เป้าหมายของจ้านอู๋มิ่งไม่ใช่เพียงแค่การค้นหาสัตว์อสูรแสวงหาควันพันลี้เท่านั้น ยังมีกองกำลังตกค้างที่หลงเหลือของตระกูลจี้
สัตว์อสูรแสวงหาควันพันลี้เป็สัตว์ที่อัศจรรย์ ถึงแม้ระดับพลังจะไม่สูงนัก แต่เป็สมบัติวิเศษของตระกูลจี้ อย่างไรก็ตามเป็ไปไม่ได้ที่ตระกูลจี้จะปล่อยให้สัตว์อสูรตัวนี้หนีไป ดังนั้นในที่สุดจี้เซี่ยงหนานที่สามารถหนีออกมาได้อย่างยากลำบาก กลับไม่ได้หนีออกไปนอกป่าสัตว์อสูร แต่มาตามหาสัตว์อสูรแสวงหาควันพันลี้ให้พบก่อน
สำหรับสัตว์อัศจรรย์ที่เลี้ยงอยู่ในบ้านมาหลายปี ตระกูลจี้มีวิธีการติดตามและวิธีทำให้มันเชื่อง แต่จี้เซี่ยงหนานคาดมิถึงว่า ตลอดเส้นทาง ตนไปถึงที่ใดล้วนแต่ดึงดูดสัตว์อสูรที่อยู่รอบๆ เข้ามาหา เขาตามหาสัตว์อสูรแสวงหาควันพันลี้มาตลอดทาง หลบหนีการปิดล้อมและสกัดกั้นไล่ล่าของสัตว์อสูรมาตลอดทาง าเ็อยู่แล้วก็าเ็เพิ่มอีก ถึงแม้ตนโชคดีสามารถหลบหนีรอดชีวิตมาได้ แต่กลับเสียเวลาไปมาก ยามราตรีไม่อาจมิหยุดพักเท้า ทำตัวเหมือนเต่าหดหัวในกระดองในมุมหนึ่ง จวบจนกระทั่งเวลานี้จึงรีบไปที่ซ่อนตัวของสัตว์อสูรแสวงหาควันพันลี้ นี่ยังเป็เพราะระยะเวลาหลังจากผ่านไปกว่าหนึ่งวัน ละอองเกสรดอกไม้เปลวเพลิงบนร่างกายลดน้อยลงไปไม่น้อย กลิ่นหอมนั่นก็ไม่ฉุนเข้มข้นมากอีกต่อไป ขอเพียงมิเข้าใกล้สัตว์อสูรมากเกินไป ก็ไม่ทำให้สัตว์อสูรเกิดอาการคลุ้มคลั่งขึ้นอีก
“ไม่คิดว่าตระกูลจี้จะเหลือเขาเพียงคนเดียว ดูแล้วตระกูลจี้ประสบความสูญเสียไม่น้อยเลยจริงๆ เอาละ บรรลุเป้าหมายเรียบร้อยแล้ว ข้า้าจับเป็ สำหรับข้าจะไปจัดการกับสัตว์อสูรแสวงหาควันพันลี้ตัวน้อยนั้นแล้ว” สีหน้าจ้านอู๋มิ่งยิ้มยินดีในความอับโชคของผู้อื่น และชี้ไปทางจี้เซี่ยงหนาน
“คุณชายโปรดวางใจ!” เหยียนอี้เหลือบมองจี้เซี่ยงหนานที่สุดแสนทุลักทุเลคราหนึ่งอย่างไม่เห็นอยู่ในสายตาแม้แต่น้อย ถึงแม้เวลานี้พลังการต่อสู้ของเขาจะฟื้นคืนมาเพียงหกส่วน ถ้าจี้เซี่ยงหนานในสภาพสมบูรณ์เต็มที่ อยู่ในจุดสูงสุด บางทีเขาอาจไม่มั่นใจนักว่าจะจับเป็เขาได้ แต่ทว่าตอนนี้สภาพการณ์ของจี้เซี่ยงหนานย่ำแย่ยิ่งกว่าเขาในตอนแรกเสียอีก มีพลังแข็งแกร่งสักหนึ่งส่วนก็ถือว่าไม่เลวแล้ว
