หญิงสาวตอบว่า “ยังไม่เคยมีเลยค่ะ”
จิงซิงอี้จึงอธิบายว่า “คนไข้มีภาวะมีบุตรยากครับ ในทางแพทย์แผนจีน มักเกิดจากไตพร่อง ชี่ของตับอุดตัน และภาวะอื่นๆ
ผมวินิจฉัยโรคตอนนี้ไม่ได้ เพราะไม่มีข้อมูลมากพอ โดยเฉพาะกับผู้หญิง คนไข้จะต้องอัลตร้าซาวด์ที่ช่องท้อง มดลูก และรังไข่ แล้วก็ตรวจฮอร์โมนเพศด้วย
ทั้งหมดนี้ต้องไปทำที่โรงพยาบาล แล้วค่อยนำผลการตรวจมาให้ผมวินิจฉัยอีกครั้ง ไม่ใช่แค่คนไข้ สามีของคนไข้ก็ต้องตรวจร่างกายด้วยเหมือนกัน”
หญิงสาวหน้าเสีย เธออยากจะรู้ผลตอนนี้เลย จิงซิงอี้เข้าใจดีว่าเธอคิดอย่างไร เขาจึงอธิบายต่อว่า
“หมอจีนไม่ใช่หมอเทวดาเหมือนในหนังนะครับ ที่จะบอกอาการได้ทุกอย่าง การใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่มาช่วย จะยิ่งทำให้การรักษาแม่นยำมากขึ้น
ถ้าเราอยู่ในยุคโบราณที่ไม่มีเครื่องเอ็กซเรย์ ผมก็คงจะรักษาให้ แต่ตอนนี้เรามีเครื่องมือที่ช่วยให้เรารักษาโรคได้ตรงจุด เราก็ควรจะใช้มันร่วมไปด้วย แล้วผมก็เป็แพทย์จีนที่ใช้วิธีการรักษาร่วมกับแผนปัจจุบันด้วยครับ”
หญิงสาวรู้สึกเชื่อถือหมอหนุ่มคนนี้มากขึ้นจากการพูดตรงๆ ของเขา ละการยืนหยัดในหลักการโดยไม่กลัวว่าจะเสียลูกค้าไป จิงซิงอี้หยิบถุงสมุนไพรถุงหนึ่งส่งให้เธอ และบอกว่า
“ถุงนี้ช่วยให้เืไหลเวียนดีนะครับ เอาวางไว้ข้างหมอนก่อนนอน”
หลังจากที่หญิงสาวลุกออกไปแล้ว คนอื่น ๆ ที่ยืนฟังอยู่นาน ก็รีบมาเข้าแถวเพื่อตรวจอาการฟรี
ชายหนุ่มตรวจคนไข้จนเวลาผ่านไป 2 ชั่วโมงกว่า ฟ้าเริ่มมืดลง คนแถวนั้นบางคนสังเกตว่าจิงซิงอี้ไม่ถูกยุงกัดเลย ในขณะที่พวกเขาต้องคอยตบไล่ยุง
จิงซิงอี้ได้จังหวะจึงรีบโชว์ถุงหอมไล่แมลงและยุง พร้อมกับอธิบายสรรพคุณ คนที่ได้ถุงหอมแบบเดียวกันไปแล้ว แต่ยังไม่ยอมกลับ ก็รีบสนับสนุนโดยบอกว่าเขามีถุงหอมนี้ แล้วก็ไม่โดนยุงกัดเลย
แต่น่าเสียดายที่เขาแจกถุงหอมไปจนหมดแล้ว เมื่อบางคนถามหา จิงซิงอี้ก็ตอบยิ้มๆว่า
“วันนี้ผมเอามาแจกฟรีครับ วันไหนที่มาตรวจฟรี ผมจะเอาติดมาแจกด้วย แต่ถ้าอยากได้อีก”
ชายหนุ่มยิ้มตาใส และพูดต่อว่า
“ไปซื้อที่คลินิกของผมได้ครับ มีหลายชนิด ทั้งรักษาอาการนอนไม่หลับ ฆ่าเชื้อโรค แก้ปวดหัว ราคาก็ไม่แพง ถุงละ 100 หยวนเท่านั้นครับ!”
