เจิ้งหยวนแบ่งของเป็สองส่วน เมื่อตัดสินใจอะไรได้เสร็จสรรพแล้วจึงว่าพลางชี้หนึ่งในกองนั้น “พวกนี้เราเก็บไว้กินเอง ส่วนที่เหลือส่งให้สกุลเฝิงแล้วกัน”
พอได้ยิน หนิวหนิวกับเทียนเลี่ยงอดตื่นเต้นไม่ได้ ร้องขึ้นด้วยความดีใจ “จริงๆ น่ะเหรอ?” แต่เฉินชุ่ยอวิ๋นกลับไม่เห็นด้วย “ไม่ได้ เราจะเก็บของพวกนี้ไว้ทำไมล่ะ เอาไปส่งให้บ้านสามีแกทั้งหมดซะ!”
เจิ้งหยวนจนปัญญา รู้ว่าตัวเธอเองเกลี้ยกล่อมแม่ไม่ได้เลยขยิบตาให้เด็กน้อยทั้งสองแทน แน่นอนว่าหนิวหนิวกับเทียนเลี่ยงรู้ทันมาก เข้าไปกอดแขนเฉินชุ่ยอวิ๋นแล้วเขย่าคนละข้าง
“คุณแม่ครับ พี่สาวบอกว่าเหลือไว้แล้วก็เก็บไว้นิดหน่อยเถอะ! อีกอย่าง มีตั้งเยอะขนาดนั้น!”
“คุณย่าครับ อาหญิงรองก็บอกแล้วนี่นา เก็บไว้หน่อยเถอะ! มีเยอะขนาดนั้น!”
เด็กๆ ทั้งสองต่างเป็แก้วตาดวงใจของเฉินชุ่ยอวิ๋น พอโดนพันแข้งพันขาเช่นนี้ เฉินชุ่ยอวิ๋นก็ใจอ่อนยวบกะทันหัน แม้จะอยากทำใจแข็งแล้วบอกว่าไม่ได้ แต่พอเห็นข้าวของกองเบ้อเริ่มแล้วไหนจะท่าทางหิวโหยของเด็กน้อยสองคนที่บ้าน เธอดันพูดไม่ออกเสียอย่างนั้น
เจิ้งหยวนเห็นสีหน้ามารดาก็รู้ว่าเธอลังเลแล้ว พอเห็นดังนั้นเลยรีบตัดจบรวบรัดอย่างรวดเร็วว่า “งั้นเอาอย่างนี้นะ เราเก็บไว้ที่บ้านครึ่งหนึ่ง ให้สกุลเฝิงครึ่งหนึ่งแล้วกันเนอะ”
ครึ่งหนึ่งก็หลายจินเลยน่ะสิ! แม้จะโดนเด็กๆ ออดอ้อนขนาดนี้ แต่เฉินชุ่ยอวิ๋นก็ยังไม่เห็นด้วยอยู่ดี เธอรีบแย้งทันที “ไม่ได้ๆ พวกเราเก็บไว้ชิมนิดหน่อยก็พอแล้ว นี่ใช้เงินที่เจี้ยนเหวินส่งมาซื้อ ควรจะนำไปให้บ้านสามีแกต่างหาก”
“เจี้ยนเหวินส่งเงินมาให้ แต่เขาไม่ได้ส่งคูปองมาเยอะนะคะ!” เจิ้งหยวนกลอกตามองบน แล้วพยายามอธิบายกับเฉินชุ่ยอวิ๋นอย่างใจเย็น “แม่ แม่คิดว่าของพวกนี้ใช้แค่เงินก็ซื้อได้เหรอคะ ฉันก็ลงแรงไปไม่น้อยเหมือนกันนะ ต้องเดินวนหลายตลบ หาคนหลายคนถึงจะหาของพวกนี้ได้ แล้วฉันจะหามาเยอะแยะขนาดนี้ทำไม ถ้าไม่ใช่เพราะอยากเก็บไว้ให้คนที่บ้านกินด้วยน่ะ? แม่ดูพี่กับพ่อสิ ได้กินอาหารดีๆ ไม่กี่ครั้งตลอดหลายปีที่ผ่านมา! คราวก่อนเจี้ยนเหวินอุตส่าห์ส่งของมาเยอะแยะ แล้วทำไมถึงส่งของให้แม่กับพ่อเขาด้วยล่ะ? ไม่ใช่เพราะ้าแสดงความกตัญญูกับพวกท่านเหรอ? แค่นี้ก็ชัดเจนแล้วว่าเขาเป็คนกตัญญู ถ้าเขารู้ว่าฉันนำเงินที่เขาให้มาตอบแทนคุณพวกท่าน เขาต้องมีความสุขแน่ค่ะ”