“อย่าได้งมงายในพลังยุทธ์ หากสามารถจัดการได้โดยไม่ต้องสิ้นเปลืองแรง แล้วไยต้องสิ้นเปลืองพละกำลังด้วย? ตอนนี้เขายังคิดว่าเ้าเป็พวกเดียวกัน จงเรียนรู้วิธีการวางแผนที่จะจัดการผู้อื่นอย่างไร อย่าได้นำพลังจิติญญาแห่งการต่อสู้ที่ฝึกฝนจนเต็ม ทำให้สมองกลายเป็แป้งเปียกไป หากเป็เช่นนั้นอย่าฝึกเลยดีกว่า!” จ้านอู๋มิ่งมองดูพลังจิติญญาแห่งการต่อสู้ของเหยียนอี้เพิ่มพูนขึ้นเตรียมทะยานออกไป ทั้งน่าโมโหและน่าขบขัน จึงด่าไปคำหนึ่ง
เหยียนอี้ใ ใบหน้าชราแดงก่ำขึ้นทันใด ถูกจ้านอู๋มิ่งกระตุ้นเตือนให้ได้คิด พลันทำให้เขาเข้าใจขึ้นมาทันที จี้เซี่ยงหนานยังมิรู้ว่าตนสวามิภักดิ์ต่อจ้านอู๋มิ่งแล้ว ยังคิดว่าตนอยู่ในฐานะแขกรับเชิญของตระกูลเจิ้ง เป็พันธมิตรในเส้นทางเดียวกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งตอนนี้ จี้เซี่ยงหนานหมดสิ้นเรี่ยวแรงเช่นลูกธนูที่ยิงจนสุดล้าแล้ว มีราชันาที่พลังฟื้นฟูกว่าครึ่งอย่างตนคอยดูแลช่วยเหลือ ความมั่นใจที่จะออกจากป่าสัตว์อสูรก็จะเพิ่มมากขึ้น ย่อมไม่ระมัดระวังตน
จี้เซี่ยงหนานเศร้าใจมากจริงๆ หนึ่งวันและหนึ่งคืนนี้ผ่านไปอย่างทุกข์ยากแสนเข็ญ หลายครั้งแล้วที่ชีวิตแขวนอยู่บนเส้นด้าย ในที่สุดก็พบหุบเขาที่สัตว์อสูรแสวงหาควันพันลี้ซ่อนตัวอยู่ ขอเพียงใช้เวลาสักสองสามวันฟื้นฟูพลังในหุบเขา ก็สามารถหาโอกาสออกจากป่าสัตว์อสูรได้แล้ว ยามนี้กลับพบเหยียนอี้อย่างคาดมิถึง รู้สึกปลื้มปีติเป็อย่างยิ่งขึ้นมาทันที
ถึงแม้เขาจะกังวลเล็กน้อยว่าเหยียนอี้อาจมาที่นี่เพราะ้าสัตว์อสูรแสวงหาควันพันลี้ แต่เปลือกนอกอีกฝ่ายยังไม่เปิดเผยออกมาจนต้องผิดใจกัน จึงยังแกล้งทำเป็สุภาพและสามารถร่วมมือกันต่อไปได้ อย่างมากที่สุดก็มอบสัตว์อสูรแสวงหาควันพันลี้ให้ตระกูลเจิ้งไปก่อน กลับถึงเมืองมู่เหย่แล้ว ตระกูลเจิ้งก็จะไม่สามารถพูดจาเอาแต่ได้ฝ่ายเดียวแล้ว
เพียงแต่มันคาดมิถึง สิ่งที่เหยียนอี้้าหาใช่สัตว์อสูรแสวงหาควันพันลี้อะไรนั่นไม่ แต่ก็คือตัวเขานั่นเอง จี้เซี่ยงหนานไม่ทันได้เตรียมตัวป้องกันอะไรก็ถูกเหยียนอี้ผนึกพลังจิติญญาแห่งการต่อสู้และความเคลื่อนไหวของมัน
