หลินเกาฮั่นหยิบมีดผ่าตัดที่มู่จื่อหลิงโยนทิ้งในวันนั้นออกจากอกด้วยความรู้สึกทั้งดีใจและเ็ป
เขามองดูมันอยู่นาน ก่อนกัดฟันราวกับว่าเขาได้ตัดสินใจแล้ว
จากนั้น หลินเกาฮั่นจึงหันมองไปทั่วทุกสารทิศ ก่อนพบท่อนไม้เนื้ออ่อนพอดีปาก จึงหยิบเข้าปากแล้วกัดไว้แน่น
หลินเกาฮั่นทนความเ็ป ตัดมือต้องพิษของตนออกโดยไม่ลังเล
ทันใดนั้น าแที่ถูกหลินเกาฮั่นตัดออกก็มีเืไหลออกมาราวสายน้ำ เืไหลรินไม่หยุด...
เดิมคิดว่ามันเป็แค่มีดเล่มเล็กๆ ไม่ว่ามันจะคมเพียงใด ก็เป็ไปไม่ได้ที่จะตัดมือของเขาได้ในคราวเดียว แต่สิ่งที่หลินเกาฮั่นคาดไม่ถึงก็คือเขาตัดมือจนขาดสะบั้นได้ในทันที
หลินเกาฮั่นขยับร่างไปมาอย่างอ่อนแรงท่ามกลางแสงสว่างจ้า บนมีดผ่าตัดยังมีเืติดอยู่
คาดไม่ถึงเลยจริงๆ!
ยายเด็กหน้าเหม็นนั่นมีของดีมากมายจริงๆ ยามนี้ยังแก้ความเ็ปอย่างเร่งด่วนของเขาได้ด้วยมีดเพียงเล่มเดียว
ในยามนี้ หลินเกาฮั่นกัดฟันด้วยความเ็ป มุมปากฝืนยิ้มเยาะอย่างชั่วร้าย
หลังจากทนกับความเ็ปเสียดแทงอยู่ครู่หนึ่ง หลินเกาฮั่นก็ใช้มีดตัดมุมชุดคลุมออก ก่อนใช้พันแผลที่เปื้อนเือย่างช้าๆ
หลังจากใช้พันแผลอย่างเรียบง่าย เืก็หยุดไหล หลินเกาฮั่นค่อยๆ เช็ดคราบเืบนมีดผ่าตัดออกอย่างระมัดระวัง เก็บไว้ในอ้อมแขนราวกับสมบัติอันล้ำค่า
หลินเกาฮั่นยืนพิงผนังถ้ำเพื่อพักร่างอีกครู่หนึ่ง เมื่อร่างกายของเขาฟื้นคืนพละกำลังกลับมาเพียงเล็กน้อย เขาก็ยืนขึ้นช้าๆ โดยใช้มือข้างหนึ่งเกาะผนัง
เดิมทีเขาอยากจะปิดกั้นถ้ำไปเสีย
อย่างไรก็ตาม เด็กปรุงยาทั้งสองที่เขาพามาเสียชีวิตไปแล้ว เ้าหน้าที่และทหารที่อยู่นอกถ้ำก็หายไปแล้วเช่นกัน อีกทั้งเขายังสูญเสียมือ เขาไม่มีแรงจะมาปิดถ้ำได้
เมื่อคิดได้เช่นนี้ หลินเกาฮั่นก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องยอมแพ้
ตอนนี้ถ้ำจะถูกปิดตายหรือไม่ล้วนไม่สำคัญ...หลินเกาฮั่นหันหน้ากลับไป ดวงตาขุ่นมัวมองเข้าไปในถ้ำมืดมิด
เขาคิดว่ามู่จื่อหลิงต้องถูกสัตว์ประหลาดเ่าั้กัดแทะจนจำไม่ได้ ไม่เหลือแม้แต่เศษซาก เช่นเดียวกับเ้าหน้าที่และทหารเ่าั้
ยามคิดถึงเื่นี้ หลินเกาฮั่นก็มีความสุขอีกครั้ง
ยายเด็กหน้าเหม็น! เ้าสมควรตายแล้ว!
