บทที่ 3: ก้าวแรกสู่อิสรภาพ
แสงแรกของรุ่งอรุณส่องผ่านช่องโหว่ของหลังคาฟาง ทำให้ฝุ่นผงเล็กๆ เต้นระบำในลำแสงสีทอง ไป๋หรูซินนอนตะแคงข้างกอดชุนฮวาไว้แน่น อ้อมกอดนี้ไม่เพียงมอบความอบอุ่น แต่ยังเป็เกราะกำบังจากภัยร้ายที่รอคอยอยู่รอบกาย
เมื่อคืนที่ผ่านมา คำพูดของจ้าวซื่อเหนียงยังคงก้องอยู่ในหู "ขายไปเป็บ่าวรับใช้!" ประโยคนี้ผุดขึ้นมาซ้ำแล้วซ้ำเล่า ความรู้สึกของการถูกคุกคามอิสรภาพยังฝังลึกในใจ แม้ไป๋หลงจะมาช่วยไว้ได้ทัน แต่เธอรู้ดีว่านี่เป็เพียงการถ่วงเวลา ตราบใดที่ยังอยู่ในบ้านหลังนี้ ภายใต้การดูแลที่ไร้ความเมตตา ชีวิตของเธอและชุนฮวาก็ยังแขวนอยู่บนเส้นด้าย
"ไม่ได้การแล้ว... เราต้องหาทางออกจากที่นี่" ไป๋หรูซินคิดอย่างเด็ดเดี่ยว การเผชิญหน้าเมื่อวานทำให้รู้ว่าการอยู่เฉยไม่ใช่ทางเลือกอีกต่อไป เธอต้องเป็ฝ่ายลงมือเพื่อควบคุมชะตาชีวิตของตัวเอง
เธอค่อยๆ ขยับตัวออกจากอ้อมกอดน้องสาวอย่างแ่เบา ยันกายขึ้นนั่งบนเสื่อเก่า สายตาเหม่อมองไปยังความมืดมิดภายนอก พลางนึกย้อนถึงความทรงจำที่เลือนราง
เธอจำได้ว่าบิดามีที่ดินแปลงหนึ่งอยู่ชายเขา เป็กระท่อมเก่าที่เคยเป็ของปู่ย่า ที่ดินตรงนั้นเป็เนินเขาหินปนทราย ไม่เหมาะแก่การเพาะปลูก จึงถูกทิ้งร้างมานานหลายปี แต่สำหรับไป๋หรูซินคนปัจจุบัน ที่ดินแปลงนั้นคือ โอกาส คือทางรอดเดียวที่เธอนึกออก
เช้าตรู่ของอีกวัน ไป๋หรูซินตัดสินใจอย่างแน่วแน่ เธอปลุกชุนฮวาขึ้นมา ล้างหน้าล้างตาด้วยน้ำที่เหลืออยู่ในหม้อ และพาน้องสาวเดินฝ่าลมหนาวไปยังเรือนใหญ่ของบิดา เรือนไม้เก่าที่ดูมิดชิดกว่ากระท่อมของเธอหลายเท่า
เมื่อก้าวเข้าสู่ลานบ้าน กลิ่นอาหารหอมฟุ้งลอยมาแตะจมูก ไป๋หรูซินรู้ว่าบิดาคงกำลังรับประทานอาหารเช้าพร้อมกับครอบครัวใหม่ของเขา เธอสูดหายใจลึกๆ เพื่อรวบรวมความกล้า ก่อนก้าวเข้าไปในห้องโถงที่ใช้เป็ห้องอาหาร
ไป๋ต้าเฉา ชายวัยกลางคนรูปร่างผอมกะหร่อง ผมเผ้าหงอกขาวประปราย กำลังนั่งกินข้าวต้มอย่างเงียบงัน มีจ้าวซื่อเหนียงและไป๋เฟิ่งนั่งฝั่งตรงข้าม ทั้งสองพูดคุยกันอย่างออกรส โดยไม่แม้แต่จะชายตามองไป๋หรูซินที่ยืนหน้าประตู
"ท่านพ่อเ้าคะ..." ไป๋หรูซินเอ่ยเรียกเสียงแ่ พยายามทำน้ำเสียงให้สุภาพที่สุด
ไป๋ต้าเฉาเงยหน้าขึ้นมองบุตรสาว ดวงตาดูว่างเปล่าและหม่นหมอง ราวคนที่แบกรับภาระหนักอึ้งไว้เต็มบ่า แต่ไร้ซึ่งพลังจะแก้ไขสิ่งใด
"มีอะไรหรือ หรูซิน?" เขาถามเสียงเรียบไร้อารมณ์
ไป๋หรูซินก้าวเข้าไปใกล้ขึ้นเล็กน้อย คุกเข่าลงเบื้องหน้าบิดา "ท่านพ่อเ้าคะ... ลูกมีเื่อยากจะขออนุญาตเ้าค่ะ"
จ้าวซื่อเหนียงเหลือบมองด้วยแววตาเ็า "มีเื่อะไรอีก? อย่ามาสร้างความวุ่นวายยามกินข้าว!"
