สวี่ฮุ่ยหันไปถามผู้อำนวยการหงอย่างสุภาพ “คุณป้าคะ ขอยืมโทรศัพท์หน่อยได้ไหมคะ?”
ผู้อำนวยการหงพยักหน้า “ได้สิ”
สวี่ฮุ่ยต่อสายโทรศัพท์ไปบ้านอาจารย์ใหญ่โจว “อาจารย์ใหญ่โจวคะ วันนั้นที่หนูไปร่วมประชุมประกาศเกียรติคุณในเมือง เสื้อผ้า รองเท้า ถุงเท้าที่อาจารย์ใหญ่ซื้อให้หนู แม่บอกว่าแม่เป็คนซื้อให้หนูค่ะ”
อาจารย์ใหญ่โจวแสดงอาการโกรธจัดผ่านโทรศัพท์ “แม่เธอหน้าไม่อายไปใหญ่แล้วมั้ง? ตอนเธอไปร่วมประชุมในเมือง เธอไม่มีเสื้อผ้าดี ๆ สักกะตัว ต้องไปยืมเสื้อผ้าของเพื่อนบ้านมาใส่ ฉันเห็นว่าไม่ควรยืมเสื้อผ้าเพื่อนบ้านบ่อย ๆ เลยตั้งใจซื้อเสื้อผ้า ซื้อรองเท้าใหม่ให้เธอใส่ไปร่วมประชุมประกาศเกียรติคุณ แล้วมันกลายเป็ว่าแม่เธอเป็คนซื้อได้ยังไง?!”
ในยุค 80 เสียงโทรศัพท์มักจะรั่วไหลออกมา แม้ว่าไม่ได้เปิดลำโพงโทรศัพท์ แต่ทุกคนที่อยู่ในเหตุการณ์ก็ได้ยินบทสนทนาระหว่างอาจารย์และลูกศิษย์ สายตาที่เพื่อนร่วมงานและหัวหน้ามองกู่ซิ่วเต็มไปด้วยความหมายที่หลากหลาย
สายตาเ่าั้ทำให้กู่ซิ่วรู้สึกเหมือนโดนเข็มทิ่มแทง
ผู้อำนวยการหงทำหน้าเคร่งขรึมตำหนิกู่ซิ่ว “การทำผิดไม่น่ากลัวเท่ากับไม่รู้จักสำนึกผิด ฉันขอเตือนเธอนะ ถ้าเธอยังกล้าบังคับลูกสาวคนโตให้ยกคะแนนสอบและเงินรางวัลทั้งหมดให้น้องสาวอีก อย่าหาว่าฉันไม่เตือน!”
กู่ซิ่วหน้าซีดเผือด “ฉัน…ฉันจะไม่ทำอีกแล้วค่ะ”
“แล้วห้ามไล่สวี่ฮุ่ยออกจากบ้านด้วย”
กู่ซิ่วรับคำอย่างว่าง่าย
สวี่ฮุ่ยจึงเดินจากไป
เธอไม่ได้อยากอาศัยอยู่ในบ้านสกุลสวี่สักเท่าไหร่
เพียงแต่ท่าทีของคนในครอบครัวทำให้เธอมีแผนใหม่สำหรับอนาคต
เธอไม่้าบ้านหลังนี้อีกแล้ว เธอต้องหาบ้านใหม่เป็ของตัวเอง
เธออยากสร้างบ้านที่เมืองเจียงเฉิง สะดวกทั้งการเรียนและการหางานพิเศษทำใน่ปิดเทอม ถ้าอย่างนั้นก็ต้องมีเงินซื้อบ้านก่อน
ไม่รู้ว่าตอนนี้ราคาบ้านที่เมืองเจียงเฉิงเท่าไหร่แล้ว
ปัจจุบันเธอมีเงินแค่ห้าพันกว่าหยวน
ดังนั้นต้องหาวิธีเก็บเงินให้ได้มากที่สุดเพื่อซื้อบ้าน
นี่คือเหตุผลที่เธอยังคงอาศัยอยู่ในบ้านสกุลสวี่ เพราะสะดวกในการจับปลาไหลและตะพาบไปขายต่อ
มหาวิทยาลัยปกติจะเปิดภาคเรียนวันที่ 15 กันยายน นั่นก็หมายความว่าเธอจะอยู่ที่บ้านสกุลสวี่อีกแค่เดือนกว่า ๆ พอไปเรียนแล้วก็จะไม่กลับมาอีก
เธออยากจะดูซิว่าถ้าไม่มีเธอแล้ว บ้านสกุลสวี่จะมีความสุขกันขนาดไหน!