“เหยียนเหล่า นี่เ้าหมายความว่าอย่างไร?” จี้เซี่ยงหนานรู้สึกทั้งตื่นตระหนกและโกรธเกรี้ยว ตระกูลเจิ้งทำเช่นนี้หมายความว่าอย่างไรกันแน่ แต่ตนเองก็หมดหนทางจริงๆ แล้วเช่นกัน ต่อให้ตนอยู่ในสภาพที่สมบูรณ์พร้อมเต็มที่ก็ยังมิใช่คู่ต่อสู้ของผู้อื่น ผู้อื่นคือราชันาเชียวนะ ต่อให้เป็เพียงราชันาระดับหนึ่งดาวก็ตาม ก็ยังเหนือกว่าเขาที่เป็ปรมาจารย์นักยุทธ์ระดับเก้าดาวมากแล้ว
“คุณชายของข้า้าพบเ้า” พูดไปพลาง เหยียนอี้หิ้วจี้เซี่ยงหนานกลับไปยังถ้ำที่พวกเขาเพิ่งซ่อนตัวเมื่อครู่ แล้วโยนลงบนพื้น
“อา นายท่านสามเจิ้งก็อยู่ด้วย ประเสริฐมากจริงๆ ข้าทราบอยู่แล้วว่านายท่านสามวาสนาดีเลิศ ชะตาชีวิตสูงส่ง ต้องไม่เกิดเื่ขึ้นอย่างแน่นอน” จี้เซี่ยงหนานรีบกล่าว
เหยียนอี้ยิ้มอย่างเหยียดหยาม “คุณชายของข้าไม่ใช่นายท่านสามเจิ้ง เ้าอย่าได้กล่าวผิดพลาด”
“อา เหยียนเหล่า นี่เ้าหมายความว่าอย่างไร?” จี้เซี่ยงหนานถูกก่อกวนจนสับสนแล้วเช่นกัน เหยียนอี้เป็ผู้พิทักษ์ข้างกายของเจิ้งอวี้ฟูชัดๆ ไฉนตอนนี้ถึงบอกว่าคุณชายของเขาไม่ใช่เจิ้งอวี้ฟูเล่า
“อาสองจี้ ประเสริฐจริงที่ได้พบท่าน” เสียงสดใสเสียงหนึ่งดังขึ้นมา
ดวงตาจี้เซี่ยงหนานแทบถลนออกมา ในที่สุดก็เห็นจ้านอู๋มิ่ง นายน้อยตระกูลจ้านเดินจากนอกถ้ำเข้ามาข้างใน ในอกยังอุ้มสัตว์อสูรแสวงหาควันพันลี้ของตระกูลจี้อยู่
“เ้า...เ้าคือหวูมิ่ง หลานชายคนที่สี่ของตระกูลจ้าน?” จี้เซี่ยงหนานมิเสียทีเป็ผู้คร่ำหวอดในวงการเปี่ยมประสบการณ์ของอันธพาลเก่า ทักษะการเปลี่ยนสีหน้านี้ก็ยอดเยี่ยมอันดับหนึ่งเช่นกัน ชั่วพริบตาเดียวก็ทราบแล้ว ไม่ว่าความสัมพันธ์ระหว่างจ้านอู๋มิ่งและเหยียนอี้เป็เช่นไร เขาล้วนไม่สามารถล่วงเกินได้ ไม่ต้องพูดถึงนายน้อยคนเล็กที่แม้กระทั่งพลังจิติญญาแห่งการต่อสู้ก็มิสามารถฝึกได้ผู้หนึ่ง ต่อให้เขาคือปรมาจารย์นักยุทธ์เก้าดาว สองสามวันนี้ล้วนแทบเป็แทบตายอยู่ในป่าสัตว์อสูร ไหนเลยจะเหมือนอย่างจ้านอู๋มิ่ง สีหน้าผ่อนคลายสบายๆ เสื้อผ้าสะอาดเรียบร้อย
“ถูกต้องแล้ว อาสองจี้ โลกใบนี้มันช่างแคบจริงๆ คิดไม่ถึงว่าผู้เฒ่าเช่นท่านก็ออกจากเมืองมู่เหย่มาถึงป่าเขาลำเนาไพรที่รกร้างแห้งแล้งแห่งนี้ด้วย ท่านก็มาที่นี่เพื่อล่าสัตว์ป่าเป็อาหารด้วยเช่นกันหรือ?” จ้านอู๋มิ่งหัวเราะแล้ว ด้วยการแสดงออกของใบหน้าที่แสนจะไร้เดียงสา เหยียนอี้ดูจนรู้สึกหนาวเหน็บอยู่ในใจ สาบานว่าต่อไปจะไม่ดูิ่ดูแคลนชายหนุ่มอีก นี่มันก็คือสัตว์ประหลาดดีๆ นี่เอง
