Trigger/Content Warning List:
Death or dying
Blood
Mental illness
Self-injurious behavior (self-harm, eating disorders, etc.)
Suicide
นายกำลังพูดบ้าอะไรกัน?
อวี๋มู่จ้องมองใบหน้าของนักบวชน้อย ดวงตาหยุดอยู่ที่ปานกลีบดอกไม้ตรงหน้าผากที่ส่องแสงสีแดงจนแสบตา พลันทำให้นึกถึงชีหย่วน เหลียงเสี่ยวหาน และเว่ยจวินหยาง
เหมือนมีอะไรมาจุกอยู่ที่ลำคอเขา จนแทบจะหายใจไม่ออก
กลับชาติมาเกิดมีจริงอย่างนั้นหรือ?
หากว่ามีจริง เช่นนั้นพวกเขานั้นเป็คนเดียวกันอย่างนั้นหรือ?
ตอนนี้นักบวชน้อยเหมือนว่าจะมีความทรงจำของเฟิงอวี้แล้ว พวกเขาหลอมรวมกันแล้วอย่างนั้นหรือ?
อวี๋มู่มองไปที่เหนือศีรษะของหย่งอวี้ พบว่าคะแนนความประทับใจยังคงเป็สองแถบเหมือนเดิม เพียงแต่ว่าแถบของหย่งอวี้นั้นกลายเป็ห้าดวงแล้ว
เต็มแล้ว
[โฮสต์ครับ ภารกิจของเรา...สำเร็จแล้วครับ]
น้ำเสียงของระบบต่ำมาก แต่ก็แจ้งเตือนอวี๋มู่ว่า อีก24ชั่วโมงหลังจากนี้พวกเขาต้องจากไปแล้ว
“อาจารย์...” อวี๋มู่เรียกหย่งอวี้ แต่ไม่รู้ว่าควรกล่าวอะไรดี ตอนนี้ในสมองเขาสับสนอย่างมาก เขารู้สึกว่าเขา้ากล่าวลากับนักบวชน้อย เพียงแต่ตอนนี้สถานการณ์แบบนี้ทำให้เขารู้สึกหวาดกลัวถึงขั้นสุด
รู้สึกเหมือนกำลังจะมีเื่ไม่คาดคิดเกิดขึ้น
หย่งอวี้ลุกขึ้นยืน เดินไปยังม่านคาถา เผชิญหน้ากับอวี๋มู่ สองมือประกบกันแล้วคำนับเขา ก่อนเอ่ย “โยมอวี๋ ขอบใจเ้ามาก”
เขาเอ่ย “ขอบใจที่อยู่เป็เพื่อนข้าในสองปีที่ผ่านมา เ้าสอนให้อาตมารู้จักความชอบและไยจึงรัก เพราะเ้าที่ทำให้ข้ามีความกล้าที่จะเดินเข้าหาแสงตะวัน ถึงแม้ว่าสุดท้ายจะไม่มีใครยอมรับเช่นเดิม แต่่ระยะเวลานี้ เพียงแค่ข้าคิด ก็รู้สึกว่าที่ตรงนี้...”
เขาวางมือทาบลงบนตำแหน่งหน้าอก แล้วกล่าวกับอวี๋มู่ “อบอุ่นมาก อบอุ่นเหลือเกิน...”
แต่แม้ว่าเขาจะกล่าวเช่นนี้ ยิ้มแย้มแบบนี้ น้ำตาก็ยังหลั่งรินออกมาอย่างไม่เชื่อฟัง ั์ตาดำขลับของเขาเปลี่ยนเป็สีแดง เขาเอ่ย “อวี๋มู่ ข้าเจ็บ ที่ตรงนี้มันเจ็บมาก เจ็บมากเหลือเกิน...”
