ขณะที่โม่เสวี่ยิ่กำลังจะออกไป เหล่าไท่ไท่ก็มาถึง
เหล่าไท่ไท่มาเพื่อบอกโม่ฮว่าเหวินเพียงว่าชื่อเสียงของคุณหนูสกุลโม่จะถูกทำลายไม่ได้
ความหมายของนางทุกคนย่อมกระจ่างใจ นี่มิใช่เื่ของโม่เสวี่ยิ่เพียงคนเดียว หากธิดาคนโตของสกุลโม่ไม่รู้จักรักษาความเป็กุลสตรีในห้องหอ ไม่เคารพเชื่อฟังบิดามารดา ลักลอบนัดพบกับบุรุษ ผู้อื่นย่อมคลางแคลงใจในการอบรมสั่งสอนบุตรธิดาของสกุลโม่ ต่อไปไม่ว่าจะเป็โม่เสวี่ยถง โม่เสวี่ยเยี่ยนหรือแม้แต่โม่เสวี่ยฉงที่ยกให้ซือหม่าหลิงอวิ๋นไปแล้วล้วนต้องลำบาก ยากจะมีโอกาสได้แต่งเข้าสกุลดีได้อีก
เหตุการณ์ในครานี้ต่างจากกรณีของโม่เสวี่ยฉง แม้ว่าสุดท้ายผลลัพธ์จะลงเอยแบบเดียวกัน แต่อย่างน้อยซือหม่าหลิงอวิ๋นก็ช่วยชีวิตคนไว้จริงๆ ทั้งยังบุกเข้าไปในกองเพลิงช่วยเหลือท่ามกลางสายตาผู้คน เนื่องจากเป็การช่วยชีวิตในสถานการณ์บังคับ สถานที่ก็เป็ห้องบูชาบรรพชนสกุลโม่ ระหว่างสองคนมิได้ลอบนัดพบกัน ดังนั้นย่อมไม่ขัดต่อจารีตธรรมเนียม แต่สาเหตุที่มีเื่ราวใหญ่โต เพราะจวนเจิ้นกั๋วโหวไม่พอใจฐานะของโม่เสวี่ยฉง เข้าไปช่วยคนแท้ๆ แต่กลับต้องแต่งบุตรสาวที่เกิดจากอนุภรรยาคนหนึ่งเข้าจวน เป็ใครจะรู้สึกพึงพอใจ
ต่อมาสกุลโม่ยอมผ่อนปรนให้ซือหม่าหลิงอวิ๋นแต่งโม่เสวี่ยฉงในฐานะอนุภรรยา แม้จะไม่มีหน้ามีตา แต่ก็ถือเป็การตอบแทนบุญคุณและเป็การแก้สถานการณ์เฉพาะหน้าที่เหมาะสม เื่ราวจึงผ่านพ้นไปได้
แต่สถานการณ์ของโม่เสวี่ยิ่ยามนี้ไม่เหมือนกัน สถานที่ที่นางไปปรากฏตัวคือหอเซียงหม่านโหลว ซึ่งมีผู้คนมากหน้าหลายตาจากทั่วทุกสารทิศ คิดจะปิดเื่ย่อมปิดไม่อยู่ เวลาเกิดเหตุก็เป็ยามค่ำคืน และที่สำคัญโม่เสวี่ยิ่แอบหนีออกไปจากจวน
อี๋เหนียงของตนเองเพิ่งเกิดเื่เมื่อตอนกลางวันแท้ๆ ตกกลางคืนนางกลับหนีออกไปนอกจวน หากเื่แพร่งพรายออกไปในทำนองนี้ ชื่อเสียงของสตรีทั้งจวนโม่ย่อมเสียหายไปด้วย นี่คือสิ่งที่เหล่าไท่ไท่และโม่ฮว่าเหวินไม่้าให้เกิดขึ้น ดังนั้นโม่ฮว่าเหวินจึงรู้สึกกลัดกลุ้ม เพราะหาทางแก้ไม่ได้