ไป๋หรูซินเมินเฉยต่อคำพูดของนาง เธอก้มหน้าเล็กน้อย ก่อนเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่พยายามทำให้มั่นคงที่สุด "ท่านพ่อเ้าคะ... ลูกอยากจะขอแยกไปอยู่ที่กระท่อมริมชายเขาของปู่ย่าเ้าค่ะ"
……….วิ้งงงงงงงง……….
ความใครั้งใหญ่
คำพูดของเธอทำให้ทั้งไป๋ต้าเฉา จ้าวซื่อเหนียง และไป๋เฟิ่งถึงกับชะงัก ช้อนในมือของไป๋ต้าเฉาร่วงกระทบชามเสียงดัง 'เพล้ง!'
"อะไรนะ!" จ้าวซื่อเหนียงตวาดเสียงแหลม "นังเด็กบ้า! แกคิดอะไรของแก! ไปอยู่ที่กระท่อมโทรมๆ นั่น แกจะไปอยู่อย่างไร! แล้วใครจะเลี้ยงข้าวแก!" จ้าวซื่อเหนียงพูดขึ้นเหมือนห่วงใยเธอ
ไป๋ต้าเฉามองบุตรสาวด้วยแววตาเต็มไปด้วยความสับสนและไม่เข้าใจ "หรูซิน... เ้าพูดเื่อะไร? ที่นั่นมันรกร้างมานานแล้ว จะไปอยู่อย่างไรกัน?"
ไป๋หรูซินเงยหน้าขึ้นมองบิดา ดวงตาเต็มไปด้วยความหวัง "ลูกรู้เ้าค่ะท่านพ่อ... แต่ลูกคิดว่าลูกจะอยู่ที่นั่นได้ ลูกมีวิธีที่จะทำให้กระท่อมพออยู่ได้ และลูกจะรับผิดชอบตัวเองกับชุนฮวาเองเ้าค่ะ"
"เหลวไหล!" จ้าวซื่อเหนียงตบโต๊ะเสียงดัง "แกจะไปหาเลี้ยงตัวเองได้อย่างไร! กะอีแค่เด็กกะโปโลอย่างแก! หรือคิดจะไปทำเื่เสื่อมเสียอะไรให้ตระกูลข้ากันแน่!"
"ท่านแม่รองซื่อเหนียง!" ไป๋หรูซินทนไม่ไหวอีกต่อไป เธอเงยหน้าขึ้นมองแม่เลี้ยงด้วยแววตาที่ฉายแววไม่พอใจ "ข้าไม่ได้คิดจะทำเื่เสื่อมเสียอันใด! ท่านลองคิดดู หากข้ายังอยู่ที่นี่ต่อไป ก็จะเป็ที่ขวางหูขวางตาของท่าน! สู้ให้ข้าไปอยู่ที่นั่น อย่างน้อยก็ไม่เป็ภาระของท่านอีก!"
