“เปลวอัคคีศักดิ์สิทธิ์หงสา”
สิ้นเสียงของเซียวเฉิน ั์ตาหงส์คู่นั้นเหมือนเริ่มการทำงานของตราประทับ สยายปีกทะยานขึ้นสูง ร่างกายแปรเป็ลำแสงอัคคีดั่งดาวตก แฝงเปลวเพลิงทรงพลังที่เผาไหม้พลังเสวียนได้ อานุภาพแกร่งกร้าวไร้เทียมทาน!
กี๊ซ!
แม่พยัคฆ์กลืนดาราเกรงกลัว มิใช่หวั่นเกรงเซียวเฉิน ทว่าเป็หงสา
สัตว์เทพเป็ที่เคารพในบรรดาสัตว์ปิศาจ!
ยิ่งกว่านั้นยังเป็อานุภาพกดดันของหงสาสัตว์เทพระดับสูงอีกด้วย
แม่พยัคฆ์กลืนดาราสั่นเทาไปทั้งตัว หลบเลี่ยงไม่ทัน ถูกกระบวนท่าของเซียวเฉินกระแทกลอยไปอย่างแรง ร่างกายชนต้นไม้ตรงๆ จนหักไปสามต้นจึงหยุดลง มุมปากมีโลหิตไหลตลอด เห็นได้ชัดว่าาเ็
กี๊ซ...กี๊ซ...
ขณะที่มู่หรงเชี่ยนเอ๋อร์รุดมา แม่พยัคฆ์กลืนดาราก็แพ้เซียวเฉินแล้ว แต่เซียวเฉินกลับไม่ได้สังหารมัน
เห็นมู่หรงเชี่ยนเอ๋อร์ ดวงตาของแม่พยัคฆ์กลืนดาราก็ทอแววดุร้ายอีกครั้ง แต่เวลานี้มันกลับไม่กล้าคืบหน้า เพราะร่างกายของมันมีาแ
“ข้าไม่สังหารเ้า เ้าไปเสียเถอะ” เซียวเฉินบอกกับแม่พยัคฆ์กลืนดารา “ข้ารู้ว่าเ้ามีสติปัญญาแล้ว สามารถเข้าใจคำพูดของข้าได้ พวกเราไม่มีเจตนาร้ายต่อลูกของเ้า และยิ่งไม่ทำร้ายมัน เ้าวางใจเถอะ ข้าไม่ฆ่าเ้าเพราะเ้ายังมีลูกที่ยังร้องหาอาหารอยู่อีกสองตัว”
พูดถึงตรงนี้ น้ำเสียงของแม่พยัคฆ์กลืนดาราก็อ่อนโยนและเชื่องลงไม่น้อย
โฮก...โฮก...
“ตอนนี้เ้าไม่ใช่คู่ต่อสู้ของพวกเรา ข้ารู้ว่าเ้าาเ็ สู้ต่อไปก็ไม่มีประโยชน์อันใดสำหรับเ้า หากเ้าปล่อยพวกเราไป ข้ารับปากว่า่ที่เ้าาเ็อยู่ ข้าจะไม่ให้สัตว์ปิศาจอื่นๆ มาทำร้ายเ้ากับลูกๆ”
แม่พยัคฆ์กลืนดารามองเซียวเฉินแวบหนึ่ง จากนั้นผงกศีรษะ หันกายเดินกะเผลกเข้าถ้ำ ใบหน้าของเซียวเฉินเผยรอยยิ้มจางๆ
ส่วนมู่หรงเชี่ยนเอ๋อร์ที่อยู่ด้านข้างก็มองเหม่อ
เ้าหมอนี่ ไม่เพียงเอาชนะสัตว์ปิศาจระดับหกได้ ยังสามารถสนทนากับสัตว์ปิศาจได้ด้วย!