วิธีการที่โม่เสวี่ยิ่เสนอมาใช่ว่าเขาไม่เคยคิด แต่ในทางปฏิบัติไม่อาจทำได้จริง เมื่อโหยวเยวี่ยเฉิงแจ้งสถานะของโม่เสวี่ยิ่ให้หลี่โย่วโม่ทราบแล้ว จู่ๆ จะให้เขากลับคำว่าสตรีในตอนนั้นมิใช่โม่เสวี่ยิ่ได้อย่างไร แม้ว่าสี่ตระกูลกงจะทรงอิทธิพลสูงสุดในแว่นแคว้น แต่ก็มีกลุ่มอำนาจใหม่เกิดขึ้นตลอดเวลา
เสนาบดีกรมกลาโหมก็เป็หนึ่งในคนกลุ่มนี้ เขาถืออำนาจจัดการทางการทหาร เป็ขุนนางที่โอรส์ให้ความสำคัญ แม้จวนิกั๋วกงจะไม่คิดชวนมาเป็พรรคพวกก็ไม่กล้าล่วงเกินอีกฝ่ายเช่นกัน โม่ฮว่าเหวินมีประสบการณ์ในราชสำนักมานาน ความคิดย่อมไม่ตื้นเขินเหมือนสตรีที่เก็บตัวอยู่แต่ในเหย้าเรือนอย่างโม่เสวี่ยิ่ โหยวเยวี่ยเฉิงเป็ผู้มีชื่อเสียงดีงาม แต่กลับมีสหายเก่าแก่ที่มีชื่อเสียงย่ำแย่อย่างหลี่โย่วโม่ ถึงแม้ชื่อเสียงจะเป็ปัญหาและมิได้ไปมาหาสู่กันบ่อยครั้ง แต่ในทางส่วนตัวพวกเขาก็ยังคงเป็สหายกันอยู่
บุรุษผู้ดีงามเพียบพร้อมเช่นโหยวเยวี่ยเฉิงทั้งปัญญาความคิดล้วนแตกต่างกับหลี่โย่วโม่โดยสิ้นเชิง แต่ไฉนจึงยังรักษาสายสัมพันธ์ไว้อย่างเหนียวแน่นเยี่ยงนั้นอีกเล่า สิ่งเหล่านี้โม่เสวี่ยิ่ไม่รู้ แต่โม่ฮว่าเหวินซึ่งเป็ผู้มีความรู้สึกไวต่อเื่การเมืองย่อมรู้ลึกถึงแก่น ด้วยเหตุนี้จึงรู้สึกผิดหวังยามที่โม่เสวี่ยิ่คิดให้ซื้อใจโหยวเยวี่ยเฉิง
สกุลโม่ถือสิทธิอันใดให้โหยวเยวี่ยเฉิงทำลายสายสัมพันธ์เดียวที่เชื่อมต่อกับจวนเสนาบดี ซึ่งเพียรอุตส่าห์รักษามาตลอดหลายปี
เมื่อก่อนเขายังรู้สึกว่าบุตรสาวคนโตของตนเองมองคนเก่ง นิสัยก็ดี เป็คนมีความคิดใช้ได้ จึงมักรู้สึกผิดต่อสถานะบุตรอนุของนางเสมอ จนเกิดความคิดเลื่อนฐานะฟางอี๋เหนียงขึ้นมาเป็ภรรยาเอก เพื่อให้นางได้เป็ธิดาที่เกิดจากภรรยาเอกอย่างแท้จริง แต่ดูจากตอนนี้ บุตรอนุก็ยังคงเป็บุตรอนุวันยังค่ำ ความคิดอ่านตื้นเขินนัก
หลังจากเหล่าไท่ไท่พาโม่เสวี่ยิ่ออกไปแล้ว ภายในห้องหนังสือก็เงียบลงไปชั่วขณะ โม่ฮว่าเหวินยังคงหน้านิ่วคิ้วขมวด โม่เสวี่ยถงเก็บสีหน้าทึ่มเหมือนตอไม้ลง เดินอ้อมไปด้านหลังของโม่ฮว่าเหวิน ก่อนยื่นมือไปคลึงบริเวณขมับทั้งสองข้างให้บิดาแล้วเอ่ยถาม “ท่านพ่อจะไปพบคุณชายหลี่หรือไม่เ้าคะ”
“หลี่โย่วโม่น่ะหรือ” หลังจากนิ่งอึ้งไปเล็กน้อยก็ยิ่งรู้สึกปวดหัว