คำพูดตรงไปตรงมาทำให้จ้าวซื่อเหนียงหน้าเปลี่ยนสีนางอ้าปากค้าง… เพิ่งนึกขึ้นได้ แล้วไป๋หรูซินก็พูดต่ออย่างรวดเร็ว
"อีกอย่างเ้าค่ะท่านพ่อ... หากลูกอยู่ที่นี่ต่อไป แล้วท่านแม่รองยังคงทุบตีและทรมานลูกเช่นนี้ หากชาวบ้านรู้เข้า เกรงว่าชื่อเสียงของท่านพ่อและตระกูลไป๋จะเสียหายมากกว่านะเ้าคะ"
ไป๋หรูซินเลือกใช้เหตุผลเื่ 'ชื่อเสียง' ขึ้นมาขู่เพื่อกดดันบิดาซึ่งมันก็เป็สิ่งสำคัญสำหรับคนในยุคนี้
ไป๋ต้าเฉาหน้าซีดเผือด เขามองไปที่จ้าวซื่อเหนียงอย่างลังเลใจ จริงอยู่ที่เขาไม่ค่อยใส่ใจลูกสาวทั้งสอง แต่เขายังคงแคร์สายตาและคำนินทาของชาวบ้าน หากข่าวลือเื่การทารุณกรรมลูกสาวตัวเองแพร่สะพัดออกไป เขาก็คงไม่มีหน้าจะไปพบใครได้อีก
"แต่ว่า... หรูซิน... มันไม่ดีหรอก" ไป๋ต้าเฉาพึมพำ "หากเ้าไปอยู่คนเดียว ชาวบ้านจะมองว่าอย่างไร..."
"ท่านพ่อเ้าคะ!" ไป๋หรูซินกราบลงอีกครั้ง "ลูกขอร้องเถิดเ้าค่ะ! ลูกจะไม่ทำให้ท่านต้องเสียชื่อเสียง! ลูกจะพยายามอย่างเต็มที่เพื่อที่จะอยู่รอดด้วยตัวเอง!"
เธอพยายามขอร้อง รู้ว่าบิดายังพอมีเศษเสี้ยวความเมตตาให้กับ
าวคนเล็กอยู่บ้าง
ในขณะที่ไป๋ต้าเฉากำลังลังเล จ้าวซื่อเหนียงรีบฉวยโอกาส "ท่านพี่! ให้มันไปเถิดเ้าค่ะ! ที่นั่นมันก็แค่กระท่อมรกร้าง ไม่มีอะไรให้มันใช้ประโยชน์ได้หรอกเ้าค่ะ! ปล่อยให้มันไปลำบากเองบ้างเถิด! ดีกว่าปล่อยให้มันอยู่ที่นี่เป็ภาระให้เราต้องเลี้ยงดูเปลืองข้าวเปลืองน้ำ!"
ไป๋เฟิ่งที่นั่งฟังอยู่ข้างๆ รีบเสริม "ใช่แล้วเ้าค่ะท่านพ่อ! ปล่อยให้นังนี่ไปเถิดเ้าค่ะ! ไปให้พ้นหน้าไปเสีย! เกะกะลูกตา!"
คำพูดของจ้าวซื่อเหนียงและไป๋เฟิ่ง แม้จะดูโหดร้ายในสายตาไป๋หรูซิน แต่กลับเป็ตัวเร่งให้ไป๋ต้าเฉาตัดสินใจได้ง่ายขึ้น เพราะเขาก็ไม่้าให้สองแม่ลูกคู่นี้สร้างปัญหาให้มากไปกว่านี้
ไป๋ต้าเฉาถอนหายใจเฮือกใหญ่ สายตาจับจ้องไปที่ไป๋หรูซินที่ยังคงคุกเข่าอยู่เบื้องหน้า ใบหน้าของบุตรสาวดูซีดเซียวแต่แววตากลับแข็งแกร่งอย่างน่าประหลาดใจ แตกต่างจากไป๋หรูซินคนเดิมที่เคยอ่อนแอและร้องไห้เสมอ
"เฮ้อ... เอาเถิด..." ไป๋ต้าเฉาตอบด้วยน้ำเสียงเหนื่อยหน่าย "ถ้าเ้าอยากไปนักก็ไปเถิด... แต่อย่าได้มาทำให้ข้าต้องลำบากใจทีหลังก็แล้วกัน!"
