ซูิเยว่จ้องเพดานห้องแล้วถอนหายใจยาวออกมาก่อนจะลุกขึ้นมานั่ง สุดท้ายก็กุมสร้อยเส้นนั้นเอาไว้ แล้วสวมเข้าที่คอของตัวเองราวกับเป็ของสำคัญ
จี๋โม่หานชอบตนอย่างนั้นหรือ?
แต่ปกติจี๋โม่หานก็ไม่ได้แสดงท่าทีพิเศษอะไรกับตนเลยนะ
นี่เป็ปัญหาที่นางไม่กล้าจะมองตรงๆ มาตลอด ที่จริงนางก็คงเข้าใจั้แ่อยู่บนรถม้าแล้ว จี๋โม่หานไม่ใช่คนที่พูดคำพูดพวกนั้นออกมาอย่างไม่ใส่ใจ
เพียงแต่มันกะทันหันเกินไป นางไม่กล้ามองความรู้สึกในใจของตัวเองแบบตรงไปตรงมาที่สุด
ั้แ่นางเริ่มใกล้ชิดกับจี๋โม่หานครั้งแรก จนถึงตอนนี้ก็ค่อยๆ รู้จักคุ้นชินกันมากขึ้น นางพูดชัดเจนไม่ได้ว่าความสัมพันธ์ระหว่างพวกนางมันคืออะไร สหายอย่างนั้นหรือ?
นอกจากเื่ผลประโยชน์แล้วก็ไม่มีการพูดคุยกันเื่อื่นๆ แต่ทุกครั้งที่นางมีปัญหา คนแรกที่มาช่วยนางได้ก็คือจี๋โม่หาน คนเดียวที่เชื่อได้ก็คือจี๋โม่หาน
ซูิเยว่กุมมือไว้ที่หน้าอกตรงตำแหน่งที่สวมสร้อยก่อนจะสูดหายใจเข้าลึกๆ แล้วนางล่ะ? แล้วนางรู้สึกอย่างไรกับจี๋โม่หาน?
ไม่ใช่ว่าซูิเยว่ไม่เข้าใจความรัก แต่เป็เพราะชาติก่อนเคยรักคนคนหนึ่งมากเกินไปจนทำให้ตายไปเช่นนั้น พอกลับมาเกิดใหม่ นางก็ไม่มีความคิดที่จะยุ่งเกี่ยวกับเื่นี้อีก ในใจคิดแค่อยากจะแก้แค้นบุรุษและสตรีที่สมควรตายนั่น
แต่ตอนนี้เื่นี้กลับถูกเอามาแสดงออกชัดเจนต่อหน้านาง นางจึงทำตัวไม่ถูก
แต่นางเองก็ไม่อาจปฏิเสธได้ว่า ความรู้สึกที่ตัวเองมีต่อจี๋โม่หานนั้นพิเศษเล็กน้อย พอเห็นดวงตาของเขาแล้วก็ปวดใจ นางอยากจะรักษาดวงตาเขาให้หาย นอกจากการแก้แค้นแล้ว ก็ไม่มีเื่ไหนที่ทำให้นางยืนยันได้ขนาดนี้
เช่นนั้นความรู้สึกแปลกๆ ที่นางมีต่อจี๋โม่หานเป็ความรักหรือ? หรือว่าเป็เพราะจี๋โม่หานช่วยนางไว้ นางจึงซาบซึ้งและคิดว่าความสัมพันธ์นี้พิเศษ
ความรู้สึกหงุดหงิดแปลกประหลาดไม่รู้ชื่อก็ผุดขึ้นมา นางจึงเดินไปรินน้ำชาเย็นที่โต๊ะมาดื่ม ความหงุดหงิดถึงได้ดีขึ้นมาหน่อย
ความจริงแล้วั้แ่ตอนเช้าที่นางกำชับเสี่ยวอวี่ ตนก็ได้เชื่อใจและพึ่งพาคนคนหนึ่งไปแล้วทั้งใจ ดังนั้นเื่บางอย่างไม่จำเป็ต้องยืนยันคำตอบให้แน่ใจก็ได้
ซูิเยว่เดินมาตรงโต๊ะเครื่องแป้งภายในห้องแล้วเปิดลิ้นชัก จากนั้นก็หยิบกล่องออกมาจากด้านใน ด้านในมีกล่องใส่ของเล็กๆ ที่นางเก็บรักษาเอาไว้แต่ก่อน