“ท่านพ่อไม่รู้สึกว่าคุณชายหลี่คือกุญแจสำคัญของเื่ทั้งหมดหรือเ้าคะ หากเขาเป็คนกลับคำเองว่าสตรีในวันนั้นไม่ใช่พี่หญิงใหญ่ ซื่อจื่อหรือจะกล้ายืนยันว่าใช่”
โม่เสวี่ยถงกล่าวด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม นางไม่รู้จักมักคุ้นกับโหยวเยวี่ยเฉิง จากคำร่ำลือเขาก็เป็คนมีชื่อเสียงดีงามคนหนึ่ง แต่บัดนี้นางกลับไม่ปักใจเชื่อว่าเป็เช่นนั้น เพราะส่วนลึกในใจยังคงดูแคลนพฤติกรรมของเขาอยู่
โม่เสวี่ยถงย่อมเข้าใจเื่นี้กระจ่างแจ้งที่สุด คนที่ดูภูมิฐานแบบนั้นกลับตกลงรับนัดพูดคุยกับโม่เสวี่ยิ่เป็การส่วนตัว แม้ว่าทั้งสองจะทำเหมือนรักษามารยาทต่อกันอย่างยิ่ง แต่โม่เสวี่ยถงไม่อยากจะพูด เพราะรู้เช่นเห็นชาติว่าโม่เสวี่ยิ่เป็คนประเภทไหน ไม่ว่าชาติก่อนหรือชาตินี้ต่างวางแผนบีบคั้นนางทีละก้าวๆ คนแบบนี้ไหนเลยจะมีจิตใจดีงามได้สักครึ่งส่วน แต่ภายนอกกลับกล่าวถึงนางแต่ด้านที่ดี
แล้วโหยวเยวี่ยเฉิงซึ่งมีชื่อเสียงแต่ในทางที่ดีเหมือนกับนางเล่า? หากเขาเป็คนดีจริงดังว่า ไฉนจึงคิดร่วมมือกันหลอกใช้หลี่โย่วโม่ โม่เสวี่ยถงกลับรู้สึกว่าเขาเป็ผู้ดีจอมปลอมที่น่ารังเกียจยิ่งกว่าหลี่โย่วโม่เสียด้วยซ้ำ
นางเชื่อว่าขอเพียงหลี่โย่วโม่กลับคำพูด ด้วยวิสัยผู้ดีจอมปลอมของโหยวเยวี่ยเฉิงย่อมไม่ทัดทานเพื่อเป็การล่วงเกินจวนเสนาบดีแน่ ดังนั้นหัวใจของเื่นี้ก็คือหลี่โย่วโม่ผู้เลอะเลือนและมีชื่อเสียงตกต่ำผู้นั้น ไม่ใช่ิกั๋วกงซื่อจื่อที่ร่ำลือกันว่าเป็ผู้รักความชอบธรรม
ข่าวลือบางครั้งก็เชื่อถือไม่ได้ และนางยิ่งไม่เชื่อข่าวลือใดๆ ทั้งสิ้น
“หลี่โย่วโม่...” โม่ฮว่าเหวินนิ่งงันไปครู่ใหญ่ คิ้วขมวดเป็เกลียว ริมฝีปากยิ้มขื่นพลางจูงโม่เสวี่ยถงเข้ามาแล้วลูบหัวนางอย่างอ่อนโยน “คนผู้นี้... ยากยิ่งนัก”
“ท่านพ่อ เมื่อเขาคิดจะแต่งพี่หญิงใหญ่ ท่านเรียกเขามาไม่น่าจะใช่เื่ยากกระมัง” โม่เสวี่ยถงจ้องตาแป๋ว เอ่ยถามด้วยสีหน้าฉงน “สกุลหลี่ของเขาคิดจะบีบบังคับให้พี่หญิงแต่งงานด้วยให้ได้เลยหรืออย่างไร แบบนี้เขาเรียกว่าแต่งผูกสัมพันธ์ที่ไหน มันเป็การผูกความแค้นชัดๆ”