แม้ว่าเขาจะไม่ได้จัดการมู่จื่อหลิงด้วยตนเอง แต่ยามคิดถึงการเสียชีวิตแสนน่าเศร้าของนาง หลินเกาฮั่นก็รู้สึกมีความสุขมาก ในที่สุดเขาก็ได้ระบายความเกลียดชังที่เก็บกดมานานเสียที
ยามนี้เขาสามารถกลับไปรายงานต่อไทเฮาได้แล้ว
ปากของหลินเกาฮั่นโค้งเป็รอยยิ้มเ็า
โรคระบาดอะไร? เป็หมอมีอะไรดีกัน? แม้ว่าคนทั้งเมืองหลงอันจะเสียชีวิตลง นั่นไม่ใช่ธุระกงการอะไรของเขา
หลินเกาฮั่นลากแขนาเ็ของตนไปอย่างยากลำบาก เขาเดินไปทีละก้าวเข้าหาม้าเมฆา...
แต่ใครจะคิด ก่อนที่หลินเกาฮั่นจะเข้าใกล้ม้าเมฆาได้อย่างสมบูรณ์
กีบเท้าของม้าเมฆาทั้งสี่ก็ขยับ มันหันวิ่งไปยังทิศทางอื่นทันที
จากนั้น ดูเหมือนจะมีแววตาดุร้ายในดวงตาของมัน ดวงตาสีดำขนาดใหญ่คู่หนึ่งส่องประกายแสงเ็า
หลังจากนั้นในทันที ม้าเมฆาก็ยกกีบหลังของมันขึ้น เตะใส่หลินเกาฮั่นที่กำลังจะเข้าใกล้มันอย่างแม่นยำ
ในเวลาต่อมา หลินเกาฮั่นก็กรีดร้องอยู่กลางอากาศ เขาลอยไปด้านหลัง ก่อนจะล้มลงกับพื้นอย่างแรง
ก่อนหน้านี้ยามโดนมู่จื่อหลิงเตะ แม้ว่าเขาจะไม่ถูกเตะจนกระอักเื แต่ก็ทำให้เขาเ็ปมากพอแล้ว
“อึก...” ในยามนี้ยังถูกม้าเตะซ้ำ จึงยิ่งเ็ปขึ้นไปอีก เขาได้รับาเ็ภายในทันที หลินเกาฮั่นกระอักเืออกมาเต็มปาก เขาแทบจะเป็ลมหมดสติแล้ว
หลินเกาฮั่นนอนเป็อัมพาตอยู่บนพื้นครู่หนึ่ง หลังจากหายใจเข้าออกอีกสองสามครั้ง เขาก็ใช้มือที่เหลืออีกข้างพยุงกายขึ้นจากพื้นด้วยความโกรธจัด
“บัดซบ...เ้าสารเลวสมควรตาย แม้แต่เ้ายังกล้าเตะข้า...เชื่อหรือไม่ว่าข้าจะฆ่าเ้าเดี๋ยวนี้!” หลินเกาฮั่นกุมบริเวณที่ถูกเตะ ใบหน้าของเขาดุร้ายบิดเบี้ยวเนื่องจากความเ็ป ดวงตาแดงก่ำจับจ้องม้าเมฆาเขม็ง
อย่างไรก็ตาม ในยามนี้ม้าเมฆาทำเพียงส่ายหัว สลัดร่างอย่างไม่สนใจ ท่าทีเย่อหยิ่งเหยียดหยามเช่นเดียวกับนายหญิงของมัน มันไม่สนใจเขาแม้แต่น้อย
ดวงตากลมโตสดใสของม้าเมฆา จ้องตรงไปยังปากถ้ำไม่กะพริบ เฝ้ารอมู่จื่อหลิงออกมา
การถูกเตะโดยไม่ทันตั้งตัวไม่ว่าใครก็ไม่พอใจ นับประสาอะไรกับถูกม้าเตะ?