นางหยิบหยกเขียวที่ชนะพนันได้ออกมาจากด้านในนั้น จากนั้นก็หามีดแกะสลักในตู้อีกตัว
โชคดีที่ชาติก่อนนางเคยเรียนวิชาแกะสลักมาเล็กน้อย
เสี่ยวอวี่เฝ้าอยู่หน้าห้องตลอดบ่ายก็ไม่เห็นซูิเยว่ออกมาเลย อีกทั้งไม่รู้ว่าคุณหนูทำอะไรอยู่ภายในห้อง มีแค่ระหว่างนั้นที่สั่งให้นางยกน้ำชาเข้ามา แต่ก็ยังมีท่าทีลึกลับเช่นเคย
จนกระทั่งตะวันลาลับฟ้าไป สีท้องฟ้ามืดลงแล้ว ตอนนั้นเองซูิเยว่ถึงได้ออกมาจากห้อง
เสี่ยวอวี่ได้ยินเสียงเปิดประตูออกมาก็หันตัวไปมอง “คุณหนู”
ซูิเยว่เดินบิดี้เีออกมาพลางขยับคอกับแขนขาตัวเองสักหน่อย นางนั่งมาตลอดทั้งบ่ายจึงรู้สึกว่าร่างกายแข็งทื่อ ไม่เหมือนกับเป็ตัวเองเลย
สายตาของเสี่ยวอวี่เห็นปลายนิ้วของซูิเยว่พันผ้าเอาไว้ก็กังวลขึ้นมา “คุณหนู มือเป็อะไรไปเ้าคะ?”
“อ๋อ นี่หรือ” ซูิเยว่มองมือครู่หนึ่งอย่างไม่ใส่ใจแล้วพูด “ไม่เป็อะไรหรอก ก็แค่โดนเข้าโดยไม่ทันระวังน่ะ”
พูดถึงตรงนี้ซูิเยว่ก็จนใจเล็กน้อย ตนประเมินความสามารถในการแกะสลักของตัวเองสูงเกินไปหน่อย เดิมทีนางคิดจะแกะสลักัน้ำ แต่สุดท้ายสิ่งที่นางแกะสลักออกมาได้นั้นนางก็ไม่รู้ว่ามันคืออะไรเช่นกัน อีกทั้งยังาเ็ที่มืออีกด้วย
“คุณหนู ให้หมอมาดูสักหน่อยหรือไม่?”
“ไม่ต้องหรอก” ซูิเยว่เดินไปนั่งที่โต๊ะเล็กในเรือน “แค่แผลเล็กๆ พันแผลเองก็พอแล้ว”
“เช่นนั้นคุณหนูหิวหรือยังเ้าคะ? ข้าจะไปเตรียมอาหารเย็น”
“อืม ไปเถิด”
รอจนเสี่ยวอวี่เดินออกไปแล้ว ซูิเยว่ถึงได้ล้วงของที่นางแกะสลักตลอด่บ่ายออกมาจากในอก หลังจากแกะสลักเสร็จแล้ว นางก็ยังหาเชือกที่เหมือนกับจี๋โม่หานมาร้อยหยกลงไป
ซูิเยว่ถอนหายใจออกมาอย่างจนใจแล้วเอาเชือกนั้นมาเล่น เสียดายหยกก้อนนี้จริงๆ ที่สำคัญคือนางไม่กล้าเอาของเช่นนี้ไปให้จี๋โม่หานจริงๆ
ตอนที่เสี่ยวอวี่เอาอาหารกลับมา นางก็เห็นซูิเยว่กำลังเท้าคางเหม่อลอย
นางนำอาหารจากในกล่องออกมาจัดให้เรียบร้อย แล้วถามด้วยความประหลาดใจ “คุณหนู ท่านกำลังคิดอะไรอยู่หรือเ้าคะ?”
ซูิเยว่ขมวดคิ้ว “เ้าว่าการที่คนอื่นให้ของสำคัญมากๆ กับข้า แต่ข้ากลับให้....อืม....ก็ไม่ใช่ของที่สำคัญอะไรกับเขาหรอก มันคงไม่ค่อยดีเท่าไหร่ใช่หรือไม่?”