เหลือเชื่อแท้ๆ
เซียวเฉินนำผลึกเสวียนยี่สิบก้อนจากตัววางไว้ตรงปากถ้ำ จากนั้นนำมีดสั้นกรีดข้อมือของตนเอง โลหิตสดไหลหยดจากข้อมือ หลังจากที่เขาใช้เืของตนเองป้ายตรงปากถ้ำแล้วจึงจากไป
“เฮ้อ ทำไมเ้าไม่ฆ่ามัน? หากมันมาแก้แค้นพวกเราจะทำอย่างไร?” ระหว่างทางกลับ มู่หรงเชี่ยนเอ๋อร์ถามขึ้นกะทันหัน
เซียวเฉินส่ายศีรษะ
“ไม่หรอก มันรับปากข้าแล้ว ข้าเชื่อใจมัน”
จากนั้น เซียวเฉินก็เอ่ยว่า “เื่นี้เดิมทีพวกเราเป็ฝ่ายผิดที่แย่งชิงลูกของผู้อื่น หากพวกเราจะฆ่ามันอีก ข้าคงทำไม่ได้ ยิ่งกว่านั้น หากพวกเราฆ่ามัน ลูกเสืออีกสองตัวนั้นจะทำอย่างไร พวกมันไม่มีนมแม่ก็จะอดตาย นั่นคือหนึ่งศพสามชีวิต เ้าทำได้ลงคอหรือ?”
มู่หรงเชี่ยนเอ๋อร์มองเซียวเฉิน ดวงตามีประกายอ่อนโยนเปี่ยมความรู้สึกวาบขึ้น มักจะรู้สึกว่าตัวเขามีเื่ราวที่ไม่รู้มากเกินไป
“แล้วเหตุใดเ้าต้องสาดเืของเ้าไว้ตรงปากถ้ำ? มีประโยชน์อันใด แถมยังทำตัวเองเป็แผลอีก” มู่หรงเชี่ยนเอ๋อร์อยากรู้เหมือนเด็กน้อยช่างสงสัย จึงถามสิ่งที่ตนเองสงสัยทั้งหมดออกมา
เซียวเฉินมองมู่หรงเชี่ยนเอ๋อร์ที่อุ้มลูกเสือแล้วยิ้มกล่าว “ข้ารับปากกับแม่พยัคฆ์กลืนดาราไว้ว่า ่ที่มันาเ็ จะไม่มีสัตว์ปิศาจไปรบกวนพวกมัน ใช้โลหิตของข้าก็ได้”
มู่หรงเชี่ยนเอ๋อร์กะพริบตา
“พลังแห่งสายโลหิตหรือ?”
เซียวเฉินไม่ได้ตอบ แต่กลับถามว่า “เ้าคิดจะไปหานมแม่จากที่ใดมาให้มัน?” มู่หรงเชี่ยนเอ๋อร์หน้าแดง จากนั้นเร่งฝีเท้า เดินไปเบื้องหน้าของเซียวเฉิน
“เื่นี้เ้าไม่ต้องยุ่ง”
ว่าแล้วก็หันหน้ามายิ้มให้เซียวเฉิน เอ่ยว่า “ครั้งนี้พี่สาวติดหนี้น้ำใจเ้าหนึ่งหน ต่อไปเ้าเป็คนของข้าแล้ว พี่สาวจะคุ้มครองเ้าในสถานศึกษาชางหวงเอง”
เซียวเฉินยิ้มพลางส่ายศีรษะไม่เอ่ยวาจา
เมื่อกลับถึงสถานศึกษาชางหวงก็เป็วันที่สาม เซียวเฉินเพิ่งกลับถึงที่พักของตนเองได้ไม่นานก็เห็นเงาร่างหนึ่งตรงประตู ดวงตาแดงก่ำเหมือนเพิ่งร้องไห้มา
หลังเห็นเซียวเฉิน น้ำตาของหลินหนิงก็ไหลลงมาไม่หยุด
“หลินหนิง เป็อะไร? เกิดอะไรขึ้น?” เซียวเฉินเดินไปถาม ในใจคาดเดาไว้แล้ว
“เซียวเฉิน” หลินหนิงเห็นเซียวเฉินกลับมาก็โผเข้าหาอ้อมอกของเขาและร่ำไห้ทันที เขาได้แต่ปลอบใจ มู่หรงเชี่ยนเอ๋อร์ที่อยู่ด้านข้างกลับแค่นเสียงฮึแล้วเบือนหน้าไปปลอบลูกเสือของตนเอง
“ว่ามาสิ เกิดเื่อะไรขึ้นกันแน่ หรือว่าพี่ชายของเฟิงอวิ๋นเสียง?” เซียวเฉินถาม
หลินหนิงผงกศีรษะ
“เขาทำร้ายพี่ใหญ่สือ พี่ชายข้าทนดูไม่ไหวจึงไปหาเขา ผลคือถูกเฟิงอวิ๋นเซียวหักขาทั้งสองข้าง ข้าไม่มีทางเลือก ได้แต่มาหาเ้า ฮือๆ”