เหมือนบุคลิกของเขาตอนนี้ไม่แน่นอน ขณะนี้เป็บุคลิกของเฟิงอวี้ เล็บยาวแหลมคมทิ่มแทงเนื้อผ้า ทิ่มแทงิั นักบวชน้อยน้ำตาไหลรินอย่างตื่นตระหนกและจิตใจเลื่อนลอย
“อวี๋มู่ ข้าเจ็บ เจ็บเหลือเกิน...” เขาเอ่ย “ข้าควักมันออกมาจะได้หรือไม่ ถ้าควักมันออกมาก็จะไม่เ็ปแล้วใช่ไหม? ”
“อย่า! เฟิงอวี้ เ้าจงเชื่อฟัง เ้าอย่าทำแบบนี้! ”
ครั้งนี้อวี๋มู่หวาดวิตกอย่างแท้จริงแล้ว เขาทุบตีม่านคาถาอย่างสุดความสามารถ ร้อนรนจนมือเท้าสั่น
“แต่ใจของข้าบอกกับข้าว่า เ้าไม่ได้รักข้า ดังนั้นมันก็เลยเจ็บปางตาย มันเจ็บเกินไป ข้าไม่อาจปล่อยให้มันเจ็บแบบนี้ต่อไปอีกแล้ว...” เฟิงอวี้สะอื้นไห้เหมือนเด็กน้อย ในที่สุดคำพูดที่สะกดกลั้นอยู่ในใจมานานก็ได้ระบายออกมา เขาเอ่ย “เ้าหลอกลวงข้ามาตลอด อันที่จริง ตัวเ้า ที่จริงแล้วเ้าไม่เคยรักข้า...ข้ารู้อยู่แก่ใจ เ้า้าจะจากข้าไป เ้าจะทอดทิ้งข้าไป...”
เล็บของเขาทิ่มแทงเข้าไปในเนื้อของตัวเองเรียบร้อย เืซึมออกมาบนเสื้อผ้า ทำให้ผ้าตรงส่วนนั้นเปลี่ยนเป็สีเข้ม
มืออีกข้างของเขาแนบเข้ากับม่านคาถาที่มองไม่เห็น ราวกับว่ากำลังััใบหน้าของอวี๋มู่อยู่ น้ำตาไหลอาบแก้ม เอ่ยถามเขา “อวี๋มู่ ข้าอยากได้ยินเ้าเล่านิทานให้ข้าฟังอีก แต่ไม่ได้หรอก ข้ารู้ดี หัวใจของเ้าไม่ได้อยู่ที่ข้า ที่เ้าใกล้ชิดข้าก็เพื่อผู้อื่น ั้แ่เริ่มแรก เ้านั้นหวาดกลัวข้า เ้าหลอกลวงข้า เ้าจะมารักคนเช่นข้าได้อย่างไรกัน...”
เขาเอ่ย “ไม่เคยมีใครรักข้าอยู่แล้ว...ข้ารู้ตั้งนานแล้ว...คนหัวโล้นพวกนั้นโกหกข้า พระพุทธเ้าที่หย่งอวี้ศรัทธาก็โกหกข้า พวกเ้าล้วนโกหกข้า...”
อวี๋มู่ใช้เรี่ยวแรงทั้งหมดที่มี เขาไม่เคยรู้สึกว่าตัวเองนั้นไม่เอาไหนถึงเพียงนี้มาก่อน ทำอะไรไม่ได้แม้แต่อย่างเดียว!
