หลายวันก่อน เขาว่างเสียจนน่าประหลาดใจ แต่นางกลับวุ่นวายหัวหมุน ทั้งงานเย็บปักถักร้อย ทั้งทำพู่ห้อย แต่ละวันแทบไม่ได้หยุดพัก แม้เขาอยากให้นางพักผ่อน แต่นางก็ยังดึงดันจะทำ เห็นได้ชัดว่าเขาเป็ห่วง ทว่านางก็ไม่ยอมวางมือ
่หลายวันมานี้น้ำในแม่น้ำลดลง จางเจิ้นอันจึงมุ่งมั่นจับปลาอย่างขะมักเขม้นยิ่งกว่าเดิม
เมื่อจับปลาได้มากขึ้น เขาไม่เหมือนแต่ก่อนที่ต้องรอถึงวันตลาดนัดจึงจะเข้าเมืองลั่วเหอ แต่กลับไปแทบจะวันเว้นวัน โดยปกติแล้ว วันหนึ่งจับปลา ตกบ่ายวันรุ่งขึ้นก็เข้าเมือง ทุกครั้งที่กลับมามักจะมีของฝากเล็กๆ น้อยๆ ติดมือมาให้อันซิ่วเอ๋อร์เสมอ แม้นางจะเอ่ยปากบ่นว่าเขาใช้จ่ายฟุ่มเฟือย แต่ในใจกลับเปี่ยมสุข
น้อยคนนักที่จะดีกับนางถึงเพียงนี้ นางจึงไม่อยากทำลายน้ำใจของเขา ด้วยเหตุนี้ แม้เขาจะไม่รู้จักเก็บออม นางก็ไม่ได้ว่ากล่าวอันใด เพียงแต่ตนเองกลับยิ่งขยันขันแข็งมากขึ้นเท่านั้น
ทว่าเมื่อจางเจิ้นอันวุ่นวายกับงาน เวลาที่ใช้ร่วมกันในบ้านก็น้อยลง จากเดิมที่มักจะกลับบ้านยามโพล้เพล้ เดี๋ยวนี้กลับกลายเป็ต้องเหยียบย่ำแสงจันทร์กลับมาทุกคืน แน่นอนว่าอันซิ่วเอ๋อร์เองก็ง่วนอยู่กับการปักผ้าเช็ดหน้า จึงไม่ได้รู้สึกเหงาหรือผิดสังเกตนัก เพียงแต่เมื่อฟ้าเริ่มมืด นางก็จะวางมือจากเข็มกับด้าย จัดเตรียมอาหารค่ำจนเสร็จ แล้วจึงออกไปยืนรอสามีที่หน้าประตู
ชีวิตแม้จะดำเนินไปอย่างเรียบง่าย แต่สองสามีภรรยาก็รักใคร่กลมเกลียวกันดี นับว่าเป็ความสุขอย่างหนึ่ง อันซิ่วเอ๋อร์ค่อนข้างพอใจกับชีวิตที่เป็อยู่ หากเพียงแต่ไร้ซึ่งกู้หลินหลางเข้ามารบกวน ก็คงจะดีกว่านี้มาก
อันที่จริง ใน่แรก แม้จะเคยฝันประหลาด แต่นางก็ยังมีความรู้สึกสับสนบางอย่างต่อกู้หลินหลางผู้นี้ ทว่าไม่รู้ด้วยเหตุใด ระยะหลังมานี้นางกลับยิ่งรู้สึกรังเกียจเขามากขึ้นทุกที แต่เขากลับรู้ดีว่า่นี้จางเจิ้นอันกลับบ้านค่ำทุกวัน พอสอนหนังสือเสร็จก็จะแวะเวียนมาซื้อปลาที่บ้านนาง ทำให้อันซิ่วเอ๋อร์รู้สึกเบื่อหน่ายระอาใจยิ่งนัก
แต่ครั้นจะขับไล่ไสส่งไปก็กระไรอยู่ ด้วยเขาหน้าหนานัก อีกทั้งบ้านนางก็ค้าขายปลา การไล่ลูกค้าไปย่อมดูไม่ดี ทำได้เพียงปล่อยเลยตามเลย ยิ่งไปกว่านั้น หากทำเช่นนั้น ชาวบ้านอาจจะนินทาว่านางมีลับลมคมใน นำไปพูดจาเสียหายลับหลังได้
แต่การที่เขามาเช่นนี้ทุกวี่วัน ทำให้อันซิ่วเอ๋อร์เอือมระอาอย่างแท้จริง แม้บางครั้งนางจะปิดประตูบ้านแล้ว พอถึงยามโพล้เพล้ เขาก็ยังมาเคาะประตู พลางกล่าวว่า "ข้ามาซื้อปลา" ทว่าใบหน้าและแววตากลับจ้องมองนางไม่วางตา เต็มไปด้วยความนัยชวนอึดอัด
แม้รูปโฉมของเขาจะนับว่าดูดี แต่บัดนี้อันซิ่วเอ๋อร์กลับไม่ได้ชื่นชอบบุรุษรูปร่างบอบบางหน้าขาวเช่นนี้อีกแล้ว นางกลับนิยมชมชอบคนอย่างจางเจิ้นอัน ผู้มีรูปร่างสูงใหญ่กำยำ แม้ภายนอกจะดูคล้ายนักเลงก็ตาม ในใจนางยิ่งทวีความรังเกียจกู้หลินหลาง ที่ไม่คำนึงถึงสถานะของนางซึ่งเป็หญิงมีสามีแล้ว ยังมาป้วนเปี้ยนถึงหน้าประตูบ้านอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน
"ท่านอาจารย์กู้ไม่ใช่ท่านเคยบอกหรือว่าจะกลับบ้านเกิดไปเตรียมตัวสอบ ไฉนจึงยังอยู่ที่นี่เล่า?"