ชาวบ้านพากันหัวเราะ พวกเขาสแกนคิวอาร์โค้ดเก็บเอาไว้ เพื่อจะได้มีช่องทางติดต่อกับคลินิก
เมื่อได้เวลา จิงซิงอี้เริ่มเก็บของกลับบ้าน ชาวบ้านที่มารักษาไม่ทัน ก็ถามว่าเขาจะมาวันไหนอีก จิงซิงอี้ตอบว่า เขาจะมาอีกครั้งอีกสองอาทิตย์ถัดไป ในวันและเวลาเดิม
ก่อนจะกลับ เขาเดินซื้อขนมและอาหารจากร้านแถวนั้นติดมือไปด้วย ที่จริงแล้วเขาไม่ค่อยได้ทำอาหารบ่อยนัก แต่จะทำเฉพาะตอนที่จิงเซียวอยู่ด้วย เพราะเขาอยากให้ชายชราได้กินอาหารที่ดีต่อสุขภาพ
ส่วนตัวเขาเองก็กินอาหารทำเองบ้างและซื้อกินบ้างสลับกันไป และยิ่ง่ที่เรียนหนักและฝึกงาน เขาแทบจะไม่ได้นอนเลย แล้วจะเอาเวลาที่ไหนมาทำอาหารกิน
หลังจากการไปตั้งโต๊ะรักษาโรคฟรี ก็เริ่มมีคนไข้มารับการรักษาที่คลินิกเพิ่มขึ้น ทั้งคนในหมู่บ้านและคนจากหมู่บ้านจินิ ทำให้เขารู้สึกโล่งใจขึ้น อย่างน้อยเขาก็ยังพอมีเงินจ่ายค่าน้ำค่าไฟของคลินิกได้
แต่เขาก็ไม่สามารถหยุดอยู่แค่การทำคลินิกอย่างเดียวได้ ลั่วเยี่ยน ศิษย์พี่คนโตของเขาก็ติดต่อมา พร้อมกับแนะนำผู้เชี่ยวชาญการปลูกสมุนไพรจากบริษัทใหญ่ในภาคตะวันออก ซึ่งก็คือ เฉินหานอวี้ เขาเป็ผู้จัดการด้านการวิจัยและพัฒนาสมุนไพร และยังเป็หุ้นส่วนของบริษัทอีกด้วย
จิงซิงอี้จึงพูดคุยกับเฉินหานอวี้ผ่านวิดีโอคอลล์ เพื่อหาข้อมูลสำคัญมาช่วยในการตัดสินใจ จิงซิงอี้ไม่มีปัญหาเื่เงินทุน เขายังพอมีเงินส่วนตัวเหลือ และยังได้รับการสนับสนุนจากสปอนเซอร์รายใหญ่ นั่นก็คือจิงเซียว
เฉินหานอวี้ได้รับข้อมูลจากลั่วเยี่ยน เกี่ยวกับจิงซิงอี้และจิงเซียว เขาตื่นเต้นยินดีที่จะได้ร่วมงานกับแพทย์จีนชื่อดังอย่างจิงเซียว และยังมีจิงซิงอี้ หลานชายที่สืบทอดความรู้ด้านสมุนไพรโดยตรง
เขาจึงนัดกับจิงซิงอี้เพื่อมาสำรวจสถานที่ และสภาพแวดล้อมต่างๆ เมื่อจัดการนัดแนะวันเวลาแล้ว ก็มาถึงวันที่จิงซิงอี้จะต้องไปรักษาคนไข้ฟรีตามโครงการบริการวิชาการสู่ชุมชน ของมหาวิทยาลัยการแพทย์เซี่ยงไฮ้ที่เพื่อนสนิทของเขาได้ชวนเอาไว้
ก่อนหน้านั้นหนึ่งวัน จิงซิงอี้ตรวจอาการของแม่สุนัขจิ้งจอก ซึ่งเดินได้ตามปกติแล้ว เขาปล่อยมันกลับไปบนเขา ในขณะที่เ้าตัวเล็กละล้าละลังไม่อยากจะจากเขาไป
ชายหนุ่มก็รู้สึกผูกพันกับมันเช่นกัน แต่เขาก็ต้องยอมรับว่าตัวเองไม่มีเวลาดูแล และมันก็คือสัตว์ป่าที่้าเสรีภาพ การนำมันมาเลี้ยงจึงไม่ใช่ทางออกที่ดี