เฉินชุ่ยอวิ๋นรู้ดีว่าลูกสาวมีใจกตัญญู เธออยากให้ที่บ้านได้กินของดีๆ เธออยู่โรงพยาบาลนานขนาดนั้น ไม่รู้ว่าเจิ้งหยวนใช้ของดีๆ ทำอาหารให้เธอตั้งเท่าไร แต่พอกลับบ้านมา ข้าวของในโถแป้ง ในโหลน้ำมันพร่องลงไปแค่นิดเดียว! บ่งบอกว่าปกติแล้ว หากเธอทำอาหารกินเองจะใส่น้ำมันและน้ำนิดหน่อย
เ้าลูกคนนี้ช่าง… เฉินชุ่ยอวิ๋นทั้งโกรธทั้งปลาบปลื้ม นึกในใจว่ากตัญญูก็ส่วนกตัญญู จะใช้เงินของคนอื่นมาตอบแทนคุณพ่อแม่ตนเองไม่ได้ แต่เพราะจิตใจกตัญญูนี้เหมือนกันที่ทำเฉินชุ่ยอวิ๋นตำหนิไม่ออก
หากเจิ้งหยวนทราบว่าเฉินชุ่ยอวิ๋นคิดอะไรอยู่ ต้องดีใจแน่นอนที่แม่คิดว่าข้าวของที่บ้านมีเท่าเดิมเพราะเธอใช้น้อย แม้ว่าจริงๆ แล้วถึงเธอจะใช้แค่นิดเดียว แต่ที่เหลือเธอหยิบออกมาจากมิติต่างหาก วันสองวันคงมองไม่ออก มาดูหลังทิ้งระยะห่างหลายวันจะรู้สึกได้อย่างชัดเจนว่าของไม่น้อยลงสักเท่าไร โชคดีที่เฉินชุ่ยอวิ๋นกำลังคิดเื่เธอทรมานตนเองอยู่ ไม่อย่างนั้นเจิ้งหยวนก็คงไม่รู้จะอธิบายอย่างไรดี
เจิ้งหยวนนำข้าวของใส่ตะกร้าแล้วไปบ้านสกุลเฝิงต่อ แม้บ้านสกุลเฝิงกับบ้านเจิ้งหยวนจะอยู่ในกองหยางหลิวเหมือนกัน แต่กลับโดนแยกไปทีมการผลิตที่ไม่เหมือนกัน ครอบครัวเจิ้งหยวนอยู่หน่วยหนึ่ง สกุลเฝิงอยู่หน่วยสี่ สองบ้านเลยอยู่ห่างกันค่อนข้างไกล เจิ้งหยวนจะไปสกุลเฝิงทีต้องเดินหลายสิบกว่านาที
สกุลเฝิงแยกบ้านกันแล้ว พ่อแม่สามีของเจิ้งหยวนอาศัยอยู่กับเฝิงเจี้ยนหวา พี่ชายคนโตของเฝิงเจี้ยนเหวิน พี่ใหญ่สกุลเฝิงอายุสามสิบกว่าแล้ว ครอบครัวมีลูกห้าคน ลูกสาวคนโตอายุสิบห้าปี เท่ากับเจิ้งเจวียน
ตอนเจิ้งหยวนมาถึง บ้านสกุลเฝิงมีเพียงแม่สามี หลี่จินจือ และเด็กๆ อยู่เท่านั้น ส่วนพ่อสามีของเจิ้งหยวน เฝิงชางหย่ง เฝิงเจี้ยนหวา รวมถึงอู๋ต้านี สะใภ้ใหญ่ของสกุลเฝิง และลูกสาวคนโต เฝิงชุนหลันไปทำงานกันหมดแล้ว