ใบหน้าของหลินเกาฮั่นเต็มไปด้วยความโกรธ หัวใจของเขานึกโกรธจนหยิบมีดผ่าตัดที่อยู่ในอ้อมแขนออกมาฆ่าเ้าสัตว์ร้ายนี้โดยตรง
แต่ในขณะที่เขาวางมือลงบนอก หลินเกาฮั่นก็จ้องไปยังม้าเมฆาทันที รู้สึกว่าม้าตัวนี้ค่อนข้างคุ้นยิ่ง
ก่อนหน้านี้เขาไม่ได้สนใจมัน แต่ยามนี้ดวงตาของหลินเกาฮั่นหรี่ลงเล็กน้อย มองมันอย่างละเอียด
หลังจากเห็นอย่างชัดเจน หลินเกาฮั่นก็ตระหนักว่าม้าตัวนี้ไม่ใช่ม้าธรรมดา มันคือม้าเมฆาที่มีชื่อเสียงพอๆ กับม้าเปินเหลยของฉีอ๋อง
คาดไม่ถึง ยายเด็กหน้าเหม็นอย่างมู่จื่อหลิงสามารถขี่ม้าเมฆาได้
หลินเกาฮั่นส่ายหัวด้วยความไม่เชื่อ ยกมือขึ้นเช็ดเืตรงมุมปากก่อนหัวเราะเยาะ
แต่ยายเด็กหน้าเหม็นนั่นจะไม่มีโอกาสได้ขี่อีกแล้ว น่าเสียดาย ม้าดีๆ เช่นนี้...สูญเปล่าเสียแล้ว!
ต้องรู้ว่าม้าสองตัวนี้ของฉีอ๋องทรงพลังเป็อย่างยิ่ง พวกมันเป็ที่เลื่องลือว่ามีนิสัยดื้อรั้น นอกจากฉีอ๋องแล้วก็ไม่มีใครควบคุมพวกมันได้
ในยามนี้ บังเหียนของม้าเมฆาไม่ได้ผูกติดกับลำต้นของต้นไม้รอบข้างด้วยซ้ำ
ดังนั้นจึงกล่าวได้ว่ามันมีอิสระ
ดังนั้นหากเมื่อครู่นี้เขาทำให้ม้าเมฆาโกรธจริงๆ หลินเกาฮั่นนึกไม่ออกว่าเขาจะถูกมันเหยียบย่ำจนเป็ก้อนเนื้อหรือไม่
การคาดเดานี้ได้รับการยืนยันในทันที หลินเกาฮั่นกำหมัดแน่น ไม่กล้าหยิบมีดออกจากอกอีก
“น่ารังเกียจยิ่ง!” หลินเกาฮั่นกัดฟันด้วยความโกรธ เขาไม่คาดคิดว่าจะถูกมู่จื่อหลิงทำร้าย กระทั่งในยามนี้แม้แต่สัตว์ก็ยังกล้าเตะเขา
สิ่งที่ทำให้หลินเกาฮั่นโกรธที่สุดคือเขาไม่สามารถทำอะไรกับเ้าสัตว์ร้ายตัวนี้ได้
ยามนี้ด้วยร่างกายที่ทรุดโทรม หลินเกาฮั่นเดินไม่ไหวด้วยซ้ำไป...ด้วยรู้ว่าเขาไม่สามารถรุกรานม้าเมฆาได้ หลินเกาฮั่นจึงเปลี่ยนเป้าหมายไปที่ม้าธรรมดาซึ่งถูกผูกติดกับต้นไม้อีกด้านหนึ่ง
แม้ว่ามันจะเป็ม้าธรรมดา แต่ในครั้งนี้หลินเกาฮั่นก็ไม่กล้าประมาทอีก ด้วยบทเรียนที่ได้รับจากการถูกม้าเมฆาเตะยังอุ่นอยู่
เขาคู้กายที่เ็ป เดินไปทางม้าอีกตัวอย่างระมัดระวัง ใช้ทั้งมือและปากพยายามแก้เชือกม้าที่กุ่ยเม่ยผูกไว้
หลังจากปลดสายบังเหียน ยามเห็นว่าม้าไม่ได้ทำสิ่งใดที่ดูผิดปกติ หลินเกาฮั่นจึงลดความระมัดระวังส่วนใหญ่ของตนลง
บอกได้ว่าเ้าม้าตัวนี้เชื่องจริงๆ หลินเกาฮั่นใช้ความพยายามอย่างมากในการปีนขึ้นหลังม้า ั้แ่ต้นจนจบ มันไม่แสดงอาการขัดขืนใดๆ เลย
หลินเกาฮั่นนอนบนหลังม้าสูงอย่างอ่อนแรง เมื่อหันไปมองม้าเมฆา เห็นว่ามันยังคงรักษาการเคลื่อนไหวอยู่ในท่วงท่าเดิมนั้นคือจ้องมองไปยังทิศทางปากถ้ำ
ข่าวลือที่ว่า ม้าเมฆาอุดมไปด้วยจิติญญานั้นเป็เื่จริง หลินเกาฮั่นได้เห็นแล้ว แต่เขายังไม่อยากเชื่อ
แต่ว่า...