จี้เซี่ยงหนานหน้าแดงก่ำราวตับหมู ตอนนี้ภาพลักษณ์ตนไม่ได้ดีไปกว่าขอทานในเมืองมู่เหย่สักเท่าไรนัก เสื้อผ้าขาดรุ่งริ่ง ดินโคลนเปรอะเปื้อนเต็มตัว นอนขดตัวอยู่บนพื้นเหมือนปลาตายก็มิปาน ขนาดขยับตัวก็ยังกระทำไม่ได้ เพียงแค่เปิดปากพูดจาได้เท่านั้น ยังจะมาที่นี่เพื่อเกมล่าสัตว์ป่าเป็อาหารอันใดอีก เห็นที่นี่คือฟาร์มเลี้ยงสัตว์ไปแล้วหรือไร ที่นี่มันป่าสัตว์อสูรนะ พลันจี้เซี่ยงหนานนึกถึงความสัมพันธ์ระหว่างตระกูลจ้านและตระกูลเจิ้ง จ้านอู๋มิ่งเป็หลานนอกของเจิ้งอวี้ฟู ทันใดก็เข้าใจอะไรขึ้นมาและกล่าวว่า “ข้าไม่คิดว่าเ้าจะรู้จักน้าสามของเ้า ขอแสดงความยินดีด้วยจริงๆ ไม่ทราบว่าตอนนี้น้าสามของเ้าอยู่ที่ใด? หลานชาย เ้ามาถึงป่าสัตว์อสูรแห่งนี้ได้อย่างไร?”
“เป็เื่น่ายินดีจริงๆ เมื่อคืนนี้ข้าเพิ่งจะส่งน้าสามของข้าไปที่แดนเทพแล้ว ถ้าหากท่าน้าพบเขา เื่นี้สะดวกง่ายดายยิ่ง แค่เอามีดปาดคอท่านครั้งหนึ่งก็ใช้ได้แล้ว” จ้านอู๋มิ่งแกล้งกล่าวเย้ยหยัน
พลันจี้เซี่ยงหนานโง่งมไปแล้ว ลองสังเกตสีหน้าของเหยียนอี้ เห็นเขาไม่มีปฏิกิริยาตอบสนองใดๆ จ้านอู๋มิ่งยังคงอุ้มสัตว์อสูรแสวงหาควันพันลี้ด้วยใบหน้าที่ไร้เดียงสา เกิดความรู้สึกหนาวเหน็บขึ้นในหัวใจวูบ ทันใดนั้นเขาพบว่า คุณชายน้อยตระกูลจ้านกลับเป็ตัวละครที่แสนโเี้แต่แสร้งแต่งตัวเป็สุกรหลอกกินเสือ
“เหยียนเหล่า นี่มันเื่อะไรกันแน่?” จี้เซี่ยงหนานถามตะกุกตะกัก
“เขาเป็คุณชายของข้า จากนี้เป็ต้นไป ข้าคือคนรับใช้ของคุณชาย ดังนั้นให้ดีที่สุด เ้าจงทำตัวให้สัตย์ซื่อสักหน่อย ถ้าคุณชาย้าให้เ้าตาย ก็เหมือนกับบดขยี้มดตัวหนึ่งก็มิปาน” เหยียนอี้ตอบอย่างเ็า
“ท่านวางใจ อาสองจี้ ผู้นำตระกูลที่ตายแล้วคนหนึ่งย่อมมิมีคุณค่าเท่าผู้นำตระกูลที่ยังมีชีวิตอย่างเด็ดขาด แต่ว่าหากผู้นำตระกูลที่ยังมีชีวิตสร้างคุณค่าให้กับข้าไม่ได้ ถ้าเช่นนั้นข้าก็้าอาสองจี้ที่ตายแล้ว” จ้านอู๋มิ่งยิ้มสุดเย็นเยียบ