เขามองดูนักบวชน้อยที่อยู่ในม่านคาถาแล้วะโ “เฟิงอวี้ ท่านอย่าทำอะไรโง่ๆ นะ! ท่านเปิดม่านคาถาเดี๋ยวนี้! สิ่งที่เฟิงฉี่บอกกับเ้าล้วนเป็เื่โกหก! ข้ากับเขาไม่ได้มีความรู้สึกต่อกันเลย! ท่านเปิดม่านออก เ้า้ารู้อะไร ข้าจะบอกท่านให้หมด! ”
ท่าทางตื่นใของเขาอยู่ในสายตาของเฟิงอวี้ ทำให้ั์ตาสีแดงนั้นค่อยๆ จางไป นักบวชน้อยหยุดการกระทำนั้นไว้ แววตากลับสู่สภาวะสงบนิ่ง
อวี๋มู่ถอนหายใจเฮือกใหญ่ มองดูเฟิงอวี้ที่เหมือนว่าจะได้สติแล้ว พลางโล่งอก แต่พอได้ยินคำพูดต่อมาของอีกฝ่ายก็ตัวแข็งทื่อทันใด
“อวี๋มู่ อย่าโกหกข้า”
ขณะนี้คะแนนความประทับใจสองแถบผสานรวมกันเป็แถบเดียวซึ่งมีหัวใจเต็มห้าดวง
บุคลิกของเฟิงอวี้ที่หายไปครู่หนึ่งนั้นกลับมาอีกครั้ง
เขาดูเหมือนไม่มีใจจะเสแสร้งอีกต่อไป แววตาจดจ้องที่อวี๋มู่ไม่ละสายตา
เขาเอ่ย “เ้าชิงชังข้า”
เหมือนความคิดของเขาย้อนกลับไปยังคืนที่บ้าคลั่ง จู่ๆ ขบริมฝีปากล่างแล้วหัวเราะเยาะตัวเองขึ้นมา “โพธิสัตว์พูดถูก สำหรับข้า เ้านั้นไม่อาจปรารถนาได้ ปีศาจร้ายพูดก็ถูก เ้าไม่เคยรักข้ามาก่อน”
“ระหว่างเราเริ่มต้นจากการโกหก แต่เป็ข้าเองที่ยินยอมจะลิ้มรสชาติหวานล้ำ แม้สุดท้ายจะต้องตกหลุม พูดความจริง...”
“ไม่ใช่เพียงครั้งเดียวที่ข้า้าเ้าไว้ในเงื้อมมือของข้า ให้เ้าเฝ้ามองเพียงข้า อยู่เคียงข้างข้าผู้เดียว”
“ข้าถึงขั้นอยากฆ่าเ้าเสีย”
“ข้ารู้ดี เ้าขยะแขยงข้าที่เป็เช่นนี้ และเ้าก็เคยชิงชังข้าที่เป็แบบนี้ ข้าทำผิดก็ถือว่าผิดไป แม้ว่าปีศาจร้ายจะขอโทษแทนข้า...แต่ข้าก็ยังต้องกล่าวขอโทษเ้าอีกครั้ง”
เขามองดูอวี๋มู่ มุมปากยกขึ้นเบาๆ แล้วเอ่ยซ้ำด้วยน้ำเสียงหนักแน่น
“อวี๋มู่ ขอโทษที่บังคับเ้า ทำร้ายเ้า”
อวี๋มู่ตกตะลึงกับสิ่งที่เขาสารภาพ จู่ๆ เขาก็เหมือนลิ้นจุกปาก ไม่รู้ควรกล่าวอะไรบ้าง
เพราะเขารู้ว่า เฟิงอวี้กล่าวถูกต้อง
เขาโกหกอีกฝ่ายมาโดยตลอด
เขาไม่อาจอยู่เคียงข้างเฟิงอวี้ไปตลอดได้ เพราะเขายังต้องไปต่อยังโลกถัดไป
เขาได้ยินเฟิงอวี้ถาม “เ้าให้อภัยข้าได้หรือไม่? ”
อวี๋มู่กำหมัดแน่น ตอบเขา “ข้าให้อภัยท่าน ดังนั้นท่านสงบสติลงก่อน เปิดม่านออก พวกเรารีบออกไปจากที่นี่เถอะ อย่าให้ถูกคนจากพระราชวังจับได้”
เมื่อได้ยินคำให้อภัย นักบวชน้อยก็เหมือนกับได้สติ เขาเอียงคอยิ้มออกมา ลักยิ้มสองข้างสวยงามอย่างมาก
เขาเอ่ยถาม “อวี๋มู่ เ้ายังจำคำพูดที่ข้าเคยพูดกับเ้าได้หรือไม่”
“อะไรหรือ? ”
เฟิงอวี้กวักมือให้เขาเข้ามาใกล้ม่านคาถา จากนั้นทาบมือไว้ตรงตำแหน่งหน้าอกของอวี๋มู่โดยมีกำแพงม่านคาถาที่ล่องหนกั้นอยู่
“ข้าบอกว่า ข้าอยากให้เ้าฟื้นคืนชีพ ข้าอยากรับรู้ตอนที่หัวใจของเ้ากำลังเต้น รับรู้ความอบอุ่นจากกายของเ้า...เหมือนกับที่หย่งอวี้บอก บางทีพวกเราอาจจะมีภพที่แล้ว แต่ภพนั้น ในความทรงจำของข้าร่างกายของเ้านั้นร้อนรุ่ม อบอุ่น ข้าอยากโอบกอดเ้าไว้ ซุกในอ้อมอกของเ้า ฟังเสียงหัวใจเ้าเต้น...”