ไป๋หรูซินเงยหน้าขึ้นมองบิดาด้วยความแปลกใจระคนยินดี เธอไม่คิดว่าจะได้รับอนุญาตง่ายดายถึงเพียงนี้
"ขอบพระคุณเ้าค่ะท่านพ่อ! ขอบพระคุณเ้าค่ะ!" เธอรีบกล่าวขอบคุณอย่างนอบน้อมที่สุด
จ้าวซื่อเหนียงหันหน้าหนีด้วยความไม่พอใจ แต่ก็ไม่ได้แสดงออกมากมายนัก เพราะในใจลึกๆ นางก็อยากให้ไป๋หรูซินออกไปจากบ้านให้พ้นหน้าพ้นตา
"แต่จำไว้!" ไป๋ต้าเฉาเอ่ยเสียงเคร่งเครียด "อย่าได้ทำอะไรให้ข้าต้องอับอาย! และหากเ้าไปแล้วไม่สามารถดูแลตัวเองได้ อย่าได้กลับมาขอความช่วยเหลือจากข้า!"
"เ้าค่ะท่านพ่อ... ลูกจะไม่มีวันกลับมาสร้างปัญหาให้ท่านเ้าค่ะ" ไป๋หรูซินตอบด้วยความแน่วแน่
เธอลุกขึ้นยืน กราบลาบิดาและแม่เลี้ยงอย่างสุภาพ ก่อนจะจูงมือชุนฮวาที่ยืนฟังอยู่ข้างๆ ด้วยความงุนงง
"พี่หรูซิน... เราจะไปอยู่ที่ไหนเ้าคะ?" ชุนฮวาถามเสียงเบา
"ที่ที่เราจะได้เป็ตัวของตัวเองนะชุนฮวา" ไป๋หรูซินตอบด้วยรอยยิ้มอ่อนโยน "ที่ที่ไม่มีใครมาทำร้ายเราได้อีกแล้ว"
เมื่อออกจากเรือนใหญ่ ไป๋หรูซินรู้สึกราวกับภาระหนักอึ้งหลุดไปจากบ่า อากาศยามเช้าที่เย็นสบายกลับดูสดชื่นกว่าที่เคย แม้ยังไม่รู้ว่าจะเผชิญกับอะไรข้างหน้า แต่เธอรู้ว่าชีวิตใหม่ของเธอและชุนฮวากำลังจะเริ่มต้นขึ้น
ชีวิตที่เธอจะได้เป็ผู้กำหนดเองทุกย่างก้าว
ชีวิตที่เต็มไปด้วยความหวังและความเป็ไปได้ไร้ขีดจำกัดไม่ได้พูดอะไรอีก เพราะเื่นี้ก็ถือว่ากำจัดเสี้ยนหนามไปได้ง่ายๆ
ไป๋หรูซินรีบพยุงชุนฮวาเดินออกจากเรือนใหญ่โดยไม่คิดจะเหลียวหลังกลับไปมองอีก
เมื่อลับสายตาไปแล้ว จ้าวซื่อเหนียงก็บ่นอุบ "ท่านพี่! ให้มันไปที่กระท่อมซอมซ่อ ไร้ประโยชน์! เดี๋ยวก็วิ่งกลับมาขอข้าวเรากินอีกหรอก!"
"ช่างเถิดเถิดน่าซื่อเหนียง!" ไป๋ต้าเฉาตอบอย่างเบื่อหน่าย "ปล่อยให้มันไปเผชิญชะตากรรมเอง ดีกว่าให้มันอยู่ในบ้านแล้วเ้าก็คอยดุด่ามันทุกวัน ข้าเบื่อที่จะฟังแล้ว"
ส่วนไป๋หรูซินและชุนฮวา สองพี่น้องเดินเคียงข้างกันไปตามทางเดินแคบ ๆ ที่ทอดสู่ชายเขา มีเพียงผ้าห่มบาง ๆ ผืนเดียวเท่านั้นที่เธอนำติดตัวมา กับเสื้อผ้าที่สวมใส่ติดตัวคนละชุด แสงแดดยามสายเริ่มอบอุ่นขึ้นเล็กน้อย แต่ก็ไม่ได้ช่วยบรรเทาความเหน็บหนาวในใจของไป๋หรูซินได้มากนัก
ความรู้สึกปลดปล่อย อย่างประหลาดเข้ามาแทนที่ความหวาดกลัว แม้จะต้องเผชิญหน้ากับความยากลำบากที่ไม่รู้จบ แต่การได้เป็อิสระจากการกดขี่ของจ้าวซื่อเหนียงคือชัยชนะก้าวแรกที่ยิ่งใหญ่สำหรับเธอ