จี้เซี่ยงหนานััถึงสำนึกฆ่าฟันภายในจิตใจของจ้านอู๋มิ่ง ถึงแม้สี่ตระกูลใหญ่ในเมืองมู่เหย่จะแข่งขันชิงดีชิงเด่น ลอบต่อสู้กันทั้งในทางลับและเปิดเผย แต่เปลือกนอกยังคงไปมาหาสู่กัน ดังนั้นจ้านอู๋มิ่งจึงเรียกเขาว่าอาสองจี้ แต่การกดดันตลอดจนกลืนกินตระกูลจ้านเป็ความปรารถนาของตระกูลจี้มาโดยตลอด สำหรับทุกๆ คนในตระกูลจ้าน ตระกูลจี้ล้วนมีการลอบสืบข่าวและรู้ข้อมูล ยกเว้นนายน้อยคนที่สี่ตระกูลจ้านคนเดียวที่ตระกูลจี้เห็นว่าไม่มีผลคุกคามใดๆ ยามนี้กลับมองเขาจากที่สูง กำหนดชีวิตและความเป็ตายของตนเอง
“ไม่ทราบว่าอาสองจี้จะยอมทำประโยชน์ให้ข้าหรือไม่?” ในมือจ้านอู๋มิ่งเพิ่มมีดอันสวยงามประณีตขึ้นมาเล่มหนึ่ง กำลังแต่งเล็บอยู่อย่างสง่างาม
“หลานชายพูดจาล้อเล่นแล้ว ตระกูลจ้านและจี้สองตระกูลต่างก็เป็ตระกูลใหญ่ในเมืองมู่เหย่ ตระกูลจี้เป็มิตรกับตระกูลจ้านเสมอมา แต่สิ่งที่หลานชายแสนดีพูดมาทั้งหมด ขอเพียงอาสองสามารถทำได้ ต้องทำเพื่อเ้าอยู่แล้ว…”
“เอาล่ะ วาจาไร้สาระอย่าได้กล่าวให้มาก ข้าทราบดีว่าตระกูลจี้ของเ้าคิดอย่างไร ครั้งนี้ตระกูลเจิ้งมาเมืองมู่เหย่ มิใช่เพราะคิดร่วมมือกับตระกูลจี้เพื่อจัดการตระกูลจ้านหรอกหรือ? เพียงแต่น้าสามที่น่าสงสารของข้าคนนั้น ยังมิทันไรก็เสียชีวิตไปเสียก่อน แผนการร่วมมือของพวกเ้าก็เลยต้องยกเลิกไปเช่นกัน ตระกูลจี้เองก็ได้รับาเ็สาหัสเพราะเหตุนี้เช่นกัน แต่เรือที่อับปางก็ยังมีคุณค่าของมันอยู่ ข้าหวังว่าอาสองจี้สามารถรับ่ดูแลตระกูลจี้ต่อได้ ในอนาคตเป็แนวร่วมที่รับใช้ตระกูลจ้าน รุกและถอยด้วยกัน เสียงร่ำลือที่ไม่เป็ผลดีต่อตระกูลจ้านทั้งหมดจะต้องหายไปจากตระกูลจี้ อาสองจี้สามารถทำได้หรือไม่?” แววตาของจ้านอู๋มิ่งเปล่งประกายโเี้ขึ้นวูบหนึ่ง ถามขึ้นอย่างตรงไปตรงมา
สีหน้าจี้เซี่ยงหนานแปรเปลี่ยนเป็น่าเกลียดอย่างที่สุด จ้านอู๋มิ่งกลับมีความทะเยอทะยานเช่นนี้ แม้แต่จ้านชิงเผิง ผู้นำตระกูลจ้านยังมิกล้าคิดเช่นนี้ ชายหนุ่มคนนี้ที่ตระกูลจี้ละเลยตลอดมาคือบุคคลที่น่ากลัวที่สุดในตระกูลจ้านนี่เอง
“เป็ทางเลือกที่ดีมากใช่หรือไม่ใช่ และเป็การเลือกระหว่างความตายกับการมีชีวิตอยู่” จ้านอู๋มิ่งไม่้าพูดจาไร้สาระมากเกินไป
“เวลานี้ตระกูลจี้ยังคงเป็ท่านอาของข้าดูแลอยู่ ศักดิ์ฐานะข้าต่ำต้อย คำพูดไร้น้ำหนัก เกรงว่า…อ๊าก! ” จี้เซี่ยงหนานยังพูดมิทันจบก็รู้สึกเจ็บแปลบที่ฝ่ามือ นิ้วมือนิ้วหนึ่งกระเด็นออกไป