“เื่นี้จะต้องดูที่เจตนาของคนให้เ้าค่ะ” เสี่ยวอวี่กล่าว “ขอแค่คุณหนูจริงใจ ถึงจะไม่ใช่ของที่แพงขนาดนั้น ถึงจะเป็ของราคาถูก แต่ก็เต็มไปด้วยความรู้สึกนะเ้าคะ”
ซูิเยว่จ้องเสี่ยวอวี่ ในใจก็เริ่มเข้าใจขึ้นมาทันที จริงด้วย เหตุผลง่ายๆ ขนาดนี้ เสี่ยวอวี่สาวใช้คนนี้ก็ยังเข้าใจเลย เหตุใดนางถึงยังไม่เข้าใจกันนะ
“ทานอาหาร ทานอาหาร ทานเสร็จแล้วข้าจะออกไปข้างนอกเสียหน่อย”
มือที่ตักข้าวของเสี่ยวอวี่ชะงักไป “คุณหนูจะไปไหนอีกหรือเ้าคะ?”
ซูิเยว่ไอแค่กออกมา “ความลับ ค่อยบอกเ้าอีกที อีกเดี๋ยวหลังจากทานอาหารเสร็จแล้ว อย่าให้ใครก็ตามมารบกวนข้าล่ะ หากมีคนมาหาข้าก็บอกว่าข้านอนไปแล้ว”
“เ้าค่ะ คุณหนู”
ในฤดูร้อนพอพระอาทิตย์ตกแล้วก็จะมืดเร็วเป็พิเศษ เมื่อทานอาหารเย็นเสร็จท้องฟ้าก็เริ่มมืดแล้ว
ซูิเยว่กลับห้องไปเก็บของอยู่ครู่หนึ่ง นางเปลี่ยนเป็ชุดสีดำ จากนั้นก็ปีนกำแพงจากเรือนหลังออกจากจวนไป จากนั้นก็ตรงไปยังจวนองค์ชายสาม
หลายชั่วโมงหลังจากที่นางขังตัวเองคิดอะไรบางอย่างในห้อง ถึงแม้เื่บางเื่จะยังไม่มั่นใจทั้งหมด แต่นางก็ยังอยากจะพูดกับองค์ชายสามให้ชัดเจน
ตอนที่ใกล้ถึงจวนองค์ชายสาม ในใจของซูิเยว่ก็รู้สึกว่าทำผิดขึ้นมาเล็กน้อย
นางยืนอยู่ตรงตำแหน่งไม่ไกลก่อนจะหายใจลึกๆ ตอนนี้การเดินไปที่หน้าจวนองค์ชายสามก็เหมือนกำลังจะไปตาย
บังเอิญว่าตอนนั้นหลิงชวนกำลังพาคนมาเดินลาดตระเวนที่เรือนหน้าพอดี พอเห็นซูิเยว่ก็ชะงักไป แล้วเดินเข้ามาหา “มืดขนาดนี้คุณหนูซูมาทำอะไรหรือขอรับ?”
“ข้าอยากมาหาเ้านายของเ้า เ้านายของเ้าพักผ่อนไปหรือยัง?”
“ในเวลานี้ปกติองค์ชายยังไม่พักผ่อนขอรับ ข้าจะพาท่านไป”
“ได้”
ซูิเยว่เดินตามหลังหลิงชวนไปเรือนหลัง ถึงแม้ถนนเส้นนี้นางเคยเดินมาแล้วหลายครั้งจนคุ้นชินแล้ว ทว่าพอเดินบนถนนเส้นนี้ในค่ำคืนนี้ หัวใจก็เต้นเร็วขึ้นอย่างน่าประหลาด
จู่ๆ นางก็เดินไวขึ้นหลายก้าวแล้วจับแขนของหลิงชวนเอาไว้ หลิงชวนหันกลับมามองด้วยความใ “คุณหนูซู เป็อะไรไปขอรับ?”
ซูิเยว่ดึงหลิงชวนไปด้านข้างด้วยท่าทางลึกลับก่อนจะปล่อยมือออกแล้วถามเสียงเบา “หลิงชวน ข้าถามอะไรเ้าสักอย่างสิ”
“ถามมาเลยขอรับ” หลิงชวนถูกการกระทำนั้นทำเอาหัวขาวโพลนไปหมด
“เ้านายของเ้า....” ซูิเยว่ขมวดคิ้ว ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก็เอ่ยออกมา “เหตุใดหลายปีมานี้เ้านายของเ้าถึงยังไม่แต่งงานหรือ?”
หลิงชวนที่ถูกคำถามนี้ไปก็ถึงกับชะงัก เขามองซูิเยว่อย่างสงสัยแล้วส่ายหน้า “ไม่รู้แน่ชัดขอรับ แต่อาจเป็เพราะไม่เจอสตรีที่ชอบ อีกทั้งสถานการณ์ของเ้านายข้าเป็อย่างไร ท่านเองก็รู้อยู่แล้ว”