หากจะถามว่าในหมู่บ้านนี้ผู้ใดอยากให้เขาจากไปมากที่สุด อันซิ่วเอ๋อร์ย่อมเป็คนแรกอย่างไม่ต้องสงสัย
"สถานที่ดีงามเช่นนี้ หากปราศจากแม่นางเคียงข้าง ข้าจะจากไปได้อย่างไร?" กู้หลินหลางยังคงมีสีหน้าแสดงความหลงใหล ั์ตาฉายแววหวานซึ้ง ทว่าอันซิ่วเอ๋อร์กลับรู้สึกคลื่นเหียนสะอิดสะเอียน นางเป็สตรีมีสามีแล้ว แต่เขายังคงมาเกี้ยวพา นับว่าไม่ใช่การกระทำของสุภาพบุรุษเลยแม้แต่น้อย
"ปลาของท่านเ้าค่ะ"
อันซิ่วเอ๋อร์ไม่อยากต่อความยาวสาวความยืด นางหยิบปลาที่เขา้ามามัดด้วยเชือกฟาง แล้ววางลงบนโต๊ะข้างๆ กู้หลินหลางฉวยโอกาสพยายามจะััมือนาง ทว่าถูกนางปัดออกอย่างแรงทันควัน
มือขาวผ่องของท่านอาจารย์ผู้ไม่เคยต้องงานหนัก พลันปรากฏรอยแดงช้ำขึ้นอย่างรวดเร็ว อันซิ่วเอ๋อร์เองก็รู้สึกเจ็บแปลบที่ฝ่ามือ ทว่านางไม่ได้เสียใจ หากเขายังทำเช่นนี้อีก นางก็จะตบเขาโดยไม่ปรานี
ที่นางอดทนมาหลายครั้งหลายคราก่อนหน้านี้ ก็เพราะเห็นแก่หน้าอันหรงเหอ ทว่าเขากลับได้คืบจะเอาศอก ฉวยโอกาสยามจางเจิ้นอันไม่อยู่ แวะเวียนมาที่บ้าน อันซิ่วเอ๋อร์รู้ทันเจตนาของเขา เมื่อเห็นท่าทีเช่นนี้ ในใจนางไม่ได้รู้สึกถึงความรักใคร่ใดๆ มีแต่เพียงความรู้สึกว่าเขากำลังเสแสร้ง... เสแสร้งจนน่าขยะแขยง
กู้หลินหลางมองรอยแดงบนหลังมือตนเอง รู้สึกทั้งอับอายทั้งโกรธแค้น เขาเป็ถึงอาจารย์ มีตำแหน่งซิ่วไฉ เหตุใดจึงไม่คู่ควรกับสตรีชาวบ้านเช่นนาง? นอกเสียจากใบหน้างดงามแล้ว นางมีสิ่งใดดีอีก? เขาอุตส่าห์ลดตัวลงมาเอาอกเอาใจถึงเพียงนี้ นางควรรู้สึกเป็เกียรติ ไม่ใช่มาปฏิบัติกับเขาเยี่ยงนี้
แน่นอนว่าอันซิ่วเอ๋อร์ย่อมไม่อาจหยั่งรู้ความคิดในใจเขา นางตบเขาแล้วก็ถอยห่างออกมาสองสามก้าว กล่าวด้วยน้ำเสียงชัดเจนว่า "เื่เล็กน้อยเพียงแค่การซื้อปลา คราวหน้าท่านอาจารย์กู้โปรดให้เด็กรับใช้มาแทนเถิด"
กู้หลินหลางยังคงจ้องมองหลังมือของตน รอยแดงนั้นเด่นชัดอยู่บนผิวขาวผ่อง เขาไม่ใช่คนโง่ การถูกตบครั้งนี้ทำให้เขาตาสว่าง กระจ่างแจ้งแล้วว่าอันซิ่วเอ๋อร์รังเกียจเขาอย่างแท้จริง
ทว่า... แม้นางจะรังเกียจเขา แล้วจะทำไมเล่า? สิ่งที่เขาหมายปองแล้วไม่ได้มา เขาก็จะไม่ยอมให้ผู้อื่นได้ไปเช่นกัน เขาไม่อยากเห็นนางมีความสุขเช่นนี้!