ในตอนเช้าตรู่หลังจากที่ให้อาหารเช้าพวกมันแล้ว เขาก็บอกพวกมันว่า จะพาไปส่งบ้านแล้วนะ จากนั้นก็เดินออกประตูหลังบ้านโดยมีพวกมันเดินตามมา เมื่อมาถึงชายป่าที่อยู่ตีนเขา จิงซิงอี้อุ้มเ้าตัวเล็กขึ้นมา มองตามัน และพูดว่า
“เ้าหนู ฉันมาส่งได้แค่นี้ละ ที่นี่คือบ้านของเ้ากับแม่นะ ดูแลตัวเองให้ดี มีอะไรก็มาที่บ้านนี้ ฉันกับคุณตายินดีต้อนรับพวกเ้าเสมอ”
เ้าตัวเล็กหูลู่ลงและส่งเสียงครางเบาๆ มันเลียมือจิงซิงอี้เหมือนจะเข้าใจ เขาปล่อยมันลงพื้น และหันหลังเดินกลับ เมื่อมองกลับมา เขาก็เห็นสองแม่ลูกยืนมองดูเขาไม่ขยับไปไหน เหมือนจะส่งเขากลับบ้านด้วยสายตา จิงซิงอี้หัวเราะและะโบอกพวกมันว่า
“พวกเ้าจะเศร้าไปทำไม อยากมาเจอวันไหนตอนไหนก็แวะมาสิ ฮ่าๆๆ”
แล้วเขาก็หันหลังเดินกลับเข้าประตูหลังบ้านไปทันที
การเดินทางไปเซี่ยงไฮ้จากหมู่บ้านที่เขาอยู่ ต้องเผื่อเวลาไว้หนึ่ง วัน เขาต้องออกเดินทางไปเซี่ยงไฮ้ด้วยรถไฟั้แ่เย็นวันศุกร์ พักที่อพาร์ทเมนท์ที่จิงเซียวเคยซื้อเอาไว้ให้ตอนเขาเรียนมัธยม
จากนั้นในตอนเช้าตรู่ของอีกวัน เขาจะต้องเดินทางไปพบกับทีมแพทย์อาสาที่มหาวิทยาลัย และทุกคนจะนั่งรถไปยังสถานที่ที่จะบริการรักษาคนไข้ฟรีด้วยกัน
วันนี้เขาเดินทางออกจากหมู่บ้าน และไปถึงเซี่ยงไฮ้ประมาณบ่าย 3 โมงเย็น เขายังมีนัดกินข้าวเย็นกับเย่เฉิน เพื่อนที่เรียนแพทย์มาด้วยกัน
ก่อนจะถึงเวลานัด เขานั่งรถไฟฟ้าไปยังโรงพยาบาลที่เย่เฉินทำงานอยู่ แถวนั้นมีร้านอาหารชื่อดังหลายร้าน และยังเป็จุดนัดพบของพวกเขาในตอนเย็นด้วย
จิงซิงอี้เดินเล่นอยู่ละแวกคอมมูนิตี้มอลล์ ซึ่งเป็แหล่งทำธุรกิจหลายอย่างในย่านนั้น เมื่อเบื่อแล้ว เขาจึงเดินสำรวจเข้าไปในซอยเล็กๆ ซึ่งเป็ที่ตั้งของร้านเก่าแก่และยังรวมไปถึงร้านขายยาจีนชื่อดังอีกหลายร้านด้วย
จิงซิงอี้เดินสำรวจตลาดขายสมุนไพรในซอยเก่าแก่ ซึ่งมีทั้งแผงขายสมุนไพรสดและแห้งโดยชาวบ้าน และร้านที่ขายยาจีนที่มีหมอจีนคอยตรวจรักษาอาการไปพร้อมๆกัน
เขาหยุดอยู่ที่แผงสมุนไพรหนึ่ง ซึ่งเป็ร้านของหญิงชราวัยประมาณ 70 ปี เธอปูผ้ายางลงกับพื้นปูน และวางพืชแปลกๆ หลายชนิดเอาไว้ ซึ่งมีคนหยุดดูบ้างและเดินผ่านไปอย่างไม่สนใจ
แต่จิงซิงอี้ชะงักเมื่อเห็นสมุนไพรที่กองอยู่บนผ้ายาง เขาย่อตัวลงนั่งและหยิบพืชรูปร่างแปลกๆ แต่ละอย่างขึ้นมาพลิกดูและดมกลิ่นด้วยความสนใจ