อวี๋มู่ทุบม่านคาถา แววตาของเขาจดจ้องที่มือของอีกฝ่าย มองดูเืที่ไหลซึมออกมาไม่หยุด น้ำเสียงของเขานั้นสั่นเครือโดยที่เขาก็ไม่รู้ตัว “เฟิงอวี้ เปิดออกเถอะ...”
“ขอร้องท่านล่ะ ช่วยเปิดออกที”
เฟิงอวี้ได้ยินเสียงเขาอ้อนวอน ก็ตกตะลึงเล็กน้อย จากนั้นก็ส่ายศีรษะ เขาเผลอหัวเราะออกมา “อวี๋มู่ ที่จริงพูดแล้วก็น่าขันนัก”
“สองปีที่แล้วข้ายังเคียดแค้นพวกลาหัวโล้นที่คอยพูดเื่เสียสละตัวเองเพื่อเติมเต็มคนอื่นให้หย่งอวี้ฟังว่า นิทานธรรมะบ้าบอน่าเบื่อ มาตอนนี้ตัวเองกลับอยากเป็อย่างหนึ่งในนิทานเ่าั้เสียเอง...”
มือขวาของเขาค่อยๆ จิ้มทะลุิัลึกลงไปอีก และมีเืไหลทะลักออกมามากกว่าเดิม แต่เขาเพียงแค่ขมวดคิ้วเล็กน้อย แล้วเอ่ย “ข้าจะยกหัวใจดวงนี้ให้เ้า นับว่าเป็การหลอมรวมกายเดียวกับเ้าก็ได้สินะ”
มุมปากมีเืไหล เขายิ้มออกมา เอ่ยว่า “ข้าหวังว่าเ้าจะสามารถใช้ชีวิตบนโลกใบนี้แทนข้าได้ ยืนอยู่ท่ามกลางแสงตะวันอย่างที่เ้า้า...”
เขาเอ่ย “อวี๋มู่ เ้ากับข้าไม่เหมือนกัน เ้านั้นเมตตา สะอาดบริสุทธิ์ มีคนมากมายจะรักใคร่เ้า หลังจากเ้าคืนชีพจะสามารถอยู่อย่างมีความสุข”
นักบวชน้อยแววตาเปลี่ยนเป็สีดำสนิท ใสบริสุทธิ์เหมือนตอนที่อวี๋มู่เจอเขาครั้งแรก เขาเอ่ย
“อวี๋มู่ ข้าหวังว่าเ้าจะมีความสุข”
อวี๋มู่แทบจะเป็บ้าแล้ว เขาถีบม่านคาถาอย่างดุดัน พร้อมกับะโ
“เฟิงอวี้! ท่านเปิดออกนะ! เปิดออก!! ”
“ท่านมันพวกโง่เง่าหรืออย่างไร!! ข้าไม่ได้้าหัวใจของท่าน!! ข้าไม่ได้อยากจะมีชีวิตแทนท่าน!! ท่านได้ยินหรือเปล่า!! ท่านเปิดออกสิ!! รีบเปิดออก!!! ”
เพียงแต่สิ่งเ่าั้แทบเปล่าประโยชน์ เขาทำได้เพียงมองเฟิงอวี้ใช้มือฉีกเนื้อผ้าขาดแล้วทะลวงเข้าไปตรงหน้าอก จากนั้นควักเอาหัวใจสีแดงสดที่กำลังเต้นอยู่ออกมา
จังหวะที่ควักออกมานั้น เฟิงอวี้เข่าทรุดลงกับพื้น ม่านคาถานั้นก็พังทลายลงพร้อมกับเสียงนั้น อวี๋มู่พุ่งไปรับตัวเขาไว้
“ใส่กลับเข้าไป ใส่กลับเข้าไปสิ! ต้องมีหนทางใส่กลับเข้าไปได้! ” อวี๋มู่พยุงนักบวชน้อยไว้ มือสั่นจนไม่เป็อันทำอะไร เขาผลักมือของเฟิงอวี้ที่เปียกชุ่มด้วยเือยู่ตรงหน้าเขา หมายจะให้วางหัวใจกลับเข้าไปยังหน้าอกของอีกฝ่าย น้ำตาไหลรินลงมาอย่างไม่สนใจ “ใส่คืนกลับไป ใส่กลับไป...”