หลี่จินจือกำลังนั่งตากลมบนหิน เย็บพื้นรองเท้ากับเหล่าแม่บ้านหลายๆ คนหน้าประตูบ้านอยู่ พอเห็นเจิ้งหยวนก็ใไปพักหนึ่ง เหล่าแม่บ้านข้างๆ ต่างเบิกตากว้าง คาดไม่ถึงว่าจะพบเจิ้งหยวนที่นี่
เจิ้งหยวนนับว่าเป็คนดังของกองหยางหลิว อาศัยแค่เธอหน้าตางดงามและเป็ว่าที่สะใภ้ของสกุลเฝิง คนบ้านใกล้เรือนเคียงย่อมไม่มีใครไม่รู้จักเธออยู่แล้ว ยิ่งไม่ต้องพูดถึงชื่อเสียงเลื่องลือด้านอารมณ์รุนแรง ถึงขั้นลงไม้ลงมือทะเลาะวิวาทกับผู้ชายได้
“เจิ้งหยวน? เธอมาได้ยังไงกัน?” หลี่จินจือวางเข็มกับด้ายและพื้นรองเท้าที่เย็บไปครึ่งหนึ่งลง ก่อนรีบลุกขึ้นมาหา
เจิ้งหยวนยิ้ม “คุณป้าคะ ฉันมาเยี่ยมคุณและถือโอกาสเอาของมาให้ด้วยค่ะ” เจิ้งหยวนตบลงบนตะกร้าที่ห้อยไว้บนแขนขวา
หลี่จินจือเหลือบมองเพียงแวบหนึ่ง มีผ้าสีขาวคลุมตะกร้าไว้เลยไม่เห็นว่าของข้างในคืออะไร เธอจึงเอ่ย “มาเยี่ยมแล้ว ยังจะนำของอะไรมาอีก ไป เข้าไปในบ้านกับป้ากัน” ว่าแล้วก็หยิบพื้นรองเท้า เข็มกับด้ายบนหิน แล้วพาเจิ้งหยวนเข้าไปในบ้าน
ทันทีที่ลับหลังพวกเธอ เหล่าแม่บ้านข้างหลังก็เริ่มพูดคุยกัน
“คนนั้นเจิ้งหยวนใช่ไหม? ลูกสะใภ้ที่พี่สะใภ้หลี่จับคู่กับลูกชายคนที่สี่ของเธอใช่ไหม?” แม่เฒ่าหูคนที่เอ่ยขึ้นอยู่บ้านติดกับสกุลเฝิง ใกล้ชิดกันอย่างยิ่ง ตาแก่ของเธอก็แซ่เฝิงเป็คนในสกุลเฝิงเหมือนกัน ฉะนั้นจึงเรียกหลี่จินจือว่าพี่สะใภ้หลี่
“ใช่ เธอนั่นแหละ!” แม่เฒ่าจ้าวที่สวมเสื้อคอจีนสีขาว มวยผมสีเทาไว้ด้านหลังศีรษะเอ่ยบ้าง
แม่เฒ่าซ่งอีกคนใช้เข็มเกาบนหนังศีรษะแล้วหันไปชำเลืองมองแม่เฒ่าหู “ในกองเรานอกจากเจิ้งหยวนคนนั้นแล้วยังมีใครหน้าตาหมดจดแบบนั้นด้วยเหรอ”
