่านบททดสอบของสำนักยุทธ์จนมาถึงจุดนี้ ไม่ว่าพลังต่อสู้ พร์ หรือเจตจำนงล้วนไม่มีข้อกังขาใด ๆ เป็กลุ่มศิษย์ที่แข็งแกร่งที่สุด ชื่อของพวกเ้าจะยังถูกสลักไว้บนแท่นศิลาเทียนเสวียน จงดื่มด่ำไปกับเกียรติยศไร้ที่สิ้นสุด ลำดับต่อไปจะเป็การประลองสุดท้ายของการจัดอันดับ”
ดวงตาของเฉินเซี่ยงเทียนแวววาวสุกสกาว ก่อนจะพูดต่อไปว่า “กฎกติกาในศึกจัดอันดับยังคงเป็การจับฉลากเช่นเดิม ทุกคนต้องจับฉลากห้าใบ เป็ตัวแทนของคู่ต่อสู้ 5 คนที่เ้าต้องเผชิญในรอบนี้ แต่ทุกคนต้องชนะสามในห้าจึงจะผ่านเข้ารอบ ส่วนผู้ที่ทำไม่ถึงจะตกรอบทันที หากใครจับได้ชื่อเ้า แต่เ้าไม่ได้จับชื่อเขา เ้าจะต้องสู้กับคนคนนั้น ถือว่าเป็สหายสู้รบ แม้จะแพ้ก็ไม่นับเป็ผลคะแนนของเ้า แต่หากทั้งสองคนจับได้ชื่อกันและกัน ผู้ชนะได้หนึ่งคะแนน ส่วนผู้แพ้เสียหนึ่งคะแนน สุดท้ายแล้วการจัดอันดับก็ขึ้นอยู่กับความสามารถของพวกเ้า”
เมื่อผู้คนได้ยินเช่นนั้นต่างกะพริบตาถี่ รอบนี้ต้องคว้าชัยชนะสามในห้ารอบ ต่อสู้กับห้าคนที่ตนจับฉลากได้ หากเ้าทำคะแนนสามในห้าก็จะได้เข้ารอบต่อไป หากต่ำกว่าสามคะแนนต้องตกรอบ และสูญเสียโอกาสในการ่ชิงอันดับที่ดีที่สุดไป
แต่หากใครจับฉลากได้ผู้อื่นโดยที่อีกฝ่ายมิได้จับชื่อ จำต้องต่อสู้ในฐานะสหายสู้รบ แม้จะแพ้ก็ไม่ส่งผลกระทบต่อคะแนน ถึงอย่างนั้นก็ไม่มีทางเต็มใจยอมรับความพ่ายแพ้ ทั้งที่ปล่อยให้ผู้อื่นได้ชัยชนะไปเปล่า ๆ
ต้องรู้ก่อนว่าภายใต้กฎอันโเี้นี้ เพียงหนึ่งคะแนนก็มีผลกระทบต่อการจัดอันดับของคนคนหนึ่งแล้ว
ดังนั้นเมื่อถูกผู้อื่นจับได้โดยที่ตนมิได้จับโดนชื่อนั้น ก็ต้องต่อสู้อย่างสุดกำลัง เพื่อไม่ให้อีกฝ่ายคว้าชัยชนะไปได้
“การแข่งขันของสิบอันดับแรกดุเดือดอย่างที่คาดไว้ นี่สิคือการวัดพลังอย่างแท้จริง ชนะเป็จ้าว แพ้เป็โจร หากไร้ความสามารถก็ถูกคัดออก”
ผู้คนคิดในใจขณะมองเวทีประลองไม่วางตา เหมือนกลัวพลาดรายละเอียดบางอย่างไป แม้การต่อสู้ยังไม่เริ่ม แต่หัวใจของพวกเขาก็สั่นระรัวด้วยความตื่นเต้น
ต่อจากนั้นก็เข้าสู่การจับฉลาก โดยมีหญิงรับใช้ 10 คนเดินขึ้นเวทีประลอง ก่อนจะยื่นกล่องฉลากไปด้านหน้าของผู้เข้าแข่งขันทั้ง 10 คน
ครู่ต่อมา ทั้ง 10 คนรวมทั้งเย่เฟิงล้วงกล่องไปจับฉลาก 5 ใบ
เย่เฟิงถือฉลาก 5 ใบที่ตนเพิ่งจับได้ พร้อมกับแววตาทอประกายคมกริบ ศึกจับฉลากนี้ต้องพึ่งโชค หากโชคดีคู่ต่อสู้ 5 คนที่จับได้อาจจะเป็คนอ่อนแอ แต่หากโชคไม่ดีก็คงจับได้ผู้แข็งแกร่งทั้งหมด
แต่นั่นไม่ใช่สิ่งที่โชคร้ายที่สุด เพราะโชคของแต่ละคนอยู่ในกำมือของผู้อื่น
หากมีคนจับชื่อเ้าได้หลายคน เ้าก็ต้องต่อสู้หลายครั้งด้วยในฐานะสหายสู้รบ แม้เ้าจะแข็งแกร่ง แต่เมื่อสูญเสียความเป็ตัวเองในการต่อสู้ กำลังของเ้าจะหายไป และทำให้เ้าสำแดงพลังของตนในศึกสำคัญได้ไม่ดีเท่าที่ควร
เย่เฟิงค่อย ๆ แบมือออก ก่อนห้ารายชื่อที่ตนจับได้จะปรากฏในสายตา
“จงเทา เว่ยจี้ เฉินอ้าวเทียน เจียงเผิง ฉินเยียนหราน”
เมื่อเย่เฟิงเห็นรายชื่อของห้าคู่ต่อสู้ที่ตนจับได้ก็ตาเผยประกายคมกริบ อาจกล่าวได้ว่าห้าคนที่จับชื่อได้นี้ ถือว่าโชคของเย่เฟิงไม่เลว ถึงอย่างไรตู๋กูหลงและนี่จ้านเทียนก็ไม่ได้ปรากฏอยู่ในรายชื่อที่เขาจับได้