หากการแต่งงานนี้เป็ผลสำเร็จ ชื่อเสียงของธิดาสกุลโม่ย่อมเสื่อมเสีย หากกล่าวกันตามจริงแล้ว นี่หาใช่การแต่งงานผูกสัมพันธ์ แต่ดูเหมือนเป็เื่ที่สร้างขึ้นสำหรับทำลายชื่อเสียงธิดาสกุลโม่เพื่อล้างแค้นเสียมากกว่า
ทันทีที่ได้ยินเสียงโม่เสวี่ยถงบ่นพึมพำ ดวงตาของโม่ฮว่าเหวินพลันสว่างวาบ ตบโต๊ะผาง ยิ้มกว้างอย่างกระจ่างใจในบัดดล เขาเป็ขุนนางรับใช้ใกล้ชิดเบื้องยุคลบาท ย่อมรู้สายสนกลในของเื่ราวประเภทนี้ดี แต่ไม่คิดว่าพอเจอเข้ากับตัวถึงกับหาทางออกไม่ได้ไปชั่วขณะ เมื่อได้ยินโม่เสวี่ยถงเอ่ยถึงจึงเหมือนเป็การเตือนสติ รู้แจ้งในฉับพลัน
โม่ฮว่าเหวินจึงให้โม่เสวี่ยถงกลับเรือนชิงเวยไปก่อน หลังจากจัดการทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว ก็สั่งให้บ่าวไปจวนเสนาบดีเพื่อเชิญคุณชายหลี่มาสังสรรค์เล็กๆ กันที่จวน
…
โม่เสวี่ยถงยังมิได้กลับไปเรือนของตน แต่ไปยังที่พักของเหล่าไท่ไท่ พอเข้าไปด้านในก็เห็นท่านย่าของตนกำลังนั่งหงุดหงิดอารมณ์ไม่ดี อาภรณ์แพรต่วนสีน้ำตาลเข้มปักลายอักขระมงคลทำให้ยิ่งดูเคร่งขรึมขึ้นอีกหลายส่วน โม่เสวี่ยเยี่ยนยืนอยู่ด้านหลังช่วยทุบไหล่ให้นางอยู่ ตอนแรกยังเห็นใบหน้าไม่ชัด แต่จังหวะที่นางยกศีรษะขึ้นก็เห็นสีหน้ายิ้มย่องอย่างปิดไม่มิด โม่เสวี่ยิ่คุกเข่าก้มหน้านิ่งอยู่ที่พื้น มีถ้วยชาลายครามตกแตกอยู่ข้างเท้าของนาง
โม่เสวี่ยถงมองไปด้านหน้าด้วยแววตาราบเรียบ ให้โม่อวี้ประคองเดินมาอยู่ต่อหน้าเหล่าไท่ไท่ แล้วคุกเข่าโขกศีรษะทำความเคารพด้วยความนอบน้อม “หลานคารวะท่านย่าเ้าค่ะ”
“ลุกขึ้นเถอะ ข้ายังไม่ตาย ไม่ต้องมาคารวะทุกวันก็ได้ หนึ่งคนสองคน ไม่เห็นจะมีใครให้วางใจได้สักคน” หลังจากนิ่งเงียบไปชั่วขณะก็ได้ยินเสียงบ่นของเหล่าไท่ไท่ ฟังจากน้ำเสียงทรงอำนาจที่แฝงไปด้วยอารมณ์ฉุนเฉียวที่ปิดไม่มิด ก็รู้ว่าเหล่าไท่ไท่กำลังโมโหตนเองอยู่
“สุขภาพของท่านย่าดีขึ้นแล้วหรือยังเ้าคะ ถงเอ๋อร์กังวลนัก เมื่อคืนยังคัดลอกพระหฤทัยสูตร ขอพรให้ท่านย่ามีสุขภาพแข็งแรงอยู่เลยเ้าค่ะ” โม่เสวี่ยถงคลี่ยิ้มหวาน ทำราวกับไม่รู้เลยสักนิดว่าเหล่าไท่ไท่กำลังอารมณ์เสีย แล้วรับพระสูตรม้วนหนึ่งมาจากโม่อวี้ ส่งให้เหล่าไท่ไท่ด้วยความเคารพ