ยามนึกถึงมู่จื่อหลิงที่ตายไปโดยไม่เหลือร่างที่สมบูรณ์ อารมณ์ของหลินเกาฮั่นก็สดใสขึ้นอีกครั้ง เขาเย้ยหยันมันสองสามคำ “เ้าม้าสารเลว ไม่ต้องรอหรอก แม้ว่าเ้าจะรอจนตาย ยายเด็กหน้าเหม็นนั่นก็จะไม่ออกมา จะไม่มีวันออกมา...ฮ่าฮ่า...”
ยามนี้ ดูเหมือนม้าเมฆาที่ถูกหลินเกาฮั่นเย้ยหยัยจะเข้าใจสิ่งที่เขาพูด
มันอ้าปากข่มขู่อย่างดุร้าย
จากนั้นกีบหน้าของมันก็เริ่มขูดดินบนพื้น เตรียมพร้อมที่จะพุ่งใส่เขา
เมื่อเห็นเช่นนี้ สีหน้าของหลินเกาฮั่นก็เปลี่ยนไปด้วยความใ เขารีบใช้กำลังที่เหลืออยู่ฟาดแส้ ส่งเสียงอย่างอ่อนแรง “ไป...”
เพียงแวบเดียว ม้าที่อยู่ใต้ร่างเขาก็ส่งเสียงร้องสนั่นอย่างเ็ป กางกีบเท้าออก รีบวิ่งออกไป...
เพียงม้าธรรมดา เดิมม้าเมฆาก็ไม่เห็นมันในสายตาอยู่แล้ว มันจึงไม่ไล่ตามไป ไม่สนใจที่จะไล่ตาม มันเพียงหันกลับมา มองเข้าไปในถ้ำมืดมิด......
-
มู่จื่อหลิงกับกุ่ยเม่ยกลับเข้าไปในถ้ำด้วยเส้นทางเดิมอย่างรวดเร็ว
ระหว่างทาง จิตใจของกุ่ยเม่ยเต็มไปด้วยความสงสัย แต่มู่จื่อหลิงไม่ให้เขาพูด ดังนั้นเขาจึงไม่กล้าถาม
ในเวลาปกติ กุ่ยเม่ยจะไม่พูดมาก เขาจะไม่รู้สึกอะไรหากเขาไม่พูดสักสองสามวัน
แต่ใน่เวลาสั้นๆ นี้ ความสงสัยในใจของกุ่ยเม่ยกลับไร้ซึ่งคำตอบ
สถานการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นบ่อยครั้งยามกุ่ยเม่ยตามหลงเซี่ยวอวี่ ดังนั้นเขาจึงไม่เอ่ยถามด้วยความเคยชิน
เพราะกุ่ยเม่ยรู้ว่าไม่มีประโยชน์ที่จะถาม หรือหากถามอย่างอดไม่อยู่ เขาก็จะถูกผู้เป็นายเพิกเฉยอยู่ดี
กุ่ยหยิ่งกับกุ่ยเม่ยรู้ดี ดวงตาเ็าของเ้านายของพวกเขามีความหมายเดียวเสมอนั้นคือ เ้าโง่!
แต่ยามนี้เป็มู่จื่อหลิง กุ่ยเม่ยราวกับจะมีหนอนชอนไชในหัวใจ เขากำลังจะขาดอากาศหายใจตายจริงๆ
แค่โง่ก็ไม่เป็ไร แต่โง่ก็ยังผิด!