เมื่อเห็นท่าทีขุ่นเคืองระแวดระวังของนาง สมองของเขาก็พลันครุ่นคิดหาอุบาย ต้องหาทางล่อลวงนางไปยังที่ที่มีผู้คนพลุกพล่าน แล้วสร้างเื่ให้นางต้องอับอายขายหน้าเสียให้เข็ดหลาบ ทว่ายังไม่ทันที่เขาจะได้วางแผนอันใด เสียงหนึ่งก็ดังขึ้นที่หน้าประตู อันซิ่วเอ๋อร์หันขวับไปมอง... เป็จางเจิ้นอันกลับมาแล้ว!
นางรู้สึกดีใจขึ้นมาทันที แต่ในชั่วพริบตานั้นเอง กู้หลินหลางกลับฉวยแขนเสื้อของนาง แล้วดึงร่างนางเข้าไปปะทะอ้อมอกตน พร้อมทั้งร้องขึ้นว่า "เ้าทำอะไร? แม่นางอัน! ชายหญิงไม่ควรแตะเนื้อต้องตัวกัน ข้าเพียงแค่มาซื้อปลาเท่านั้น!"
กู้หลินหลางก้มหน้าลง แสร้งทำทีเป็ผลักอันซิ่วเอ๋อร์ออกห่าง ทว่าดวงตากลับจ้องมองนาง มุมปากแย้มยิ้มอย่างผู้มีชัย แฝงแววอาฆาตแค้น
อันซิ่วเอ๋อร์โกรธจนหน้าซีดเผือด เขาช่างไร้ยางอาย! เป็คนดึงนางเข้าไปเองแท้ๆ แต่กลับจงใจกล่าววาจาเช่นนั้น ทั้งยังแอบเหนี่ยวรั้งแขนเสื้อนางไว้อีก นี่มันจงใจให้จางเจิ้นอันเข้าใจผิดชัดๆ! เมื่อคิดถึงตรงนี้ นางอดไม่ได้ที่จะเหลียวมองไปยังจางเจิ้นอัน และก็เป็ดังคาด สีหน้าของเขามืดทะมึนราวกับก้นหม้อ ดำคล้ำยิ่งกว่าครั้งใดๆ ที่เคยเห็น
นางรีบสะบัดมือของกู้หลินหลางออก แล้ววิ่งเข้าไปหาจางเจิ้นอัน อธิบายอย่างร้อนรนว่า "ไม่ได้เป็อย่างที่ท่านคิดนะเ้าคะ!"
"ไม่ได้เป็อย่างที่ข้าคิด แล้วเป็เช่นไร?" จางเจิ้นอันก้มหน้าถามนาง เสียงทุ้มต่ำเย็นเยียบ ร่างกายแผ่ไอสังหารออกมาอย่างน่าสะพรึงกลัว
"เขา... เขาเป็คนไร้ยางอาย! พอเห็นท่านมา ก็ฉุดข้าเข้าไป แล้วจงใจกล่าววาจาเช่นนั้น!"
