พอหลิงเซียวจากไป โหยวเสี่ยวโม่ระลึกได้ว่ามีเื่ต้องทำ
ตอนแรกตั้งใจไปเรือนหญ้าเซียนเพื่อส่งยาหลอมให้อาจารย์จ้าว แล้วจะยื่นเื่ขอลงเขากับศิษย์พี่อู่เยี่ยน
ศิษย์ทุกคนมีโอกาสลงเขาได้คนละสองครั้งต่อเดือน โหยวเสี่ยวโม่เดือนนี้ยังเหลืออีกหนึ่งครั้ง เขาเตรียมลงเขาวันมะรืน ไม่เช่นนั้นอีกไม่กี่วันก็จะเป็เดือนใหม่แล้ว ถึงตอนนั้นสิทธิ์การลงเขาก็จะหายไปหนึ่งครั้ง
เพราะว่าเป็ศิษย์สายเดียวกัน ศิษย์พี่อู่เยี่ยนจึงอนุญาตอย่างไม่ลังเล
วันถัดมา โหยวเสี่ยวโม่จึงบอกเื่นี้กับหลิงเซียวตอนที่เขามาหา
หลิงเซียวพอได้ยินว่าเขาจะลงเขา ไม่เอ่ยถามว่าเขาจะลงเขาไปทำอะไร เพียงแต่พูดพร้อมรอยยิ้ม “พอดีเลย ข้าก็จะลงเขาพอดี พรุ่งนี้เราลงเขาพร้อมกันดีกว่า”
โหยวเสี่ยวโม่นึกเสียใจที่บอกเขาเื่นี้ “เมื่อวานท่านพึ่งกลับมาไม่ใช่หรือ จะลงเขาอีกทำไมกัน?”
“นั่นเป็ภารกิจของทางสำนัก แขนงการต่อสู้ในทุกเดือนจะมีศิษย์จำนวนหนึ่งออกไปทัศนาจรเพื่อฝึกฝน ข้าเป็ศิษย์พี่จึงต้องไปดูแลพวกเขา ไม่งั้นปล่อยพวกเขาไปกันเองไม่กี่วันก็คงซี้แหงแก๋ นี่ถ้าไม่ห่วงว่าจะทำให้สำนักตั้งข้อสงสัย ข้าไม่มีทางไปแน่นอน ทว่าฟังจากน้ำเสียงเ้าคงไม่อยากไปพร้อมกับข้างั้นรึ?”
หลิงเซียวไม่ลังเลที่จะเล่าถึงภารกิจให้เขาฟังแม้แต่น้อย ในเมื่อไม่ใช่ความลับอะไร แต่น้ำเสียงในตอนท้ายกลับเปลี่ยนเป็น่ากลัวขึ้นมา
โหยวเสี่ยวโม่รีบยกมือบอกปัด “ไม่ใช่ๆ ท่านคิดมากแล้ว”
“พูดถึงศิษย์แขนงโอสถอย่างพวกเ้า อีกหน่อยก็ต้องออกทัศนาจรนี่นา” พอเปลี่ยนหัวข้อ หลิงเซียวก็พลันพูดเื่เกี่ยวกับแขนงโอสถทันใด
“เอ๊ะ อ้อ ข้าพึ่งเข้าร่วมสำนักยังไม่ถึงเดือน เื่ทัศนาจรคงจะอีกนาน เพียงแต่หลังจากนี้อีกห้าเดือนจะมีการทดสอบฝีมือเพื่อเข้าสำนัก ถึงจะยุ่งยากหน่อย เหมือนว่าต้องหลอมยาเซียนตันขั้นสองให้ได้เม็ดหนึ่งถึงจะผ่านการทดสอบ ไม่งั้นก็จะถูกขับออกจากสำนัก” พอเขาพูดถึงเื่ทัศนาจร โหยวเสี่ยวโม่พลันนึกถึงเื่การทดสอบครึ่งปีให้หลัง