ยามนี้กุ่ยเม่ยแค่ขอให้มู่จื่อหลิงบอกเขาว่าเหตุใดถึงเสี่ยงชีวิตเข้าไปในถ้ำในยามนี้? เหตุใดฝูงค้างคาวเืแดงจึงไม่ไล่พวกเขามา
เหตุใด...มีคำว่าเหตุใดเต็มไปหมด
ในยามนี้ ในที่สุดกุ่ยเม่ยก็สามารถเข้าใจความคิดที่สับสนและโกรธเคืองของหลงเซี่ยวเจ๋อในยามที่ต้องเก็บคำไว้ในใจ อึดอัดยิ่งนัก!
......
ในจุดปลอดภัยก่อนเลี้ยวโค้ง มู่จื่อหลิงให้กุ่ยเม่ยรออยู่ตรงนั้น เขาไม่ได้รับอนุญาตให้ตามนางเข้าไปในถ้ำ
ในตอนแรก กุ่ยเม่ยไม่เห็นด้วย แม้ภายใต้การ ‘ข่มขู่’ ที่รุนแรงของมู่จื่อหลิง เขาก็ยังไม่เปลี่ยนความตั้งใจที่จะตามปกป้องหวางเฟย
ด้วยเหตุนี้ มู่จื่อหลิงจึงทั้งโกรธและหดหู่ใจ
ไม่อาจบอกกล่าวกับเ้าท่อนไม้นี้ได้ ทั้งยังอธิบายไม่ถูกเหมือนกัน!
มู่จื่อหลิงกลัวว่าเวลาจะยืดเยื้อออกไป เมื่อกลุ่มค้างคาวเืแดงกินร่างของเด็กปรุงยาจนหมดสิ้น ก่อนที่ความพยายามของพวกเขาจะไร้ผล
ดังนั้น มู่จื่อหลิงจึงใช้ประโยชน์จากความเฉยชาของกุ่ยเม่ย ลอบใช้ผงเส้นเอ็นอ่อนกับเขา แล้วบอกให้เขานั่งลงบนพื้นอย่างเชื่อฟัง
ด้วยเกรงว่าก่อนหน้านี้ยามสาดน้ำยาหลิงอวิ้นจำนวนมากจะมีส่วนที่ติดร่างนาง มู่จื่อหลิงตรวจตนเองอย่างละเอียดก่อนที่ปล่อยความคิดเดินเข้าไปด้วยดวงตาเขียวขุ่น
ยามกำลังจะเข้าไป นางเห็นแววตาวิตกกังวลของกุ่ยเม่ยรวมทั้งใบหน้าแดงก่ำ เห็นได้ชัดว่าเขาพยายามดิ้นรนเพื่อหลุดพ้น
มู่จื่อหลิงถอนหายใจอย่างอดไม่ได้ พูดอย่างจริงจัง “ไม่ต้องกังวล ไม่มีอันตราย เปิ่นหวางเฟยจะออกมาโดยเร็ว จะไม่มีอะไรเกิดขึ้นเป็แน่”
ก่อนพูดจบ มู่จื่อหลิงก็หันหลังกลับ เดินเข้าไปในถ้ำ ทิ้งกุ่ยเม่ยที่นั่งอยู่ในมุมเล็กๆ ไว้ข้างหลัง ให้มองตามนางอย่างกระวนกระวาย...
หลังจากเข้าไปในถ้ำ มู่จื่อหลิงก็เห็นภาพที่น่าขนหัวลุกอย่างรวดเร็ว
เห็นเด็กปรุงยาทั้งสองที่เดิมนอนนิ่งอยู่ ในยามนี้มีค้างคาวเืแดงรุมทับเป็กองสูงเท่าเนินเขา
ตัวที่อยู่้าพยายามตะเกียกตะกายเพื่อจะลงไป ส่วนตัวที่อยู่ด้านล่างก็ถูกดันออก จนต้องพุ่งขึ้นไปบนยอดสุดใหม่อีกครั้ง เป็วงจรที่เกิดซ้ำๆ
ยามเห็นภาพนี้ มู่จื่อหลิงแอบกลืนน้ำลาย นางไม่คาดคิดจริงๆ ว่าน้ำยาหลิงอวิ้นจะมีผลดึงดูดที่น่าอัศจรรย์เช่นนี้