อันซิ่วเอ๋อร์ไม่สนใจแล้วว่าเขาจะเชื่อหรือไม่ อย่างไรเสียนางก็ต้องอธิบายความจริงออกไป ทว่าความจริงที่ว่านางถูกเขาดึงเข้าไปจริงๆ และได้ใกล้ชิดกับแผงอกของเขา ซึ่งถือเป็เื่ผิดจารีตประเพณีอย่างยิ่ง ทำให้นางรู้สึกเหมือนถูกหยามเกียรติ ทั้งยังหวาดกลัวว่าจางเจิ้นอันจะเข้าใจผิด ใบหน้าจึงแดงก่ำขณะเงยหน้ามองเขา ดวงตาทั้งสองข้างแดงเรื่อราวกับตากระต่ายน้อย มีน้ำตาคลอหน่วย
จางเจิ้นอันก้าวข้ามร่างนางไป เดินตรงไปเบื้องหน้าสองสามก้าว กู้หลินหลางเห็นเขาเดินเข้ามา ก็รู้สึกหวาดหวั่นขึ้นมาหลายส่วน แต่ยังคงพยายามยืนตัวตรง เชิดหน้าถือถุงปลาไว้ มือกลับสั่นน้อยๆ อย่างควบคุมไม่ได้ จางเจิ้นอันเหลือบมองท่าทีนั้นด้วยสายตาดูแคลน แล้วกล่าวเสียงเ็าว่า
"ไอ้คนพาล! กล้าดียังไงมาถึงในบ้านข้า! เป็ถึงอาจารย์สั่งสอนผู้คน กลับมาเกี้ยวพาราสีภรรยาผู้อื่นซ้ำแล้วซ้ำเล่า พอไม่ได้ดั่งใจก็คิดจะใช้กำลังข่มเหง นับว่าไร้ยางอายถึงที่สุด!"
"นางต่างหากที่ยั่วยวนข้า!" กู้หลินหลางยังคงปากแข็ง "ท่านก็เห็นเมื่อครู่นี้ ข้าเป็ถึงซิ่วไฉ ผู้ร่ำเรียนตำราของปราชญ์มา จะทำเื่ต่ำช้าเช่นนั้นได้อย่างไร?"
"นั่นแหละที่เรียกว่าหน้าเนื้อใจเสือ!"
จางเจิ้นอันเห็นเขายังคงแก้ตัว ทั้งยังกล่าวร้ายป้ายสีอันซิ่วเอ๋อร์ ก็ยิ่งเดือดดาล คว้าข้อมือของกู้หลินหลางไว้มั่น ใช้นิ้วสองนิ้วบีบลงไปอย่างแรง กู้หลินหลางก็ร้องโอดโอยออกมาด้วยความเ็ป
"เื่ราวเป็เช่นไร ตัวเ้าย่อมรู้ดีแก่ใจ! ต่อไปนี้อย่าได้เหยียบย่างเข้ามาในบ้านข้าอีก ไม่เช่นนั้นอย่าหาว่าข้าไม่เกรงใจ!"
กล่าวจบ จางเจิ้นอันก็สะบัดมือปล่อย แล้วแย่งถุงปลาในมือของกู้หลินหลางมา โยนทิ้งไปข้างๆ พลางกล่าวว่า "ปลาบ้านข้า ไม่ขายให้คนชั้นต่ำเช่นเ้า!"
กู้หลินหลางรู้สึกอัปยศอดสูอย่างที่สุด ในหมู่บ้านนี้ มีผู้ใดบ้างไม่นอบน้อมให้เกียรติเขา แต่เ้าคนหยาบกระด้าง ไม่รู้หัวนอนปลายเท้าผู้นี้ กลับกล้าปฏิบัติต่อเขาเช่นนี้! ช่างน่าเจ็บใจนัก! ในใจเขาอยากจะฉีกร่างจางเจิ้นอันออกเป็พันๆ ชิ้น ทว่าสันดานขี้ขลาดตาขาว ทำให้เขาได้แต่ยืนตัวสั่น ไม่กล้าแม้แต่จะสบตาจางเจิ้นอันตรงๆ
"ยังไม่รีบไปอีก!" เมื่อเห็นกู้หลินหลางยังยืนนิ่งอยู่ จางเจิ้นอันรู้สึกราวกับว่าบ้านของตนแปดเปื้อนเพราะคนผู้นี้ จึงตวาดเสียงดัง กู้หลินหลางจึงตวัดสายตาอาฆาตแค้นมองเขาแวบหนึ่ง แล้วเดินจากไปอย่างผู้แพ้ หมดรูป
อันซิ่วเอ๋อร์ยังคงก้มหน้ายืนอยู่ที่เดิม ไม่กล้าเอ่ยคำใด จางเจิ้นอันเห็นท่าทางนั้นก็รู้สึกทั้งเอ็นดูทั้งระอา ได้แต่กล่าวเสียงเข้มว่า "ยังไม่เข้ามาอีก?"