"พี่หรูซิน... เราจะไปอยู่ที่ไหนเ้าคะ?" ชุนฮวาถามเสียงสั่น ใบหน้ายังคงซีดเผือด
ไป๋หรูซินยิ้มบางๆ ให้น้องสาว "เราจะไปอยู่ที่บ้านใหม่ของเราไงชุนฮวา... ที่นั่นเราจะปลอดภัย เราจะสร้างมันขึ้นมาใหม่ด้วยกัน"
กระท่อมริมชายเขาตั้งอยู่บนเนินสูงชัน ห่างจากหมู่บ้านพอสมควร เมื่อไปถึง ภาพที่เห็นทำให้ไป๋หรูซินถึงกับถอนหายใจเฮือก
มันเป็กระท่อมไม้เก่าๆ ที่ทรุดโทรมยิ่งกว่าที่คิด หลังคาฟางมีรูโหว่ขนาดใหญ่ ผนังไม้ผุพังหลายจุด ประตูหลุดออกจากบานพับจนต้องพิงไว้กับผนัง หน้าต่างแตกละเอียด มีต้นหญ้าและวัชพืชขึ้นรกเรื้อปกคลุมไปทั่วบริเวณราวกับไม่มีใครเหลียวแลมานานนับสิบปี
นี่คือบ้านใหม่ของเธอ... ที่ที่ดูไม่ต่างจากเศษซากปรักหักพังนัก
ไป๋หรูซินเดินเข้าไปในกระท่อม กลิ่นอับชื้นและฝุ่นคละคลุ้งไปทั่ว มีหยากไย่เกาะอยู่ตามมุมห้อง ข้าวของเครื่องใช้ก็ไม่มีอะไรเลยนอกจากหม้อดินเก่า ๆ กับชามแตก ๆ 2-3 ใบและใบไม้แห้งที่ปลิวเข้ามา
"พี่หรูซิน... ที่นี่... จะอยู่ได้อย่างไรเ้าคะ..." ชุนฮวาถามเสียงแ่ ดวงตาเต็มไปด้วยความผิดหวังระคนหวาดกลัว
ไป๋หรูซินทรุดตัวลงนั่งบนพื้นดินที่เต็มไปด้วยฝุ่น เธอโอบกอดน้องสาวแน่น เธอรู้ว่านี่คือความท้าทายที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิตของเธอ ความรู้สึกผิดชอบชั่วดีในใจที่รับรู้ถึงความเ็ปของเด็กน้อยไป๋หรูซินคนเก่า ผสมกับความมุ่งมั่นของตัวเธอเองในการเอาชีวิตรอดและสร้างชีวิตที่ดีขึ้น มันเป็แรงผลักดันที่มหาศาล
"เราอยู่ได้สิชุนฮวา..." เธอพูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่น "แม้จะลำบาก... แต่เราจะไม่ยอมแพ้... ที่นี่จะเป็บ้านของเรา... ที่ที่เราจะปลอดภัยจากทุกสิ่งทุกอย่าง... เราจะซ่อมมัน... เราจะทำให้ที่นี่เป็บ้านที่อบอุ่นที่สุดของเราสองคน"
ไป๋หรูซินเงยหน้าขึ้นมองแสงแดดที่ลอดผ่านช่องโหว่บนหลังคา ดวงตาของเธอฉายแววมุ่งมั่นและเด็ดเดี่ยว เธอรู้ดีว่าหนทางข้างหน้ายังอีกยาวไกล และเต็มไปด้วยอุปสรรค แต่ในใจของเธอ กลับเต็มเปี่ยมไปด้วยความหวังและพลังที่จะสร้างสรรค์
เธอจะใช้ความรู้ทุกอย่างที่เธอมีจากโลกอนาคต เพื่อพลิกฟื้นดินแดนที่รกร้างแห่งนี้ ให้กลายเป็แหล่งเพาะปลูกที่อุดมสมบูรณ์ และจะทำให้ชีวิตของเธอกับน้องสาวไม่ตกต่ำเช่นนี้อีกต่อไป จากนั้นเธอกับน้องก็ช่วยกันเก็บกวาดทำความสะอาด