เขาในตอนนี้สามารถหลอมยาเซียนตันขั้นหนึ่งได้ยี่สิบชนิด ทว่ายาเซียนตันขั้นสองกลับไม่เคยหลอม กังวลใจอยู่บ้างแต่เวลายังเหลืออีกตั้งห้าเดือน ฉะนั้นเขาจึงไม่รู้สึกรีบร้อนมากนัก ทว่าบางทีพอนึกถึงว่าตัวเองเป็ศิษย์ในอาจารย์ขงเหวินแล้ว ถ้าครึ่งปีให้หลังไม่ผ่านการทดสอบ นั่นหมายถึงทำให้อาจารย์ตกที่นั่งลำบากทั้งยังถูกศิษย์คนอื่นหัวเราะเยาะเอาได้
เมื่อได้ยินน้ำเสียงไม่มั่นใจจากคำพูดเขา หลิงเซียวก็เอ่ยพร้อมเสียงหัวเราะอ่อนนุ่ม “ศิษย์น้องเล็ก เ้าก็ดูถูกตัวเองเหลือเกิน”
โหยวเสี่ยวโม่ชะงัก ไม่เข้าใจว่าเขาหมายถึงอะไร “หมายความว่ายังไง?”
หลิงเซียวยกขาขึ้นไขว่ห้างด้วยท่าทางสง่า ไม่ได้จงใจทำ แต่ราวกับเป็ราศีผู้ดีแต่กำเนิด ไม่ว่าจากมุมไหน ก็ให้ความรู้สึกที่ว่านั่นคือบุคลิกธรรมชาติของเขา เขายกกาน้ำชาบนโต๊ะขึ้นรินใส่ถ้วยชา ชาที่พึ่งถูกชงไม่นานนี้ยังคงอุ่นอยู่
“คัมภีร์ิญญา์เป็วิชายุทธ์ขั้นสูง สิ่งที่เ้าได้นั้นวิชายุทธ์ขั้นต่ำไม่สามารถเทียบชั้นได้เลย ถ้าหากเ้าหมั่นเพียรฝึกฝน ไม่ถึงครึ่งปีเ้าย่อมเป็นักหลอมโอสถขั้นสองได้แน่” ยิ่งกว่านั้นคือความสามารถเหนือกว่าคนขั้นเดียวกันเสียอีก แน่นอนว่าคำพูดประโยคนี้เขาไม่ได้เผยมันออกมา
หลิงเซียวเหลือบมองท่าทีดีใจของเขาครู่หนึ่ง จากนั้นละสายตาอย่างนิ่งเฉย พร้อมเอ่ย “ข้าไม่มีความจำเป็ต้องโกหกเ้า”
ไม่ว่าคำพูดนี้จะเป็การปลอบโยนจากหลิงเซียวหรือไม่ แต่โหยวเสี่ยวโม่ก็อารมณ์ดีขึ้นมากทีเดียว ความวิตกในใจทุเลาลงอย่างมาก
ดีล่ะ ถึงแม้บางเวลาหลิงเซียวจะร้ายกาจมาก ชอบจี้ใจดำเขา ดูถูกสารพัด ทำเป็ไม่สนใจ แต่ที่จริงหลิงเซียวก็ทำดีกับเขา คราวก่อนก็เช่นกัน รู้ว่าเขา้าวิชายุทธ์ วันถัดมาก็หามาให้ทันที โหยวเสี่ยวโม่ไม่ได้พูดแต่ในใจรู้สึกประทับใจไม่น้อย ถึงแม้เขาจะทำเพื่อยาเซียนตันก็ตาม
รุ่งเช้าวันถัดมา หลิงเซียวก็มาหาเขาจริงๆ
เพียงแต่ด้านหลังกลับมีคนสองคนที่โหยวเสี่ยวโม่นึกอยากตีตัวออกห่างมากที่สุดมาด้วย