หลินหนิงร้องไห้จนสองตาแดงก่ำดั่งดอกหลีต้องสายฝน สีหน้าของเซียวเฉินแปรเปลี่ยนเป็อัปลักษณ์ ถึงขั้นมีน้ำค้างแข็งเคลือบอยู่หนึ่งชั้น ดวงตาเ็าน่ากลัว
“ข้าจะไปดูพี่ใหญ่สือกับพี่ใหญ่หลินหน่อย”
ว่าแล้วก็บอกกับมู่หรงเชี่ยนเอ๋อร์ “ศิษย์พี่มู่หรง ข้ายังมีธุระต้องจัดการ คงไม่รั้งเ้าไว้แล้ว เ้ากลับไปสำนักในก่อนเถอะ”
เอ่ยจบก็หันกายติดตามหลินหนิงไป
มู่หรงเชี่ยนเอ๋อร์กระทืบเท้า บ่นพึมพำ “ไม่รั้งไว้ไม่รั้งไว้ ข้ายังอยู่ตรงนี้ก็ไม่สนใจ เ้าคนน่าชัง ฮึ ข้าจะไม่สนใจเ้าแล้ว”
นางอุ้มลูกเสือเหินกายไปจากที่นี่
“พี่ใหญ่หลิน พี่ใหญ่สือ พวกเ้าเป็อย่างไรบ้าง?” เซียวเฉินย่างเท้าเดินเข้าไป เห็นขาทั้งสองข้างของหลินคุนพันผ้าพันแผลไว้ สีหน้าของสือเทียนซีดเผือด ทำให้เซียวเฉินะเืใจอย่างรุนแรง
น้ำเสียงติดจะขออภัย “พี่ใหญ่สือ พี่ใหญ่หลิน ขอโทษด้วย ข้าทำให้พวกเ้าต้องเดือดร้อน”
ใบหน้าซีดขาวของสือเทียนเผยรอยยิ้ม เขาเอ่ยว่า “เซียวเฉิน ตอนแรกพวกเราตกลงกันแล้วว่ามีเื่ต้องแบกรับด้วยกัน จะบอกว่าทำให้เดือดร้อนได้อย่างไร”
หลินคุนก็เอ่ย “นั่นสิ พวกเราแค่มีความสามารถไม่มากพอ ไม่เช่นนั้นข้าจะอัดเ้าสารเลวเฟิงอวิ๋นเซียวให้ตาย” ว่าแล้วก็กระแทกกำปั้นลงบนเตียงแรงๆ
เซียวเฉินเห็นภาพนี้แล้วเพลิงโทสะก็ลุกโชน พริบตา ใบหน้าของเซียวเฉินราวกับมีน้ำค้างแข็ง ดวงตาสาดประกายแหลมคม
เห็นหลินคุนและสือเทียนถูกทุบตีจนาเ็สาหัสเพราะตนเอง ส่วนตนเองกลับไม่รู้เื่อะไรเลย ชั่วขณะ เซียวเฉินก็มีเพลิงโทสะในใจอันไร้ขอบเขตที่ไม่มีทางระบาย
“พี่ใหญ่สือ พี่ใหญ่หลิน แค้นนี้ข้าจะช่วยชำระให้เอง”
สือเทียนและหลินคุนมองเซียวเฉินอย่างกังวล เอ่ยว่า “เซียวเฉิน เ้าอย่าหุนหัน เ้าไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขา พวกเราเป็แบบนี้แล้วไม่คิดจะให้เ้าเกิดเื่อีก”
น้ำเสียงของเซียวเฉินแหบห้าว “พี่ใหญ่หลิน พี่ใหญ่สือ ข้าตัดสินใจแล้ว พวกเ้าไม่ต้องพูดอีก เห็นพี่น้องของตนเองถูกทุบตีแล้วทำอะไรไม่ได้เลย ข้าก็ไม่คู่ควรจะยืนอยู่บนโลกนี้”
ว่าแล้วสายตาของเซียวเฉินก็เย็นเยียบ
“อีกสามวันข้าจะนัดสู้กับเฟิงอวิ๋นเซียวบนเวทีเป็ตาย”
ว่าแล้วก็หันกายจากไป
สือเทียนและหลินคุนมองเงาหลังของเซียวเฉินแล้วถอนหายใจพร้อมกัน อดกังวลแทนเซียวเฉินไม่ได้
“เสี่ยวหนิง เ้าไม่น่าไปบอกเซียวเฉินเลย”
หลินคุนถอนใจแล้วไม่ได้พูดอะไรมาก
หลังจากเซียวเฉินกลับถึงที่พักของตนเองแล้ว เขาก็ปรับสภาพจิตใจให้เรียบร้อยและเริ่มฝึกวิชา
เขาต้องบรรลุนิรวาณขั้นสองภายในสามวัน
วิ้งวิ้ง!