มีดในมือจ้านอู๋มิ่งปรากฏรอยเืขึ้นรอยหนึ่ง แต่สีหน้ากลับไม่มีความเปลี่ยนแปลงใดๆ ยังคงเป็ใบหน้าที่ยิ้มน้อยๆ ไร้เดียงสาเช่นเดิม แต่ความเ็ปถึงหัวใจ ทำให้จี้เซี่ยงหนานทราบว่า เมื่อครู่นี้มิใช่ภาพลวงตา จ้านอู๋มิ่งตัดนิ้วเขาไปแล้วนิ้วหนึ่งจริงๆ
“ใช่หรือมิใช่!” เสียงของจ้านอู๋มิ่งยังคงสงบและอ่อนโยน หัวใจของจี้เซี่ยงหนานกลับรู้สึกเย็นเฉียบ ความโเี้อำมหิตของชายหนุ่มตรงหน้าเกินกว่าจินตนาการจนสุดกู่
“ความจริงสิ่งที่สัตว์อสูรชื่นชอบมากที่สุดคือเนื้อคนที่ยังมีชีวิตอยู่ หากมีคนผู้หนึ่งร่างกายทั้งตัวขยับเคลื่อนไหวไม่ได้ แต่กลับสามารถรู้สึกถึงเ็ปได้เต็มเปี่ยม ถูกโยนออกจากหุบเขาทั้งที่ยังเป็ๆ ไม่รู้ว่าสัตว์อสูรหมาป่าและสัตว์อสูรเสือดาวดุร้ายเ่าั้จะมีความสุขมากมายเพียงใด!”
สีหน้าของเหยียนอี้ก็ซีดขาวแล้ว ใบหน้าของจี้เซี่ยงหนานยิ่งกลายเป็สีเทาดั่งคนตายมากขึ้น เนื้อตัวสั่นเทาเล็กน้อย ราวกับว่ากำลังถูกฝูงหมาป่าห้อมล้อมเห่าหอนอยู่
“ข้าสามารถทำได้ ขอเพียงข้าได้เป็ผู้นำตระกูลจี้ ตระกูลจี้จะต้องรับใช้ตระกูลจ้านแน่นอน จะต้องปฏิบัติต่อตระกูลจ้านอย่างจงรักภักดีแน่นอน ไม่มีใจเป็อื่น” จี้เซี่ยงหนานไม่อยากตาย ยิ่งไม่อยากกลายเป็อาหารของสัตว์เดรัจฉาน แค่คิดว่าตนอาจถูกฝูงสัตว์ร้ายกัดกินทั้งเป็ เขาก็สูญเสียกำลังใจที่จะต่อต้านไปแล้วอย่างสิ้นเชิง
“มิใช่ขอเพียงเ้าสามารถเป็หัวหน้าตระกูล แต่เ้าจะต้องได้เป็ผู้นำตระกูลอย่างแน่นอน เ้าเข้าใจหรือไม่?” จ้านอู๋มิ่งหัวเราะเย็นเยียบ
จี้เซี่ยงหนานหลั่งเหงื่อเย็นเยียบออกมาทันที คิดอย่างรอบคอบ กล่าวว่า “ใช่ ข้าจะเป็ผู้นำตระกูลอย่างแน่นอน ตระกูลจี้จะต้องรับใช้ตระกูลจ้านแน่นอน จะต้องปฏิบัติรับใช้ให้ตระกูลจ้านอย่างจงรักภักดีแน่นอน มิมีใจเป็อื่น”
“อืม นี่แหละถูกต้องแล้ว ผู้นำตระกูลจี้!” จ้านอู๋มิ่งหัวเราะแล้วกล่าวอีกว่า “ผ่อนคลายจิตสมาธิของเ้า”
จี้เซี่ยงหนานไม่กล้ามีความคิดต่อต้านแม้แต่น้อย ยามนี้จะพูดอะไรล้วนสายเกินไปแล้ว ในเมื่อตกอยู่ในกำมือจ้านอู๋มิ่งจึงได้แต่ยอมศิโรราบ อย่าว่าแต่ด้านข้างยังมีราชันายืนอยู่อีกคนหนึ่ง ถึงเขาคิดจะต่อต้านก็ไร้ประโยชน์