สวี่ฮุ่ยกลับบ้านไปเอาปลาไหลมาส่งให้คุณลุงจาง
พอเจอหน้าคุณลุงจาง เธอก็อธิบายเหตุผลด้วยความละอายใจว่าทำไมวันนี้ถึงมาสาย
คุณลุงจางยิ้มแล้วบอกว่าไม่เป็ไร เธอมาส่งสาย เขาก็ไปซื้อที่ตลาดได้ ไม่ได้ส่งผลต่อการค้าขายเลย
ด้วยความรู้สึกผิด สวี่ฮุ่ยจึงรับเงินค่าปลาไหลแค่สิบห้าจินจากปลาไหลทั้งกว่าสามสิบจิน ส่วนที่เหลือถือว่าแถมให้คุณลุงจาง
สวี่ฮุ่ยยังไม่ได้กินมื้อเช้าจนตอนนี้ เธอจึงไปซื้อเกี๊ยวน้ำที่ร้านอาหารเล็ก ๆ มากิน แล้วไปโรงพยาบาลอำเภอต่อ
ถึงแม้สวี่ต้าซานจะบอกว่าเธอเป็ลูกสาวแท้ ๆ ของพวกเขา แต่สวี่ฮุ่ยยังไม่เชื่อ
เธอต้องสืบหาความจริงด้วยตัวเอง โดยเริ่มจากโรงพยาบาลอำเภอที่กู่ซิ่วมาทำคลอดเธอกับสวี่เยว่
เมื่อถึงโรงพยาบาล สวี่ฮุ่ยไปที่แผนกจัดการเวชระเบียน ขอค้นหารายชื่อแพทย์และพยาบาลที่ทำคลอดให้กู่ซิ่วในปีนั้น
ตอนแรกเ้าหน้าที่เก็บเวชระเบียนหาข้ออ้างไม่ยอมค้นหาให้ แต่พอสวี่ฮุ่ยยัดเงินเขาไปห้าหยวน เขาก็รีบหาให้อย่างรวดเร็วและละเอียดถี่ถ้วน
ถึงอย่างนั้น เ้าหน้าที่เก็บเวชระเบียนก็ใช้เวลาเกือบสามชั่วโมงกว่าจะหารายชื่อที่สวี่ฮุ่ย้าเจอ
สวี่ฮุ่ยตั้งใจว่าจะรอถึงบ่ายสองโมงก่อนแล้วค่อยไปถามบุคลากรทางการแพทย์เหล่านี้
เวลานี้ไม่เหมาะจะไปหาพวกเขา เดี๋ยวจะถูกเข้าใจผิดว่าเธอไปขออาหารกินฟรี
.......
พ่อแม่ไปทำงานกันหมด สวี่รั่วเฉินเป็คนที่อยู่เฉย ๆ ไม่ได้ เขาจึงหยิบสวิงออกไปจับปลาจับกุ้ง
ส่วนสวี่เยว่ที่ “อ่อนแอบอบบาง” ก็นอนอยู่บนเตียงจนเกือบสิบโมงเช้ากว่าจะลุกขึ้นมา
หลังจากหวีผมแต่งตัวเสร็จ เธอก็ถือเงินห้าเหมาที่กู่ซิ่วให้ไปกินมื้อเช้าที่ตำบล
ตอนขากลับ เธอเห็นชายหนุ่มรูปหล่อคนหนึ่งกับหญิงชราที่แต่งตัวดูมีระดับ บุคลิกสง่างามกำลังถามทางไปบ้านผู้จัดการโรงงานสวี่
สวี่เยว่หยุดฝีเท้าโดยไม่รู้ตัว หลบเข้าไปแอบฟังอยู่หลังต้นพุดตานข้างทางที่สูงจนท่วมหัว
คนแถวนั้นรู้จักสวี่ต้าซานกันหมด เหล่าแม่บ้านจึงรีบบอกทางให้ชายหนุ่มคนนั้น
แม่บ้านคนหนึ่งถามอย่างอยากรู้อยากเห็น “พวกคุณมาหาผู้จัดการสวี่มีธุระอะไรเหรอ?”