เขาะโเสียงดัง “เ้าระบบ เ้าระบบออกมา!! นายลองดูสิว่าช่วยเขาได้หรือเปล่า ช่วยเขาได้ไหม!!”
เขาถึงกับลืมการสนทนาในใจ เปล่งเสียงะโออกมาอย่างบ้าคลั่ง แม้ว่าจะเป็การเปิดเผยเื่ตัวตนของระบบก็หาได้ใส่ใจ
[โฮสต์ครับ ผมทำไม่ได้...]
คำพูดหนึ่งคำของเขาทำเอาสติสัมปชัญญะของอวี๋มู่แหลกละเอียด เขาแทบจะแตกสลาย
เขาพยุงตัวเฟิงอวี้ “นักบวชน้อย ท่านเป็ราชันปีศาจ ท่านต้องมีชีวิตอยู่ต่อไป ใส่หัวใจคืนกลับไปดีไหม ดีหรือเปล่า? ”
“ขอร้อง...ท่านเอามันคืนกลับไปเถอะ ท่านต้องมีชีวิตอยู่ ท่านต้องมีชีวิตอยู่...ขอร้อง ต้องอยู่ต่อไปนะ...”
เขากล่าววนๆ ซ้ำๆ อยู่นับครั้งไม่ถ้วน จนไม่เป็คำพูด มองดูรูโบ๋ใหญ่ตรงหน้าอกของเฟิงอวี้มีเืไหลทะลักออกมาต่อหน้าต่อตา ขณะนั้นทั่วทั้งโถงสุสานมีแต่กลิ่นคาวเืเต็มไปหมด
สติของเฟิงอวี้เริ่มพร่าเลือน แต่เขาพยายามทำให้ตัวเองนั้นตื่น แล้วยื่นหัวใจนั้นไปตรงหน้าอวี๋มู่
เขาเอ่ย “อวี๋มู่... เ้าได้ยินเสียงของหัวใจข้าพูดอยู่หรือไม่? มันบอกว่า...ไม่ต้องร้องไห้...อวี๋มู่...อย่าร้อง...”
เขาใช้มืออีกข้างขึ้นมาเช็ดแก้มที่อาบน้ำตาของชายหนุ่ม พยายามอย่างมากที่จะยิ้มออกมา แล้วเอ่ย “พอเ้าร้อง มันก็ ก็จะเ็ป...”
เขาปล่อยมือลง พยายามหายใจ ทำให้ตัวเองเข้าใกล้อ้อมอกของอวี๋มู่ เอ่ยอ้อนวอน “อวี๋มู่ เ้ากอด กอดข้าหน่อย...จะได้หรือไม่? ”
เขาเอ่ย “ข้ารู้สึกหนาว...”
อวี๋มู่โอบกอดเฟิงอวี้ไว้แน่น เขาไม่เคยรู้สึกเ็ปทรมานเพียงนี้มาก่อน เขารู้สึกว่าทั่วทั้งร่างแทบจะพรุนไปด้วยความเ็ปแสนสาหัส
เขากลืนน้ำลาย “เฟิงอวี้ ท่านป่วยไปแล้วหรืออย่างไร...ท่านโง่ไปแล้วหรืออย่างไร? ข้าไม่เคย้าหัวใจของท่าน ข้าก็เกลียดชังเฟิงฉี่ แม้ว่าข้าจะโกหกท่านมากมาย แต่อันที่จริงข้านั้นชอบท่าน ข้าอยากให้ท่านมีชีวิตอยู่...ข้า้าให้ท่านอยู่ดี ใช้ชีวิตต่อไปดีๆ...”