วันนี้อากาศเย็นสบาย เจิ้งหยวนสวมชุดเสื้อเชิ้ตสีขาวลายดอกไม้คอปก กางเกงผ้าทำงานสีกรมท่า แม้จะมีรอยปะชุนเล็กน้อย แต่ซักสะอาดสะอ้าน ไม่มีกระทั่งรอยยับย่นสักนิด ดูเรียบร้อยอย่างยิ่ง เพียงมองก็รู้ว่าเจิ้งหยวนน่าจะเป็ที่ชื่นชอบสุดๆ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าเด็กผู้หญิงคนนี้หน้าตาดี ดวงตากลมโต ปากนิดจมูกหน่อย รอยยิ้มสดใสประดับบนใบหน้าอยู่เป็นิจ แผ่นหลังเหยียดตรง มีบุคลิกที่พอดีอย่างบอกไม่ถูกจนทั้งตัวราวกับเรืองแสงได้ ในด้านรูปลักษณ์ภายนอก ทั้งกองคงหาผู้หญิงที่สมบูรณ์แบบเท่าเจิ้งหยวนไม่ได้แล้ว
ทันใดนั้นแม่เฒ่าหูก็ชะโงกหน้าเข้ามา เธอลดเสียงขณะพูด “นี่ ฉันได้ยินว่าเด็กคนนี้นิสัยไม่ค่อยดี ดูหน้าตาแล้วไม่เห็นเป็อย่างนั้นเลย ยิ้มแย้มแจ่มใส สวยสะดุดตาเชียว”
ผู้หญิงบางคนมีโหนกแก้มสูง ดวงตาตกทำให้ดูเป็คนใจร้าย แถมยุคสมัยนี้ผู้หญิงหลายคนก็ผอมเอาๆ ใบหน้าไร้เนื้อหนังมังสา โหนกแก้มเลยยิ่งเห็นชัดเข้าไปใหญ่ แต่เจิ้งหยวนไม่เหมือนกัน เธอเพิ่งจะอายุสิบแปด ยังมีไขมันวัยเยาว์บนหน้าและใบหน้ารูปไข่ห่าน ดวงตากลมโต ดั้งโด่ง ทั้งจมูกและปากกำลังพอดี ตรงตามมาตรฐานของสาวงามไม่มีอะไรขาดเกิน เวลายิ้มก็ดูดียิ่งกว่าเดิม หากสังเกตจะพบว่ามีลักยิ้มน้อยๆ ประดับด้วย
แม่เฒ่าซ่งเลิกเปลือกตาขึ้น แล้วเอ่ยว่า “ถึงเจิ้งหยวนจะนิสัยไม่ดี แต่ก็ไม่ใส่อารมณ์ต่อหน้าพวกเราหรอก”
ได้ยินดังนั้น แม่เฒ่าจ้าวอดเบ้ปากไม่ได้ “ฉันว่าดีนะที่เด็กคนนี้เ้าอารมณ์ เธอหน้าตาดีเสียขนาดนั้น ภายภาคหน้าแต่งให้เจี้ยนเหวิน แล้วเจี้ยนเหวินไปเข้ากรมปล่อยเด็กผู้หญิงอย่างเธอให้อยู่บ้านคนเดียว ถ้านิสัยดีไม่โดนคนรังแกแทบตายเอาเลยเหรอ? อีกอย่างเ้าอารมณ์ไม่ได้หมายความว่าไร้กาลเทศะสักหน่อย ดูสิ ยังไม่ทันแต่งงาน ก็รู้จักกตัญญูพ่อแม่สามีแล้ว ต้องรู้ความแน่นอน” ที่พูดแบบนี้ เพราะตอนลูกสะใภ้เธอยังไม่แต่งเข้า ลูกสะใภ้เธอไม่เคยเอาของอะไรมาเคารพเธอเลย!
เมื่อประโยคนี้หลุดออกมา แม่เฒ่าอีกสองคนก็ค่อยๆ ััได้ นั่นน่ะสิ ลูกสะใภ้กตัญญู ดียิ่งกว่าสิ่งใดแล้ว!
แม่เฒ่าซ่งเริ่มอิจฉาเล็กน้อยจนอดพูดจาแดกดันไม่ได้ “นี่ยังไม่แต่งงานกันไง ใครจะรู้ล่ะว่าหลังแต่งแล้วจะเป็ยังไง!”
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้