สาวใช้ประจำตัวของเหล่าไท่ไท่รับมา แล้ววางไว้บนโต๊ะด้านหน้าของผู้เป็นาย สายตาของเหล่าไท่ไท่เลื่อนไปบนกระดาษที่วางอยู่ ลายมือเป็ระเบียบเรียบร้อย แต่ละตัวอักษรงดงามประณีตสะท้อนให้เห็นถึงความใส่ใจของผู้เขียน หลังจากใคร่ครวญอยู่ชั่วครู่ สีหน้าก็ค่อยๆ ผ่อนคลาย
“เอาไปเก็บไว้ในที่สูง” เหล่าไท่ไท่หันไปสั่งสาวใช้ “แม่หนูถงมีจิตใจกตัญญู รู้จักห่วงใยย่า ไม่เหมือนใครบางคนชอบก่อแต่เื่งามหน้า กลัวคนไม่รู้หรืออย่างไรว่าอ่อนด้อยจรรยาสตรี ปรกติจวนของพวกเ้าก็ไม่มีนายหญิงคอยกำกับดูแล จนเด็กๆ สองสามคนกลายเป็อะไรไปแล้วก็ไม่รู้ เห็นทีคงต้องให้บิดาของพวกเ้าแต่งภรรยาใหม่เสียกระมัง” สีหน้าของเหล่าไท่ไท่ดำทะมึนราวกับม่านเมฆบนท้องฟ้ายามราตรี ปรายตามายังโม่เสวี่ยิ่ซึ่งคุกเข่าอยู่ที่พื้น พลางกล่าวในสิ่งที่ใจคิด
ความหมายของเหล่าไท่ไท่คือ้าให้บิดาแต่งภรรยาใหม่ แต่เมื่อถ้อยคำเหล่านี้กล่าวออกมาต่อหน้าบุตรสาวเช่นพวกนางกลับเป็สิ่งที่ไม่เหมาะสมอย่างยิ่ง
เมื่อชาติที่แล้วโม่เสวี่ยถงมิได้ไปมาหาสู่กับเหล่าไท่ไท่ พบหน้ากันจริงๆ ก็เพียงไม่กี่ครั้ง จึงไม่รู้นิสัยใจคอของอีกฝ่ายว่าเป็เช่นไร หลายวันมานี้นางจึงพยายามแสดงความกตัญญู อ่อนน้อมเชื่อฟัง แม้ไม่คาดหวังความโปรดปราน แต่ก็ไม่คาดคิดว่าอีกฝ่ายจะกล้าล้ำเส้นเช่นนี้ แล้วจะไม่ให้โม่เสวี่ยถงยิ้มรับด้วยความรู้สึกขมขื่นได้อย่างไร เหล่าไท่ไท่้าให้นางตอบรับอย่างไรหรือ จะให้ตอบว่า “ใช่แล้วเ้าค่ะ” หรือว่า “ไม่ได้นะเ้าคะ” ไม่ว่าจะเป็คำตอบแบบไหน พวกนางผู้เป็บุตรสาวซึ่งยังไม่ออกเรือนล้วนไม่อาจทักท้วงได้อยู่ดีมิใช่หรือ
โม่เสวี่ยถงจึงเพียงก้มหน้าเงียบๆ สงวนวาจา โชคดีที่เหล่าไท่ไท่ก็มิได้ปรารถนาให้นางตอบสิ่งใดกลับมา
“แม่หนูิ่ก็ลุกขึ้นเถิด” เหล่าไท่ไท่มุ่นคิ้วขมวดประคองโม่เสวี่ยิ่ให้ลุกขึ้นแล้วกล่าวเสียงเย็นกับนาง
หญิงรับใช้าุโประจำตัวเหล่าไท่ไท่โบกมือไล่สาวใช้คนอื่นๆ ให้ออกไปจากห้อง เ้านายมีธุระส่วนตัวจะคุยกัน มิใช่เื่ที่พวกนางจะมายืนฟังอยู่ที่นี่