เฟิงอวี้ไม่ค่อยได้ยินคำพูดของเขาชัดเจนมากนัก เขาวางมือที่ถือหัวใจไว้ระหว่างทั้งสองคน และยังอยู่ในอ้อมอกของอวี๋มู่ พยายามขานชื่อของอวี๋มู่
“อวี๋มู่...”
เขาหลับตาลง ในสมองมีแต่ความทรงจำเ่าั้ที่ฉายภาพซ้ำ เหมือนว่าเขากลายเป็พระเอกเว่ยจวินหยางในนิทานที่อวี๋มู่เคยเล่าให้เขาฟังตอนนั้น
เขาชอบอวี๋มู่มาก และชอบฝืนบังคับอีกฝ่ายให้ทำเื่ที่ไม่ชอบ แถมยังรู้สึกมีความสุขอย่างชั่วร้ายเวลาที่ได้ทำให้อีกฝ่ายอับอาย
ร่างกายเย็บเฉียบลงเรื่อยๆ เฟิงอวี้ขยับมือที่ว่างเปล่า วางทาบนิ้วชี้ลงบนริมฝีปากของตัวเอง เขายิ้มเบาๆ แล้วเอ่ยกับอวี๋มู่
“เ้า...จูบข้าสักครั้งจะได้...หรือไม่? ”
อวี๋มู่ตกตะลึง น้ำตานองหน้าจนทำให้เขามองใบหน้าของเฟิงอวี้ไม่ชัด เพียงแต่เขายังได้ยินเสียงอ้อนวอนของอีกฝ่ายอย่างชัดเจน
ครั้งนี้เขาไม่ได้ลังเล โน้มตัวลงไปแล้วประทับรอยจูบลงบนริมฝีปากของนักบวชน้อย
ริมฝีปากเย็นเฉียบของทั้งสองประกบกัน เืสีสดเปื้อนริมฝีปากบางเบาของอวี๋มู่
จากนั้นได้ยินคำขอร้องอีกครั้งของเฟิงอวี้
“อวี๋มู่ ภพหน้า อย่าโกหกข้าอีกได้หรือไม่...”
เฟิงอวี้ไม่คาดหวังว่าอวี๋มู่จะให้คำตอบแน่ชัดแก่เขา
ชายหนุ่มก็ไม่ได้เอ่ยอะไรออกมาจริงๆ เพียงแต่กัดริมฝีปากล่างแน่น กล่าวไม่เป็คำพูด
เขากระอักเืออกมา ขณะที่สบตากับอวี๋มู่ที่เริ่มตื่นใและเ็ปหนักกว่าเดิมนั้น ก็ถอนหายใจออกมา
ในเมื่อเ้ายืนกรานที่จะโกหก ข้าก็ได้แต่เป็คนโง่ต่อไป ยินยอมที่จะให้เ้าหลอกลวง...
อวี๋มู่
ภพหน้า พวกเราค่อยเจอกันใหม่
*
ท้ายที่สุด อวี๋มู่ก็ถูกระบบขืนลากตัวออกไปจากโลกนี้
ผลลัพธ์ของการบังคับให้จากไปคือ ร่างเดิมของิญญาพิศวาสนั้นแหลกสลายทันทีที่สุสาน
กระทั่งตอนที่เฟิงฉี่มาถึง ที่สุสานก็เหลือเพียงร่างไร้ิญญาของเฟิงอวี้กับกำไลที่หล่นอยู่ข้างมือนักบวชน้อย มันวางอยู่บนปลายนิ้วของอีกฝ่าย ราวกับว่าอยู่ด้วยกัน แม้นความตายก็ไม่อาจพรากจากได้
---------------------------------------------------------------------------