หญิงชราตอบ “สาวน้อยบ้านสกุลสวี่เคยช่วยชีวิตฉันไว้ วันนี้ฉันเลยพาหลานชายมาขอบคุณน่ะ”
ทุกคนต่างใคร่รู้ เด็กสาวบ้านสกุลสวี่ช่วยชีวิตคุณยายได้ยังไง
หญิงชรายิ้มแล้วตอบ “ฉันพักอยู่ที่ตัวอำเภอ วันหนึ่งฉันไปซื้อกับข้าว จู่ ๆ ก็เกิดอุบัติเหตุ ก็มีเด็กสาวบ้านสกุลสวี่ที่ช่วยห้ามเืให้ฉัน”
ทุกคนถามต่อว่าเป็ลูกสาวคนไหนของคุณสวี่ที่ช่วยชีวิตเธอไว้
หญิงชราส่ายหน้า “เื่นี้ฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน รู้แค่ว่าเป็ลูกสาวของผู้จัดการโรงงานสวี่ของโรงงานผลิตอาหารตำบลเถาฮวา”
แม่บ้านคนหนึ่งได้ยินหญิงชราเล่าว่าเธอประสบอุบัติเหตุที่ตัวเมือง จึงคาดเดาว่า “น่าจะเป็ลูกสาวคนเล็กของหัวหน้าสวี่นะ เธอเรียนอยู่แถวบ้านคุณยายที่ตัวอำเภอตลอดเลย”
สวี่เยว่ได้ยินแบบนั้น เธอก็อาศัยต้นไม้ดอกไม้ข้างทางบังเอาไว้แล้วรีบวิ่งกลับบ้าน
หลังจากเดินวนอยู่ในบ้านรอบหนึ่ง สวี่เยว่ก็เข้าไปในห้องสวี่ฮุ่ย
หยิบหนังสือแพทย์บนโต๊ะเขียนหนังสือของเธอมาที่ห้องนั่งเล่น เปิดประตูบ้านไว้ แล้วแสร้งทำเป็นั่งอ่านหนังสือแพทย์บนโต๊ะอาหาร
ยังอ่านไม่ถึงสิบนาที ก็ได้ยินเสียงคนถามมาจากข้างนอกบ้าน “หนูน้อย พวกเราเข้าไปได้ไหม?”
สวี่เยว่เงยหน้าขึ้นมอง เห็นชายหนุ่มที่ยืนอยู่ข้าง ๆ หญิงชรา เขาหล่อเหลามาก หล่อยิ่งกว่าดาราเสียอีก แถมยังตัวสูง กะดูแล้วน่าจะสูงเกินร้อยแปดสิบเิเ
แต่สวี่เยว่ไม่กล้ามองนาน เธอฝืนละสายตากลับมามองที่ใบหน้าของหญิงชรา
เธอทำหน้าดีใจ “คุณย่า มาได้ยังไงคะ? เชิญค่ะ เชิญค่ะ! คุณย่าหายดีแล้วเหรอคะ?”
คุณย่าเห็นสวี่เยว่จำเธอได้ แถมยังรู้อาการาเ็ของเธอด้วย
ยิ่งเห็นหนังสือแพทย์เล่มหนาบนโต๊ะอาหารก็ปักใจเชื่อว่าสวี่เยว่เป็เด็กสาวที่ช่วยชีวิตเธอไว้ทันที
หญิงชราคนนี้ไม่ใช่ใครอื่น แต่เป็คุณย่าลู่นั่นเอง
คุณย่าลู่ยิ้มแย้มแจ่มใส “หายดีแล้ว หายดีแล้ว! ถ้าวันนั้นไม่ได้เธอช่วยไว้ ยายแก่คนนี้อาจจะไม่อยู่บนโลกนี้อีกแล้ว!”
พูดจบ เธอก็บอกให้ลู่ฉี่โหย่วหลานชายคนที่สามที่มากับเธอนำของขวัญไปวางบนโต๊ะอาหาร
สวี่เยว่เห็นของขวัญเยอะมาก เธอก็รีบปฏิเสธ ไม่ว่ายังไงก็ไม่ยอมรับไว้
แต่คุณย่าลู่ยืนยันจะให้ ถ้าสวี่เยว่ไม่รับ เธอจะโกรธ
สวี่เยว่ร้อนใจจนเหงื่อแตก “นี่…นี่…นี่…หนูตัดสินใจเองไม่ได้จริง ๆ ถ้าพ่อแม่รู้ว่าหนูรับของขวัญแพง ๆ จากคุณย่าโดยพลการ ท่านต้องตีขาหนูหักแน่ ๆ บ้านหนูเข้มงวดมาก หนู…หนูจะโทรหาแม่ให้แม่กลับมาก่อน”
คุณย่าลู่โบกมือด้วยรอยยิ้มหยี “งั้นก็รีบไปสิ ไปสิ!”
เธอยังมีเงินขอบคุณสามพันหยวนที่อยากจะมอบให้พ่อแม่ของสวี่เยว่ด้วย
สวี่เยว่หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาต่อสายไปที่ทำงานของกู่ซิ่ว