นางจึงเดินเข้าไปหาเขาอย่างว่าง่าย แม้ตนเองจะไม่ได้ทำผิดอันใด แต่ครั้งนี้นางก็ตกเป็รองอย่างเห็นได้ชัด การที่ได้แตะเนื้อต้องตัวกับคนอย่างกู้หลินหลาง ทำให้นางกลัวว่าเขาจะโกรธเคือง
"รู้แล้วหรือยังว่าผิด?" จางเจิ้นอันถาม
"รู้แล้วเ้าค่ะ" อันซิ่วเอ๋อร์พยักหน้ารับอย่างว่าง่าย
"แล้วเ้าผิดตรงไหน?" จางเจิ้นอันถามย้ำ
อันซิ่วเอ๋อร์ส่ายหน้า นางเป็เพียงผู้ถูกกระทำ จะผิดได้อย่างไร?
"เ้าผิดที่ไม่ควรปล่อยให้คนเช่นนี้เข้ามาในบ้านั้แ่แรก" จางเจิ้นอันลดเสียงลง กล่าวต่อ "ต่อไปนี้ หากมีคนเยี่ยงนี้กล้าเข้ามาอีก เ้าก็เอาไม้กวาดไล่ตีไปเสียก็สิ้นเื่ คอยดูสิว่าคราวหน้ามันยังจะกล้ามาอีกหรือไม่"
อันซิ่วเอ๋อร์เงยหน้ามองเขา จางเจิ้นอันจึงกล่าวเสริมว่า "คนประเภทเดียวกันก็เช่นกัน พวกเ้าชู้ทั้งหลาย หากมาวอแว เ้าก็ตีได้เลย วันธรรมดาเ้าอยู่บ้านคนเดียว ต้องรู้จักระวังตัวให้มาก อย่าได้เปิดประตูรับคนส่งเดช ปลาไม่กี่ตัวที่ชาวบ้านมาซื้อ ข้าเอาไปขายที่ตลาดในเมืองเดี๋ยวเดียวก็หมดแล้ว"
"ข้ารู้แล้วเ้าค่ะ แต่ที่ข้าเปิดประตูขาย ไม่ใช่เพียงเพราะเงิน แต่เพราะบางครั้งเพื่อนบ้านมีแขกมาเยือนกะทันหัน ไม่มีกับข้าว ข้าขายปลาให้ พวกเขาก็เหมือนได้แก้ปัญหาเฉพาะหน้าไป" อันซิ่วเอ๋อร์อธิบายเหตุผล
"ยังจะเถียงอีก! เห็นหรือไม่เล่า ปล่อยให้คนชั้นต่ำแบบนั้นเข้ามาจนได้เื่" จางเจิ้นอันยังคงกล่าวด้วยน้ำเสียงคล้ายจะตำหนิ ทว่าอันซิ่วเอ๋อร์กลับฟังออกว่าเขาไม่ได้โกรธนางแล้วจริงๆ นางจึงเปลี่ยนเป็กล่าวอย่างเอาใจว่า "เ้าค่ะๆ ข้าผิดไปแล้ว อย่าพูดถึงเื่นี้เลยนะเ้าคะ ข้าจะไปทำอาหารให้ท่านเดี๋ยวนี้"
ยังไม่ทันที่เขาจะได้เอ่ยคำใดต่อ นางก็รีบหมุนตัวเดินเข้าครัวไปเสียแล้ว
ในค่ำคืนนั้น อาจเป็เพราะรู้สึกผิดอยู่ลึกๆ อันซิ่วเอ๋อร์จึงปรนนิบัติเอาอกเอาใจจางเจิ้นอันเป็พิเศษ ทำเอาจางเจิ้นอันอารมณ์ดีขึ้นมาก ความขุ่นข้องหมองใจเมื่อตอนกลางวันมลายหายไปจนสิ้น
ทว่าเื่ราวครั้งนี้ก็มีข้อดีอยู่บ้าง อย่างน้อยก็ทำให้อันซิ่วเอ๋อร์ได้รู้ว่าจางเจิ้นอันยังคงเชื่อใจนาง หากเป็บุรุษอื่น เมื่อเห็นภรรยาตนอยู่ในอ้อมกอดชายอื่น ไม่ว่าความจริงจะเป็เช่นไร จะถูกบังคับหรือไม่ก็ตาม ในฐานะภรรยา คงไม่แคล้วต้องถูกทุบตีเป็แน่
ดังคำที่ชาวบ้านมักกล่าวกันว่า ‘แมลงวันย่อมไม่ตอมของที่ไม่เน่า’ เมื่อสตรีประสบเื่เช่นนี้ คนส่วนใหญ่มักโทษว่าเป็ความผิดของฝ่ายหญิงเสมอ ไม่ว่าอย่างไรก็ยากจะแก้ตัว โชคดีเหลือเกินที่จางเจิ้นอันไม่ได้กล่าวโทษนางเลยแม้แต่น้อย