จ้านอู๋มิ่งจัดการประทับตราิญญาปฐมภูมิลงในห้วงคำนึงของจี้เซี่ยงหนานอย่างง่ายดาย พลันความคิดในจิตใจทั้งหมดของจี้เซี่ยงหนานก็ปรากฏขึ้นในห้วงคำนึงของจ้านอู๋มิ่ง ไม่มีขาดตกบกพร่องแม้แต่น้อยนิด สิ่งที่ทำให้จ้านอู๋มิ่งประหลาดใจคือจี้เซี่ยงหนานกลับฆ่าจี้เซี่ยงตง พี่ชายของเขาด้วยมือตนเอง เพียงเพื่อจะได้มีโอกาสเป็หัวหน้าตระกูลจี้
“ประเสริฐมาก ข้าไม่ได้มองเ้าผิดไปจริงๆ!” จ้านอู๋มิ่งหัวเราะแล้ว เขาเริ่มชอบอาสองจี้แล้ว เพื่อบรรลุเป้าหมาย ไม่คำนึงถึงวิธีการ บุคคลเช่นนี้ย่อมเป็ดาบคมกริบเล่มหนึ่งที่ใช้รับมือศัตรูได้อย่างแน่นอน สามารถเสียบเข้าไปในหัวใจของศัตรูได้อย่างโเี้
สีหน้าจี้เซี่ยงหนานดูหวาดกลัว เขาพบว่าเื่ราวทั้งหมดของตนล้วนไม่เป็ความลับสำหรับจ้านอู๋มิ่ง ขอเพียงจิตสมาธิของจ้านอู๋มิ่งกระตุ้นเพียงเล็กน้อย สามารถทำให้จิติญญาของเขาเ็ปตลอดจนแตกสลาย กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ ความเป็ตายของตนถูกควบคุมอยู่ในกำมือของจ้านอู๋มิ่ง ขอเพียงอีกฝ่าย้าก็สามารถฆ่าตนให้ตายได้ตลอดเวลา
“ขอเพียงเ้าปฏิบัติภารกิจให้ข้าดีๆ ตัวเ้าก็ยังเป็เ้า” จ้านอู๋มิ่งหยิบหินอัคคีิญญาสีแดงเพลิงออกมาจากอกเสื้อโยนให้จี้เซี่ยงหนาน กล่าวเสียงเรียบๆ ว่า “เ้าทะลวงผ่านราชันาแล้ว ก็จะมีคุณสมบัติเป็หัวหน้าตระกูล นี่คือหินอัคคีิญญาระดับกลาง การบ่มเพาะของตระกูลจี้เป็ธาตุอัคคี สมควรจะช่วยให้เ้าทะลวงด่านบรรลุราชันาได้เร็วขึ้น เ้าจะต้องไม่ทำให้ข้าผิดหวังอย่างเด็ดขาด”
จี้เซี่ยงหนานรู้สึกว่าวาสนาความสุขช่างมารวดเร็วเหลือเกิน หินอัคคีิญญาระดับกลางหายากยิ่งนัก หินอัคคีิญญาระดับกลางที่เหมาะกับการฝึกพลังจิติญญาแห่งการต่อสู้ของเขา หายากยิ่งกว่าและมูลค่าสูงอย่างยิ่ง ตนหยุดชะงักอยู่ในระดับปรมาจารย์นักยุทธ์เก้าดาวมาเป็เวลานานแล้ว การทะลวงด่านเป็เพียงเื่ของเวลา ตอนนี้มีหินอัคคีิญญาธาตุไฟระดับกลางมาช่วยเสริม เกรงว่าทะลวงด่านเป็ราชันาได้ในไม่กี่วันเท่านั้น
จี้เซี่ยงหนานไม่คิดว่าจ้านอู๋มิ่งจะใจกว้างถึงขนาดนี้ การติดตามจ้านอู๋มิ่งบางทีอาจเป็ทางเลือกที่ไม่เลว
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้