เปลวอัคคีศักดิ์สิทธิ์หงสาปรากฏขึ้นห่อหุ้มร่างของเซียวเฉิน ประหนึ่งหงสาอาบเปลวเพลิงกำเนิดใหม่ ภายใต้การหล่อหลอมของเปลวอัคคีศักดิ์สิทธิ์หงสา ร่างของเขาค่อยๆ แข็งแกร่งขึ้นทีละน้อย ในเวลาเดียวกันสายโลหิตหงสาก็ชำระล้างชีพจริญญาของเขาด้วย
ตูม!
ร่างของเซียวเฉินเปล่งแสงฉับพลัน
ชีพจริญญาเส้นที่สิบสามทะลวงเปิดออกภายใต้เปลวอัคคีศักดิ์สิทธิ์หงสา เซียวเฉินในเวลานี้เหยียบย่างเข้าสู่ขั้นแรกกำเนิดแปดชั้นฟ้า ส่วนหงสาานิรวาณยังหยุดอยู่ตรงนิรวาณขั้นที่หนึ่ง ไม่ได้ทะลวงขั้น แต่เขากลับรู้สึกได้ว่าการบรรลุขั้นที่สองอยู่อีกไม่ไกล หากทะลวงนิรวาณขั้นที่สองได้ เช่นนั้นต่อให้เฟิงอวิ๋นเซียวอยู่ขั้นตานฟ้า เขาก็เชื่อมั่นว่าจะเอาชนะได้
“เฟิงอวิ๋นเซียว...”
พริบตาเวลาก็ผ่านไปสามวัน เนื่องจากอาการาเ็ของหลินคุนและสือเทียนยังไม่หายดี ดังนั้น เซียวเฉินจึงได้แต่พาหลินหนิงไปเวทีต่อสู้เป็ตายคนเดียว
สำนักในและสำนักนอกของสถานศึกษาชางหวงล้วนมีเวทีต่อสู้ เพื่อให้ศิษย์ประลองศึกษาชี้แนะกัน ในเวลาเดียวกันก็นัดดวลตัดสินเป็ตายได้ การประลองตัดสินเป็ตายนั้น อยู่ต่อหน้าความสามารถ หากเป็ผู้อ่อนแอ ถูกคนทุบตีจนตายก็ไม่มีใครรับผิดชอบ หากเป็ผู้เข้มแข็ง ฆ่าคนในสถานศึกษาตายก็จะไม่มีใครเข้ามายุ่งเกี่ยว
ดังนั้น ในโลกนี้ กำปั้นจึงเป็หลักการอันถูกต้อง
เวลานี้ เซียวเฉินย่างเท้าขึ้นเวทีประลอง ศิษย์ทุกคนที่เดินผ่านต่างหยุดมอง ส่วนหลินหนิงที่อยู่ด้านล่างเวทีมีความกังวลอยู่เต็มใบหน้า
“นั่นศิษย์ใหม่เซียวเฉินมิใช่หรือ เขาขึ้นเวทีประลองทำไม?” มีคนจำเซียวเฉินได้จึงส่งเสียงพูด
“หรือว่าจะสู้ตัวต่อตัวกับคนอื่น?”
“แต่ทำไมอีกฝ่ายไม่มา? หรือว่ากลัว?”
“ก็เป็ไปได้ เซียวเฉินเป็ราชันศิษย์ใหม่ปีนี้เชียวนะ เพิ่งเข้าสถานศึกษาก็เอาชัยศิษย์เก่าโจวเจ๋อ ความสามารถเช่นนี้ อีกไม่นานต้องเข้าสู่สำนักในเป็แน่”
ทุกคนวิพากษ์วิจารณ์กันไปต่างๆ นานา ชี้มือชี้ไม้ ชั่วขณะ ตรงเวทีประลองก็มีเสียงดังเซ็งแซ่