“เกิดเื่แบบนี้ขึ้น การให้บิดาเ้าแต่งภรรยาใหม่ย่อมเป็สิ่งจำเป็ที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ ข้าคิดว่าพวกเ้าก็โตๆ กันแล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งแม่หนูิ่ก็ถึงวัยออกเรือนได้แล้ว ทางที่ดีในบ้านก็ควรหาใครสักคนมาดูแลจัดการในเรือนชั้นใน คนผู้นี้ควรจะอยู่ในวงศาคณาญาติเพื่อที่พวกเ้าจะได้รู้สึกสนิทสนมคุ้นเคย และอายุอานามก็ต้องมากกว่าพวกเ้าสักหน่อย ไม่ควรเป็สาวรุ่นความคิดตื้นเขินที่เอาแต่แต่งตัวเฉิดฉายไปวันๆ แม่หนูิ่ว่าจริงหรือไม่”
ต้องเป็เครือญาติและอายุมากกว่าเล็กน้อย เหล่าไท่ไท่กล่าวมาขนาดนี้ย่อมมีตัวเลือกอยู่ในใจแล้ว ยังจะบีบบังคับให้โม่เสวี่ยิ่ตอบตกลงอีก โม่เสวี่ยิ่กับโม่อวี่เฟิงเป็บุตรสาวและบุตรชายคนโตซึ่งเกิดจากฟางอี๋เหนียง ย่อมมีใจให้มารดาของตนได้เลื่อนขึ้นเป็ภรรยาเอก แต่ในสถานการณ์เบื้องหน้า แม้ว่าพวกเขามีความปรารถนาเพียงใดก็ไม่กล้าเสนอขึ้นมาตอนนี้ หากโม่เสวี่ยิ่ไม่มีความเห็น โม่อวี่เฟิงซึ่งเป็บุรุษจะกล่าวถึงเื่แต่งภรรยาของบิดาได้อย่างไร
ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้โม่เสวี่ยิ่จะกล้าทัดทานหรือ เหล่าไท่ไท่ช่างคำนวณเวลามาได้เหมาะเจาะนัก พอสบช่องก็ปักเข็มทันทีโดยไม่รีรอ!
“สิ่งที่ท่านย่าคิดและกล่าวมาล้วนทำเพื่อท่านพ่อทั้งสิ้น ิ่เอ๋อร์ขอขอบพระคุณท่านย่าแทนท่านพ่อเ้าค่ะ แต่กำหนดไว้ทุกข์ให้ท่านแม่ยังไม่ครบสามปี ท่านพ่อมีความรักต่อท่านแม่อย่างลึกซึ้ง เคยลั่นวาจาไว้ว่าจะไว้ทุกข์ให้สามปี หากจะให้ท่านพ่อแต่งงานใหม่ยามนี้ เกรงว่าจะเป็การทำลายความตั้งใจของท่านพ่อ น้องสาม เ้าว่าอย่างไรเล่า”
โม่เสวี่ยิ่ย่อมเข้าใจความหมายของเหล่าไท่ไท่ ภายในใจรู้สึกขุ่นเคืองที่นางทุ่มหินลงบ่อในเวลานี้ แต่เนื่องจากตนเองก็มีชนักปักหลังอยู่ ย่อมไม่กล้ากล่าวคัดค้านออกมาโดยตรง จึงจำเป็ต้องยกเื่การไว้ทุกข์ให้ลั่วเสียมาอ้าง กล่าวจบก็มองหน้าโม่เสวี่ยถงอย่างเศร้าสลด น้ำตาเม็ดกลมดั่งไข่มุกเกาะพราวที่แพขนตาคล้ายจะหยดลงมาอยู่รอมร่อ แสดงสีหน้าปานว่ารู้สึกเสียใจอย่างยิ่งที่มารดาใหญ่ด่วนจากไป
นางจะสมัครใจเป็บุตรอนุภรรยาไปตลอดชีวิตได้อย่างไรเล่า!